"เกิดอะไรขึ้นวะไอ้เธีย"
เสียงของผู้ชายอีกคนที่ฉันได้ยินฝีเท้ากำลังเดินตามกันมาติดๆ นั้นคุ้นเหมือนเสียงผู้ชายที่เพิ่งเอ่ยทักทายกันก่อนหน้านี้ไม่กี่นาที
อย่าบอกนะว่าพวกเขาเป็นเพื่อนกัน ถ้าเป็นแบบนั้นเขาต้องรู้แน่ๆ ว่าคนทำก๊อกน้ำของโรงเรียนพังแล้วดันพุ่งไปโดนไอ้หมีควายนั่นเป็นฉันน่ะ
"หึ มึงดูสภาพมันแล้วยังจะถาม ไปบอกลุงโชติปิดวาล์วน้ำไป" เหมือนจะมีอีกคนที่ดูใจเย็นกว่าพูดขึ้นแต่ก็แอบได้ยินเขาหัวเราะเยาะเพื่อนเบาๆ
ฉันไม่รู้หรอกว่าสภาพของผู้ชายคนนั้นเป็นยังไง แต่มโนไปเองว่าตอนนี้คนคนนั้นต้องโดนน้ำพ่นใส่จนหมดสภาพแน่
พอผู้ชายอีกคนพูดจบก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนเดินมาใกล้ๆ วินาทีนี้หัวใจของฉันเต้นแรงจนเหมือนมันผิดจังหวะไป ทำได้เพียงหลับตาและขยับตัวให้ชิดกับกำแพงมากที่สุด
อย่ามาทางนี้เลย...ไปให้พ้น!
เหมือนคำภาวนาในใจจะได้ผลเมื่อฝีเท้านั้นหยุดความเคลื่อนไหวก่อนที่จะขยับอีกครั้งแล้วเสียงที่กระทบกับใบไม้แห้งนั้นหายไปในที่สุด ความรู้สึกโล่งใจไม่ถึงนาทีพลันหายไปเมื่อเสียงไอ้หมอนั่นก็ดังอีกครั้งตอนที่ฉันกำลังจะขยับตัวลุกขึ้นไปแอบมองว่าคนพวกนั้นไปกันหรือยัง
"คิดว่าจะรอดหรือไง"
เสียงที่ดังขึ้นจากด้านหลังทำให้ฉันต้องหลับตาปี๋ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าสภาพตัวเองกับท่าทางกึ่งหมอบกึ่งคลานตอนนี้คงดูไม่ได้
ฉันค่อยๆ ขยับตัวลุกขึ้นแล้วหรี่ตาขึ้นมองผู้ชายที่คิดว่าคงเป็นรุ่นพี่หมีควายทีละนิด แต่ก็ต้องตกใจซ้ำเพราะภาพจินตนาการของเขาในความคิดฉันกับตัวจริงช่างต่างกับราวฟ้ากับเหว
โคตรดูดี!
"เอ่อ..." ฉันขยับปากได้แค่นั้นเขาก็สวนกลับมาด้วยท่าทางเหมือนคนที่อยากจะกระชากหัวฉันเต็มทน ถึงแม้จะไม่โวยวายแต่ก็รู้
"เธอทำฉันหมดสภาพ" เขาพูดแล้วยกมือขึ้นเท้าเอวอย่างเอาเรื่อง เสื้อพละสีน้ำเงินแบบคอปกของเขาเปียกโชกไปด้วยน้ำจากก๊อกน้ำเจ้าปัญหา ไม่เหลือพื้นที่แห้งๆ เลยแม้แต่น้อย เปียกไปถึงผมทั้งหัวอย่างกับเพิ่งสระมาหมาดๆ ทว่าถึงจะเหมือนลูกหมาตกน้ำแต่เขาก็ยังดูดีอย่างกับนายแบบบนนิตยสารชื่อดัง
แต่ท่าทางของเขาเหมือนคนดิบเถื่อนชอบกล เขาทำเหมือนจะมีเรื่องแม้กระทั่งกับผู้หญิง
"หนูขอโทษค่ะ มะ...ไม่คิดว่ามันจะพัง" ฉันกล่าวขอโทษขอโพยพร้อมกับก้มศีรษะให้เป็นเชิงยอมรับผิด
"ไม่เห็นไงวะ เขาก็แขวนป้ายเท่าบ้านว่าเสีย" เขาขยับเสื้อที่มันเปียกจนทำให้ติดไปตามเนื้อหนังอย่างรำคาญ ก่อนจะหมดความอดทนแล้วถอดมันออกต่อหน้าต่อตา
"ไม่เห็นจริงๆ ค่ะ" ฉันตอบแล้วเบือนหน้าไปอีกทาง เพราะไม่อยากเผลอมองเนื้อหนังของเขาแล้วโดนด่าเอา คนอะไรดูดีไปหมดเสียอย่างเดียว ปากหมาฉิบหาย!
"ชื่ออะไร ห้องอะไร"
"คะ" อยู่เขาก็ถามชื่อขึ้นมาดื้อๆ พอหันไปมองด้วยความงุนงงก็เห็นความหงุดหงิดที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าหล่อเหลานั้นเช่นเดิม เขาไม่ได้ถามเพราะความพิศวาสแต่อย่างใด กลับกันฉันคิดว่าการบอกชื่อจริงๆ ของตัวเองนั้นอาจจะสร้างความเดือดร้อนก็เป็นได้ "บี๋ค่ะ มอห้า ห้องเอสอง"
โชคดีที่นึกถึงเพื่อนโรงเรียนเก่าขึ้นมาได้พอดี คิดว่าในห้องสองคงไม่มีใครชื่อนี้หรอกแทบจะไม่ค่อยได้ยินคนชื่อนี้ด้วยซ้ำ แล้วความเป็นจริงคือฉันอยู่ห้องเอหนึ่งซึ่งฉันเพิ่งจะเข้ามาเรียนได้ไม่ถึงเดือนคงไม่มีใครรู้จักขนาดนั้น โรงเรียนนี้มีนักเรียนตั้งหลายพันคน
"ถอดเสื้อมา"
"หา?" ฉันอุทานเป็นคำถามเมื่ออยู่ๆ เขาก็สั่งเสียงเข้ม แต่บอกให้ถอดเสื้อเนี่ยนะ เขาเห็นฉันเป็นผู้หญิงอยู่มั้ย
"เธอทำฉันเปียก รับผิดชอบด้วย ถอดเสื้อเธอมา" เขาพูดหน้ามึนเหมือนที่ตัวเองกำลังสั่งอยู่นั้นเป็นเรื่องปกติ แถมยังชูเสื้อที่เปียกหมาดๆ ขึ้นมาตอกย้ำความผิดของฉันอีกรอบ
"ก็บอกแล้วไงว่าขอโทษ" สาบานได้ว่าฉันไม่ได้พูดเสียงดังแต่รุ่นพี่คนนั้นดันได้ยินฉันชัดแจ๋วจนมองอย่างเอาเรื่อง
"เสื้อคลุม" เขาชี้มาที่ตัวฉัน ถึงนึกขึ้นได้ว่าวันนี้ฉันสวมเสื้อแขนยาวแบบมีฮู้ดของพี่เฟรมมาด้วย ไม่ได้ตั้งใจจะใส่มาหรอกแต่ตอนเช้าดันทำซอสมะเขือเทศเปื้อนเสื้อนักเรียนเห็นมันวางอยู่แถวนั้นเลยหยิบมาใส่
"อ่อ" ฉันจัดการถอดเสื้อตัวนั้นให้เขาอย่างว่าง่ายตามประสาคนมีคดีติดตัว ไว้ค่อยเอาไปคืนพี่เฟรมทีหลังแล้วกัน "พรุ่งนี้หนูไปเอามาคืนก็ได้พี่ใส่นี่ไปก่อนนะ"
"..." เขาไม่ตอบแต่ยึดเสื้อไปใส่หน้าตาเฉย เขามองรอยเปื้อนที่อกเสื้อนักเรียนของฉัน คงรู้สึกผิดล่ะสิท่าเป็นผู้ชายประสาอะไรมาแย่งเสื้อผู้หญิงใส่
"อ้าว เด็กใหม่ เธอเหรอที่ทำไอ้เธียเหมือนลูกหมาแบบนั้น" เสียงของผู้ชายอีกคนที่อยู่ฝั่งด้านในรั้ว ทำให้เราทั้งคู่ต้องหันไปมองก่อนจะพบว่าเขาคือคนที่เพิ่งทักฉันเมื่อกี้
"หนูไม่รู้ว่ามันพัง" ขณะที่ฉันกำลังอธิบายเหตุผลกับรุ่นพี่ ผู้ชายที่ชื่อเธียคนนั้นก็เดินจากไปดื้อๆ เขาไม่ได้กลับเข้าไปในโรงเรียนแต่เดินผ่านประตูโรงเรียนไปอย่างไม่เกรงใจครูฝ่ายปกครองเลย
ทำได้ยังไง ทำไมไม่มีใครเอาเรื่องเขาล่ะ ตอนนี้มันยังไม่ถึงเวลาเลิกเรียนเลยนะ
นี่มันสองมาตรฐานชัดๆ
"ไอ้เธียไปแล้วมึงจะออกไปเลยมั้ยไอ้คี" รุ่นพี่ที่ยังยืนอยู่ขอบรั้วหันไปถามเพื่อนอีกคน น่าจะเป็นคนที่ฉันคิดว่าดูใจเย็นเมื่อกี้ล่ะมั้ง เขาดูเงียบขรึมและใจเย็นจริงๆ เหนือสิ่งอื่นใดคือพวกเขาสามคนหน้าตาดีกันหมด ดูดีกันไปคนละแบบ
"มึงไปก่อนเลย เดี๋ยวกูเข้าไปคุยงานกับพวกนั้นก่อน"
"ไปก่อนนะเด็กใหม่" พอเพื่อนคนนั้นของเขาเดินจากไปรุ่นพี่ก็หันมาบอกฉันพร้อมยิ้มให้
"ค่ะ"
"อ่อ พี่ชื่อเชน" เดินไปไม่กี่ก้าวเขาก็หันกลับมาบอกฉันด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตร
น่ารักจัง...
"ค่ะ"
"ยินดีที่ได้รู้จัก" เขาทิ้งท้ายแล้วรีบวิ่งออกจากประตูโรงเรียนตามคนชื่อเธียไปติดๆ ท่าทางเกเรกันใช่เล่นเพราะไม่เกรงกลัวกฎระเบียบของโรงเรียนกันเลยแม้แต่น้อย
ฉันก้มมองดูเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาเรือนเก่าเพราะใช้มาตั้งแต่เข้าชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น
อีกตั้งยี่สิบนาที...
**************************