เหลียนฝางหายไปไม่นานก็กลับมาพร้อมกับโต๊ะตัวเล็กที่มีพู่กัน กระดาษ และแท่นฝนหมึกวางอยู่บนนั้น ทุกอย่างถูกวางลงตรงหน้าเฟยเซียนตามที่นางสั่ง แต่มีเสียงเล็ก ๆ ของหนูน้อยซือซือเรียกสติของนางเอาไว้
"ท่านแม่ ซือซือจะได้อยู่กับท่านแม่หรือไม่เจ้าคะ"
"แม่จะทำทุกอย่างให้ซือซือได้อยู่กับแม่ ดีหรือไม่"
รอยยิ้มใสซื่อของหนูน้อยทำให้เฟยเซียนมีกำลังใจฮึดสู้ในศึกชิงลูกครั้งนี้ หากเขาคนนั้นต้องการหย่ากับนาง นางไม่ได้กลัวเลยแม้แต่น้อย แต่ถ้านางต้องเสียเด็ก ๆ ทั้งสองคนให้เขาไปด้วย แล้วเด็ก ๆ จะใช้ชีวิตกันเช่นไร ค่ายทหารไม่ใช่ที่ที่เด็กวัน 4 หนาวจะเข้าไปอยู่ได้ อีกอย่าง เขาไม่เคยเหลียวแลหรือสนใจเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเองเลยด้วยซ้ำ
"ดีเจ้าค่ะ ซือซืออยากอยู่กับท่านแม่"
"ท่านพ่อเจ้าคะ หากลูกหย่ากับแม่ทัพ.."
"เซียนเออร์ ลูกอย่าได้เป็นกังวล จากวันนี้ไปเราจะกลับไปอยู่ที่จวนของเรา หลานทั้งสองจะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของพวกเรา ไม่มีอะไรที่พ่อทำเพื่อเจ้าไม่ได้"
คำพูดของบิดาทำให้เฟยเซียนอุ่นใจขึ้นหลายเท่า ถึงร่างนี้จะเคยทำเรื่องแย่ ๆ มากมาย แต่สามีของนางก็ไม่เคยทำอะไรดี ๆ เช่นกัน นั่นหมายความว่าไม่ใช่นางเพียงคนเดียวที่มีจุดอ่อน
"ลูกขอถามท่านพ่ออีกสักอย่างนะเจ้าคะ ตอนนี้มีสินค้าสิ่งใดที่ราคาสูงและถูกควบคุมการค้าขายบ้างเจ้าคะ"
นายท่านจ้าวมองหน้าบุตรสาวด้วยความสงสัย นี่มันเวลาอะไรกัน เหตุใดบุตรสาวของท่านถึงมาถามเรื่องการค้าในเวลาเช่นนี้ แต่สุดท้ายนายท่านจ้าวก็ตอบกลับทุกความสงสัยของบุตรสาว
"ทองคำ ข้าว เกลือ น้ำตาล สิ่งเหล่านี้เป็นของล้ำค่าที่ถูกควบคุมโดยทางการ ผู้ที่จำหน่ายได้ต้องมีใบอนุญาตเท่านั้น เหตุใดต้องถามเรื่องนี้ในเวลานี้หรือลูก"
"ลูกแค่อยากหาความรู้เพิ่มเท่านั้นเจ้าค่ะ แล้วแคว้นของเราผู้ใดที่ได้สิทธิ์ขาดในการค้าขายสิ่งของเหล่านี้หรือเจ้าคะ"
"โธ่ลูกพ่อ เจ้าลืมหมดสิ้นแล้วหรือ จะเป็นผู้ใดได้หากมิใช่บิดาของเจ้า"
นายท่านจ้าวถึงกับกุมขมับเพราะนึกว่าบุตรสาวของตนเจ็บป่วยจนสติฟั่นเฟือน แต่ใบหน้าของเฟยเซียนกลับยิ้มร่าประหนึ่งว่าพบแสงสว่างแล้ว
"เหลียนฝางเจ้ารู้หรือไม่ว่าเมืองที่ท่านแม่ทัพประจำการอยู่ต้องใช้เวลานานเท่าใดในการเดินทาง"
"เอ่อ คือ บ่าวเคยได้ยินพวกทหารพูดกันว่าต้องใช้เวลาเดินทางนานกว่า 30-40 ราตรีเจ้าค่ะ"
แสดงว่าเรามีเวลาเตรียมตัวในการประจันหน้าประมาณ 2 เดือน หากแม่ทัพเหรินมาตามที่เราคาดการณ์เอาไว้ คิดได้แบบนั้นเฟยเซียนก็รีบจรดปลายพู่กันร่างจดหมายขึ้นมาหนึ่งฉบับเพื่อฝากถึงสามีของนาง
ถึงท่านแม่ทัพ
ข้ายินดีจะหย่าร้างตามที่ท่านต้องการ แต่สิทธิ์ขาดในการเลี้ยงลูกขอท่านยกให้เป็นหน้าที่ของข้า ที่ผ่านมาข้าอาจจะทำหน้าที่มารดาได้ไม่ดี แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าท่านต่างหากที่ไม่คิดจะกระทำหน้าที่บิดาเลยแม้แต่ครั้งเดียว และข้าไม่ยินยอมที่จะให้บุตรสาวบุตรชายวัยเพียง 4 หนาวต้องไปใช้ชีวิตอยู่ในค่ายทหารเฉกเช่นชายฉกรรจ์ บุตรธิดาไม่อาจถูกปฏิบัติเช่นทหาร ท่านไม่เคยรู้ว่าว่าพวกเขาชอบสิ่งใดหรือไม่ชอบสิ่งใด ไม่สู้ยกหน้าที่ดูแลพวกเขาให้เป็นหน้าที่ของข้า ทารกน้อยสองคนเหตุไฉนจะเติบโตได้จากเบี้ยหวัดที่ท่านส่งมา รู้ว่าตนเป็นบิดาชั่วชีวิตไม่อาจเทียบเท่าทำตนให้เป็นบิดาเพียงหนึ่งวัน หากท่านได้รับจดหมายฉบับนี้ควรไตร่ตรองให้กระจ่างอีกครั้ง แตกหักหรือยืดหยุ่นขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของท่านแล้ว
จ้าวเฟยเซียน.
จดหมายถูกพับใส่ซองแล้วปิดผลึกอย่างแน่นหนา ก่อนที่เฟยเซียนจะใช้ให้เหลียนฝางนำไปมอบให้ม้าเร็วที่รออยู่หน้าจวน
"นำไปมอบให้ม้าเร็วพร้อมกับสินน้ำใจให้เขากินใช้ในระหว่างเดินทาง บอกกับเขาว่าต้องส่งจดหมายฉบับนี้ให้ถึงมือท่านแม่ทัพให้ได้"
"เจ้าค่ะฮูหยิน"
เหลียนฝางเดินไปเปิดหีบที่หัวเตียงนอนของนายหญิงหยิบเบี้ยออกมาจำนวนหนึ่ง แล้วรีบนำออกไปมอบให้ทหารม้าที่รออยู่หน้าจวนอย่างรวดเร็ว
"เซียนเออร์ เมื่อครู่ลูกเขียนอะไรในจดหมายรึ?"
"ลูกแค่ฝังบางอย่างที่น่ากลัวลงไปในหัวของท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ"
นายท่านจ้าวได้เห็นรอยยิ้มร้ายของบุตรสาวก็ได้แต่เสียวสันหลังวูบวาบอย่างอธิบายไม่ถูก ฟื้นมาคราวนี้บุตรสาวของเขาช่างน่ากลัวยิ่งนัก แต่กลับไม่ร้องโวยวายหรืออาละวาดเหมือนตอนก่อนหน้าที่จะล้มป่วยไป
"ฝัง! ฝังอะไรรึลูก"
"ฝังความรู้สึกผิดเจ้าค่ะ เพราะความรู้สึกผิดคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด"
สองตาหลานหันมองหน้ากันด้วยความงุนงง ไม่ต่างจากคุณชายน้อยของจวนที่แอบมองอยู่นอกหน้าต่าง บอกแล้วอย่างไรว่ามารดาผู้น่ารังเกียจผู้นี้ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงตนเองได้
"เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะฮูหยิน"
"ดี ไปตามพ่อบ้านโจวเข้ามาหาข้า แล้วเรียกบ่าวทุกคนมาที่นี่ด้วย"
"เจ้าค่ะ"
หลังจากเหลียนฝางออกไปอีกรอบเฟยเซียนจึงได้หันไปหาท่านหมอฮัวที่นั่งรออยู่เงียบ ๆ มานานแล้ว
"ท่านหมอ นับแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป คงต้องลำบากให้ท่านไปตรวจอาการของข้าที่จวนแล้วนะเจ้าคะ"
"ขอรับ เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหา แต่ฮูหยินต้องระมัดระวังในการเคลื่อนย้ายด้วยนะขอรับ ช่วงนี้ท่านอาจจะยังเดินด้วยตัวเองไม่ได้ ยังไงต้องมีคนช่วยพยุงอยู่ตลอด"
"เจ้าค่ะ"
"เช่นนั้นข้าน้อยคงต้องขอตัวก่อนแล้ว ยาทั้งหมดข้าได้กำชับวิธีต้มกับคนงานไว้แล้วนะขอรับ วันพรุ่งนี้ข้าจะเข้าไปตรวจอาการฮูหยินที่จวนจ้าวอีกครั้ง"
"เจ้าค่ะท่านหมอ"
หมอฮัวผู้เฒ่าเก็บข้าวของของตนเตรียมจะเดินออกจากห้องไป นายท่านจ้าวจึงรีบให้ผู้คุ้มกันมือฉกาจของตนเดินออกไปส่งท่านหมอฮัวที่หน้าจวน พร้อมกับมอบค่ารักษาและค่าตอบแทนให้ชนิดที่ว่าท่านหมอฮัวไม่อาจปฏิเสธได้หากนายท่านจ้าวออกปากสิ่งใด
"เฟิ่งหยวน เจ้าจงออกไปส่งท่านหมอที่หน้าจวน จากนั้นสั่งให้คนของเราเตรียมขนย้ายสิ่งของของคุณหนูกลับจวน"
"ขอรับนายท่าน"
เฟยเซียนจ้องมองบุคลิกท่าทางการแสดงออกของบิดาอยู่ตลอดเวลา ในกาลเวลานี้บิดาของเธอช่างน่าเกรงขามยิ่งนัก ถ้อยคำหนักแน่นเฉียบขาดจนบริวารต้องเกรงขาม แตกต่างจากตอนพูดคุยกับบุตรสาวยิ่งนัก
"พ่อบ้านโจวมาแล้วเจ้าค่ะฮูหยิน"
"ฮูหยินมีสิ่งใดให้ข้าน้อยรับใช้หรือขอรับ เหตุใดจึงเรียกรวมบ่าวไพร่ที่หน้าเรือนเช่นนี้"
พ่อบ้านโจวข้าเก่าเต่าเลี้ยงของจวนสกุลเหรินเอ่ยถามนายหญิงถึงจุดประสงค์ที่ถูกตามตัวมา แม้ว่าหลายปีที่ผ่านมาจ้าวฮูหยินจะร่ำสุราจนเสียสติทุบตีคุณหนูทั้งสอง แต่พ่อบ้านโจวก็พอจะดูออกว่าเหตุเกิดจากสิ่งใด ใช่ว่าท่านแม่ทัพผู้เป็นเจ้าของจวนนี้จะทำถูกไปเสียทุกอย่าง เช่นนั้นเรื่องราวดำเนินมาถึงจุดนี้ จึงไม่อาจกล่าวโทษฝ่ายหญิงแต่เพียงฝ่ายเดียวได้
"ท่านคงได้ยินเรื่องหนังสือหย่าแล้ว?"
"ขอรับ ข้าน้อยได้ยินแล้ว แต่ไม่อาจก้าวก่ายเรื่องของผู้เป็นนายได้ขอรับ"
พ่อบ้านโจวยังคงสำนึกถึงบุญคุณที่เจ้านายคนก่อน ซึ่งเป็นบิดาของท่านแม่ทัพ เคยช่วยเหลือตนเอาไว้ นับแต่นั้นมาจึงตั้งใจเอาไว้ว่าจะรับใช้สกุลเหรินไปจนสิ้นลมหายใจสุดท้าย แม้ผู้เป็นนายไม่อยู่ก็ไม่มีเลยสักครั้งที่พ่อบ้านโจวจะวางท่าบ้าอำนาจเกินขอบเขตหน้าที่ของตน
"แม่ทัพเหรินนับถือท่านเป็นผู้อาวุโส เช่นนั้นข้าจึงอยากให้ท่านช่วยเป็นพยาน เงินเบี้ยหวัดตลอด 5 ปีที่ผ่านมาที่ท่านแม่ทัพมอบให้ ข้าไม่เคยนำออกมาใช้สักอิแปะ รบกวนท่านส่งมอบคนให้กับเขาแทนข้า ฝากบอกเขาว่า บุตรทั้งสองของข้า หาได้เติบโตจากเบี้ยหวัดที่เขามอบให้ เหลียนฝาง เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าหีบนั้นตั้งอยู่จุดไหน"
"ทราบเจ้าค่ะ"
"พาคนไปนำออกมา ส่งมอบให้พ่อบ้านโจว"
ภายใต้ความโง่งมของเจ้าของร่างนี้ นางไม่ใช้เบี้ยแม้แต่อิแปะเดียวที่สามีมอบให้ นั่นเป็นเพราะอยากเก็บไว้ดูต่างหน้า อย่างน้อยให้นางได้อวดอ้างกับสหายว่าสามีก็รักใคร่ตนเช่นกัน ความทรงจำเหล่านี้วนเวียนอยู่ในหัวของเฟยเซียน นางจึงรีบหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดเมื่อได้โอกาส
ครืดดด ครืดดด
"ได้แล้วเจ้าค่ะฮูหยิน"
หีบเงินใบใหญ่ถูกลากมาเปิดออกกลางลานห้องให้ทุกคนได้เห็นพร้อมกัน แม้แต่คุณชายน้อยที่แอบดูอยู่ข้างหน้าต่างมานาน ก็ต้องเข้ามาอยู่กับท่านตาเพื่อจะได้เห็นชัด ๆ ว่ามารดาของตนกำลังจะทำอันใด
"พ่อบ้านโจว ข้าฝากท่านคืนให้เขาด้วย วันนี้ข้าจะย้ายออกจากจวนแห่งนี้ ส่วนสินเดิมของข้า รบกวนท่านช่วยจัดคนส่งกลับคืนไปที่จวนจ้าวด้วย"
"ขอรับฮูหยิน แต่ข้าน้อยขอบังอาจถาม ฮูหยินจะไม่รอให้ท่านแม่ทัพกลับมาก่อนค่อยตัดสินใจอีกครั้งหรือขอรับ"
"5 ปีแล้ว หากเขาอยากเห็นหน้าข้าคงกลับมานานแล้ว เหลียนฝาง เจ้าไปหยิบเงินในหีบสินเดิมของข้าออกมาแจกจ่ายให้บ่าวทุกคนในจวนนี้คนละ 2 ตำลึงเงิน ขอบคุณทุกคนที่เคยดูแลข้ากับลูก ๆ ทั้งสอง อดีตที่ผ่านมาหากข้าเคยทำสิ่งใดไม่ดี ไม่ถูก ไม่ควร ได้โปรดอย่าถือสาและอภัยให้ข้าด้วย"
ทุกคนต่างนิ่งอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน ฮูหยินสั่งให้แจกเงินบ่าวไพร่คนละ 2 ตำลึงเงินถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่เพียงเท่านั้น นี่ฮูหยินกล่าวขอโทษทุกคนเลยหนา เช่นนี้จะไม่ให้คนงานในเรือนแตกตื่นได้อย่างไร หรือว่านางคิดได้เมื่อผ่านพ้นความตายมาแล้ว
"โอ้ ไม่ขอรับ นายหญิงกล่าวหนักไปแล้ว พวกบ่าวหาได้โกรธเคืองอันใดเลยนะขอรับ เงินจำนวนมากขนาดนี้ฮูหยินไม่จำเป็นต้องให้พวกเราเลยขอรับ"
พ่อบ้านโจวรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธโดยที่ไม่ได้หันมองใบหน้าลูกน้องของตน
"รับไปเถอะ ข้าเต็มใจให้ แล้วก็แยกย้ายกันไปจัดของให้พร้อม สิ่งของของลูกข้าอย่าให้หลงเหลือตกหล่นอยู่ที่นี่ จากวันนี้ไปพวกเราไม่รู้จะมีโอกาสได้กลับมาที่นี่อีกหรือไม่"
คำสั่งของจ้าวฮูหยินถือเป็นประกาศิตของทุกคนในเวลานี้ คนงานในจวนต่างแยกย้ายกันไปเก็บของให้คุณหนูน้อยและคุณชายน้อยเพื่อเตรียมเดินทาง ส่วนเหลียนฝางก็ต้องไปควบคุมดูแลสิ่งของของนายหญิง ทางด้านพ่อบ้านโจวก็ไปนำสมุดบัญชีทรัพย์สินออกมาเพื่อจะได้ขนสินเดิมของฮูหยินกลับไปส่งที่จวนจ้าว
ค่าเงินโบราณ
1 เหวิน หรือ 1 อิแปะ เท่ากับ 1 เหรียญทองแดง
1000 เหวิน หรือ อิแปะ เท่ากับ 1 พวงก้วน
1 พวงก้วน เท่ากับ 1 ตำลึงเงิน
10 ตำลึงเงิน เท่ากับ 1 ตำลึงทอง
เรื่องการหย่าในสมัยก่อน ฝ่ายภรรยานั้นเสียเปรียบอยู่มาก ถ้าสามีไม่สมัครใจ อยากหย่าก็เห็นจะยาก เว้นเสียจะใช้อำนาจอิทธิพลจากตระกูลของภรรยา (ถ้ามี) มาบังคับ แต่ถ้าฝ่ายสามีอยากหย่าภรรยา จะหาข้ออ้างใน “เจ็ดขับ” มาดูก็จะง่ายกว่า ทั้งในกระบวนการหย่าฝ่ายชายก็เป็นฝ่ายมีอำนาจเขียนหนังสือหย่าเพียงฝ่ายเดียว