บทที่ 6 สวรรค์เมตตา

1737 Words
หลายวันต่อมา... ตอนนี้ตรงหน้าของหลันถังคือทนายซู่ ทนายความซึ่งคอยดูแลเรื่องต่าง ๆ ของบ้านสกุลหลัน และแน่นอนว่าการที่เขามาอยู่ในบ้านหลันตอนนี้ ก็เพราะต้องการรู้เรื่องราวในพินัยกรรมของนายท่านหลันนั่นเอง “แต่ทำไม ต้องให้ฉันมาด้วย ถึงยังไงงานแต่งของสกุลหลันกับสกุลจ้าวก็มีกำหนดแน่นอนอยู่แล้ว” หัวหน้าจ้าวกล่าวขึ้นอย่างไม่พอใจ กอดอกรอฟังด้วยท่าทางไร้ซึ่งการให้เกียรติ ความจริงเขาไม่เคยเห็นสกุลหลันอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ กระทั่งจะมาเคารพศพของนายท่านหลันก็ไม่มีเลยที่คิดจะมา นอกจากจัดการเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับตนเองแล้ว เขาก็เมินเฉยต่อสกุลหลันอย่างสิ้นเชิง ไม่อย่างนั้นปู่หลันและหลันถังก็คงไม่โดนตำรวจคนอื่นเล่นงานได้ง่าย ๆ อย่างนี้ แม้จะโกรธแค้นแต่ก็ต้องกดเก็บไว้ในใจ หลันถังกำมือจนแน่นพยายามไม่มองไปทางบ้านสกุลจ้าว จึงไม่เห็นว่ามีคนจ้องมองนางด้วยสายตาเกียจคร้านคู่หนึ่ง “นี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสกุลจ้าวเหมือนกัน ในเมื่อคุณจ้าวมาแล้ว ผมก็ขอเปิดพินัยกรรมของนายท่านหลันตอนนี้เลยนะครับ” ว่าแล้วทนายซู่จึงลงมือเปิดพินัยกรรม โดยให้ทุกคนในห้องช่วยยืนยันว่าพินัยกรรมฉบับนี้ยังไม่เคยถูกเปิดผนึกมาก่อน เมื่อทุกคนมั่นใจแล้ว จึงเปิดพินัยกรรมออกมาอ่านเสียงดังฟังชัด “บ้าน ที่ดิน ร้านค้าเก่า ๆ ทางเหนือ ให้เป็นของหลันถังหลานสาวคนเดียวของข้าพเจ้า นอกจากนี้ข้าพเจ้าของดเว้นให้หลานสาวมิต้องไว้ทุกข์สามปี และแต่งงานกับตระกูลจ้าวภายในเจ็ดวันหลังข้าพเจ้าเสียชีวิต เพื่อให้วิญญาณตาเฒ่าคนนี้ไปสู่สุคติ” “บัดซบ นี่มันมัดมือชกกันชัดๆ” สิ้นเสียงของทนายซู่หัวหน้าจ้าวสบถออกมาอย่างไม่พอใจ ทำให้ทุกคนหันไปมอง จากนั้นหัวหน้าจ้าวจึงเอ่ยประโยคต่อมาไม่ต่างจากดูแคลน “หลันถัง เธออย่าคิดว่าจะได้ดั่งหวัง สกุลหลันเวลานี้มีเพียงเปลือกนอกเท่านั้น จะหวังปีนกิ่งมะกอกขึ้นที่สูงงั้นรึถึงได้กล่าวเช่นนี้ออกมา แต่งงานในเจ็ดวันเหรอ กล่าวมาแบบนี้ถ้าหากหลานสาวของเขาอายุสิบสองก็ต้องแต่งงานหรือ!” “นายท่านจ้าวใจเย็นลงก่อน ที่สำคัญคือนายท่านหลันนั้นได้สั่งเสียเอาไว้ก่อนแล้วว่าคุณหนูไม่ต้องรอไว้ทุกข์สามปีก็จัดงานมงคลได้ แต่อย่างไรก็ยังต้องให้เกียรติญาติผู้ใหญ่ที่เสียชีวิต จะจัดงานเลี้ยงใหญ่โตไม่ได้ จึงขอให้ผมช่วยดูให้งานแต่งเรียบร้อยด้วยดี เป็นไปด้วยความเรียบง่ายด้วย” ทนายเอ่ยขึ้น คล้ายกับจะแจ้งคำพูดของคนตรงหน้า หัวหน้าจ้าวได้ยินอย่างนั้นก็หน้าเสีย ก่อนส่งเสียงในลำคอ และสะบัดตัวออกจากห้องโถงไปทันทีด้วยความไม่พอใจ หลันถังหันไปขอบคุณทนายซู่ เธอส่งเขาออกจากบ้าน ก่อนปิดประตูและวิ่งไปที่สวนด้านหลัง ก่อนจะกรีดร้องออกมาด้วยความสิ้นหวัง “ทำไม ทำไมต้องเป็นฉัน คุณปู่ ฉันไม่อยากอยู่บนโลกนี้อีกต่อไปแล้ว แปลบปลาบ ฮือ” หญิงสาวตัวคนเดียว จะอยู่ได้อย่างไรในโลกที่โหดร้ายแบบนี้ เธอไม่เหลือใครแล้วจริงๆ หลันถังน้ำตานองหน้า นั่งลงใต้ต้นท้อพันปีที่อยู่คู่บ้านสกุลหลันมานานตั้งแต่พื้นที่ตรงนี้ยังไม่เป็นเมือง นางซบลงที่โคนต้นด้วยความเหน็ดเหนื่อย คงเหลือเพียงไออุ่นจากต้นไม้นี้เท่านั้นเป็นที่พึ่งให้ในตอนนี้ ข้าวของสำหรับการแต่งงานถูกจัดเตรียมไว้โดยปู่หลันแล้ว เพราะหลันถังไม่เคยเห็นด้วยกับการหมั้นหมายนี้เลย เพราะนั่นคือศัตรู คนที่พรากชีวิตพ่อและแม่ไปจากตนเอง ตอนนี้พวกมันยังพรากปู่ที่รักไปจากเธอแล้ว เหลือเพียงบ้านหลังนี้ที่เวิ้งว้างว่างเปล่า ทำไมผู้มีอำนาจต้องกดดันสกุลหลันจนมาถึงทางตัน? นี่คือคำถามที่หลันถังเทียวถามตนเองซ้ำ ๆ อยู่เสมอ หรือเพราะเธอไม่มีอำนาจมากพองั้นหรือ เพราะสกุลหลันไม่ได้มีกิ่งก้านสาขามากพอที่จะเข้าร่วมกองทัพ ไม่ใช่ผู้มีอำนาจในเมือง สุดท้ายแม้มีเงินทองก็ต้องถูกนำไปปรนเปรอคนชั่วเหล่านั้น น้ำพักน้ำแรงของพ่อแม่ถูกยึดไป เพียงแค่ลมปากคนที่กล่าวหาว่า ‘เป็นคนทรยศ’ ก็ฆ่าคนปล้นของได้แล้ว นั่นคือวิถีชีวิตที่เป็นไปในยุคสมัยนี้งั้นหรือ เช่นนั้นเธอก็ไม่ยินยอมเลย ฟ้าดินช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย คนชั่วอายุยืนค้ำฟ้าอยู่ทำชั่วในโลกได้นาน เหตุไฉนจึงรีบนำคนดีกลับคืนไปนัก เปาะ แปะ เสียงฝนตกลงบนพื้นดินทำให้หลันถังเงยหน้าขึ้นมอง ฝนลงเม็ดหนาขึ้นทุกครา เสียงฟ้าร้องแสงฟ้าแลบแปลบปลาบราวกับภาพสะท้อนอยู่บนท้องฟ้าสีดำมืด แต่สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าหลันถังตอนนี้กลับเป็นภาพประหลาดที่ซ้อนทับอยู่ตรงหน้าจนทำให้ต้องยื่นมือออกไป น่าเสียดายที่ภาพที่เห็นนั้นเลือนหายไปเพียงกะพริบตา “อะไรกัน นี่คือสิ่งใดกัน” หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะสงสัย ลุกขึ้นยืนและพยายามมองหาภาพที่เห็นเมื่อครู่ มันคือภาพของท้องทุ่งสีเขียวขจีดูอุดมสมบูรณ์ เต็มไปด้วยสีเขียวของพื้นหญ้า และสีฟ้าของพื้นน้ำดูแล้วมีชีวิตชีวาอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้จึงเห็นภาพสีตัดกันอย่างชัดเจนกับท้องฟ้ายามนี้ที่เต็มไปด้วยเมฆฝน ร่างกายเปียกโชกจนผมลู่ลงแนบลำตัว เสื้อผ้าแนบผิว เย็นยะเยือกราวกับถูกน้ำแข็งกัดเซาะ แต่สายตาของหญิงสาวยังคงจดจ้องไปยังสถานที่เดิม ซึ่งมีเพียงต้นท้อต้นเดียวตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น เธอได้เห็นอีกครั้ง ภาพที่น่าอัศจรรย์ บนเนินดินโล่งที่ทอดยาวออกไป ต้นท้อที่เหมือนกับต้นตรงหน้าปรากฏขึ้นอีกหนึ่งต้น ซ้ำยังมีผลท้อที่กำลังสุกงอมอยู่สองผล ผลท้อทั้งสองนั้นไม่เหมือนผลท้อทั่วไปที่เป็นสีแดงสุกก่ำ แต่กลับเปล่งประกายสีทองอร่าม สว่างไสวท่ามกลางแสงแดดอ่อนๆ ของยามเช้า หญิงสาวรู้สึกตะลึงงัน หัวใจเต้นรัวด้วยความสงสัยและตื่นเต้น เธอค่อยๆ ก้าวเท้าไปหาต้นท้อต้นนั้น และระวังไม่ให้ลื่นไถลบนพื้นดินที่เปียก ยิ่งเธอเข้าใกล้ กลิ่นหอมหวานของผลท้อก็ยิ่งชัดเจนขึ้น กลิ่นหอมนั้นช่างเย้ายวนใจจนเธออดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย เมื่อเธอมาถึงใต้ต้นท้อ หญิงสาวเงยหน้ามองดูผลท้อสีทองอร่ามอย่างทึ่ง ผลท้อมีขนาดใหญ่ ผิวเรียบเนียน ไร้รอยตำหนิ เปล่งประกายราวกับอัญมณีล้ำค่า เธอเอื้อมมือออกไปแตะเบา ๆ ผิวสัมผัสของผลท้อช่างนุ่มนวล อบอุ่น “นี่คืออะไร? ฉันรู้สึกเหมือน” จู่ ๆ ร่างเล็กของหลันถังทรุดลงบนพื้น กุมขมับแน่น ความรู้แปลกปลอมไหลเข้ามาในหัวจนแทบระเบิด เสียงหวีดแหลมดังออกมาจากปากเธอ พยายามอดทนต่อความเจ็บปวด น้ำตาไหลรินจากดวงตาเพราะความทรมาน ไม่นาน หญิงสาวก็สลบไปใต้ต้นท้อ รากใหญ่ที่โผล่พ้นดินค่อย ๆ งอเข้าหาร่างของเธอ โอบอุ้มหลันถังไว้ราวกับผู้ใหญ่กำลังกล่อมเด็กในอ้อมกอด ใต้บรรยากาศอึมครึมของบ้านสกุลหลัน ต้นท้อโบราณที่เคยแห้งเหี่ยว กลับมีชีวิตชีวาขึ้นมาอย่างน่าประหลาด กิ่งก้านที่เคยแห้งกรัง กลับแตกกิ่งก้านใหม่ ใบไม้สีเขียวสดใสผลิบาน ราวกับได้รับพลังบางอย่าง หากมีผู้ใดผ่านมาเห็น คงต้องตกตะลึงกับภาพอันน่าอัศจรรย์นี้ แต่ด้วยความอัปมงคลที่ปกคลุม บ้านสกุลหลันจึงเงียบสงัด ไร้ผู้คนผ่านมา ถนนหน้าบ้านกลายเป็นสถานที่ต้องห้ามชั่วคราว ด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของต้นท้อ ไม่มีพยานที่ได้เห็นแสงสีขาวอ่อนๆ ที่โอบล้อมกิ่งก้านใบ แสงสีขาวนั้นแผ่ไออุ่น ปลอบประโลมโลกหล้าที่บิดเบี้ยวด้วยความมืดมิด ต้นท้อโบราณ ยืนต้นอย่างสง่างาม เปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต ราวกับเป็นสัญลักษณ์ของความหวัง ท่ามกลางความสิ้นหวังที่ปกคลุม แสงสีขาวจากต้นท้อ เปรียบเสมือนแสงสว่างนำทาง ชี้ให้เห็นถึงหนทางแห่งการฟื้นฟู และความดีงามที่ยังคงอยู่ รอวันกลับมาผลิบานอีกครั้ง เช้าวันต่อมา... จิ๊บจิ๊บ เสียงนกร้องขับขานต้อนรับเช้าวันใหม่ แสงแดดอ่อนๆ สาดส่องผ่านกิ่งไม้ลงมาบนพื้นดิน อบอุ่นขึ้นทุกขณะ หญิงสาวในชุดถังจวงค่อย ๆ ลืมตาขึ้น มองไปรอบ ๆ ด้วยความงุนงง พยายามนึกทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อสติเริ่มกลับมา นึกได้ว่าเมื่อคืนเธอเผลอหลับไปใต้ต้นท้อใหญ่ในสวนหลังบ้าน น้ำตาใส ๆ ค่อย ๆ ไหลรินออกมาจากดวงตา ไหลรินอาบแก้มอย่างช้า ๆ เธอลุกขึ้นยืน กอดต้นท้อใหญ่ไว้แน่น ราวกับต้องการพลังจากธรรมชาติเพื่อประคองใจที่แหลกสลาย บ้านที่เคยอบอวลไปด้วยเสียงหัวเราะของครอบครัว กลับเงียบเหงา ไร้ซึ่งชีวิตชีวา เหลือเพียงเธอคนเดียวที่ต้องเผชิญกับโลกอันโหดร้าย “เรื่องจริงหรือนี่” แต่สิ่งที่ดึงดูดสายตาหลันถังมากที่สุด กลับกลายเป็นภาพหน้าจอสี่เหลี่ยมซึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้า และภาพภายในยังฉายสถานที่คล้ายสนามหญ้าขนาดใหญ่ที่มีเนินต้นท้อตั้งตระหง่านอยู่บนนั้น “เราไม่ได้ฝันไป อีกทั้งภาพนี้ไม่ได้เชื่อมต่อกับต้นท้อด้านล่าง แต่ติดกับดวงวิญญาณของเราจริง ๆ” ในตอนแรกคิดว่ามันเชื่อมอยู่กับต้นท้อด้านล่าง แต่ควรจะมีความเกี่ยวข้องกันที่จำเพาะ เนื่องจากต้นท้อในมิติ เหมือนกันกับต้นท้อที่หลังบ้านทุกอย่างกระทั่งจุดที่ถูกสลักเอาไว้
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD