เครื่องบินโบอิ้ง 787 ของสายการบินชื่อดังของประเทศไทย กำลังจะ [1]เทคออฟ (Take off) ทะยานสู่ท้องฟ้าในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า สร้างความตื่นเต้นให้กับผู้โดยสารทั้งชายและหญิง ทั้งเด็กเล็ก ที่กำลังจะเดินทางสู่แผ่นดินทะเลทรายของรัฐอัลคารา ซึ่งเป็นรัฐเล็กๆ แห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ทางทวีปตะวันออกกลาง เป็นรัฐที่มีน้ำมันเป็นสินค้าหลักสร้างรายได้ให้กับผู้คนทั่วทั้งรัฐ นอกจากน้ำมันแล้ว รัฐอัลคารายังมีชื่อเสียงเรื่องการส่งออกผลไม้พื้นเมืองชั้นเลิศไปขายทั่วโลกด้วย
แน่นอนว่า เมื่อมีสายแร่น้ำมันเป็นสินค้าหลัก รัฐอัลคาราจึงเป็นรัฐที่มั่งคั่งไปด้วยมหาเศรษฐีนับสิบๆ คนที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินทะเลทรายผืนนี้
ก่อนแอร์โฮสเตสจะขอความร่วมมือให้ผู้โดยสารปิดเครื่องมือสื่อสารทุกชนิด บรรดาผู้โดยสารทั้งชาย และหญิง ทั้งที่เป็นชาวไทย และชาวต่างชาติ ทั้งที่เดินทางคนเดียว เป็นหมู่คณะ หรือเป็นแบบครอบครัว ต่างก็หยิบเครื่องมือสื่อสารที่สามารถบันทึกภาพได้ รวมทั้งกล้องถ่ายภาพ มากดรัวบันทึกเวลาดีๆ เก็บความทรงจำในการเดินทางไปยังแผ่นดินทะเลทรายผืนนี้ไว้กันอย่างสนุกสนาน แต่ละคนดูตื่นเต้นกับการได้ไปเยือนแผ่นดินทะเลทรายที่อาบไปด้วยลำแสงสีทองของดวงสุริยาในยามอัสดง
ยกเว้น! หญิงสาวที่นั่งอยู่แถวหลังสุดของที่นั่งในชั้นประหยัด ซึ่งไม่ได้ตื่นเต้น หยิบโทรศัพท์ออกมาบันทึกภาพเหมือนกับผู้โดยสารคนอื่นๆ
อักษราภัค เอนศีรษะพิงกับผนังอันเย็นเฉียบของเครื่องบินลำใหญ่ยักษ์ ใบหน้านวลงามเต็มไปด้วยริ้วรอยของความหมองเศร้า ดวงตากลมโตแห้งผาก ขณะทอดสายตามองไปนอกหน้าต่างเครื่องบินอย่างไร้จุดหมาย หัวสมองครุ่นคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับตนเองเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา จนต้องจัดกระเป๋าอย่างเร่งด่วน ระหกระเหินขึ้นมานั่งอยู่บนเครื่องบินลำนี้ เพื่อเดินทางไปยังรัฐอัลคารา แผ่นดินทะเลทรายที่อยู่ไกลจากประเทศไทยเป็นพันไมล์ ต้องข้ามน้ำ ข้ามทะเลรวมยี่สิบชั่วโมง กว่าจะไปถึงรัฐแห่งนี้ได้
เครื่องบินโบอิ้ง 787เทคออฟค่อยๆ ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้ว แต่อักษราภัคยังคงเอนศีรษะซบในอยู่ท่าเดิม หญิงสาวเป็นดั่งรูปปั้นที่นั่งนิ่งไม่ไหวติง
ทว่า...อักษราภัคเป็นหุ่นปั้น ที่มีชีวิตจิตใจ และมีความรู้สึกเจ็บปวด...เจ็บปวดจนแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่ และหากเป็นไปได้ เธออยากย้อนเวลากลับไป...ย้อนไปเมื่อยี่สิบห้าปีที่ผ่านมา ขอให้คนเป็นแม่ ซึ่งไม่อยากให้เธอลืมตาดูโลก ได้ ‘ฆ่า’ เธอกับน้องสาวฝาแฝดทิ้งตั้งแต่อยู่ในท้องซะ! อย่าให้เธอกับน้องต้องเกิดมาเพื่อเป็นเครื่องมือของคนที่เรียกว่าพ่อ! ซึ่งเป็นคนออกคำสั่งให้เธอต้องเดินทางออกนอกประเทศโดยไม่ทันได้ตั้งตัว
‘อักษรา ตามพ่อเข้าไปในห้องทำงานด้วย’
น้ำเสียงห้วนดุของผู้เป็นบิดา กอปรกับดวงตาที่จ้องมองเขม็งขณะเค้นออกคำสั่ง ไม่อาจทำให้ผู้เป็นเจ้าของชื่อปฏิเสธความต้องการของผู้เป็นบิดาได้
‘ค่ะคุณพ่อ’
อักษราภัคเพิ่งออกเวรกะดึก และกลับมาถึงบ้านไม่ทันได้นั่งลง แม้เหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าจากการทำงานมากเพียงใด หญิงสาวก็จำต้องเดินตามบิดาเข้าไปในห้องทำงาน
‘นั่งลงสิ อักษรา เราต้องคุยกันยาว’
ชัยพงศ์เหลือบสายตามองลูกสาวที่ยังอยู่ในชุดทำงาน ซึ่งเป็นชุดนางพยาบาลสีขาวสะอาด เขาไม่สนใจว่าอักษราภัคจะเหน็ดเหนื่อย แลดูอิดโรยมากเพียงใด เพราะหากต้องการสิ่งใดแล้ว บุตรสาวผู้นี้ต้องทำตามคำสั่งของเขาทุกอย่าง
‘คุณพ่อมีธุระสำคัญหรือเปล่าคะ’
อักษราภัคเอ่ยถามเสียงแผ่วเบา ขณะทรุดตัวลงนั่ง แล้วก็ต้องสะอึกนิ่งเงียบในทันที เมื่อถูกผู้เป็นบิดาตะคอกตอบเสียงดัง
‘มีสิ! ถ้าไม่มีธุระสำคัญ ฉันจะตื่นมารอแกทำไมตั้งแต่ไก่โห่’
อักษราภัคเหลือบสายตามองเวลาบนนาฬิกาติดกับผนังห้อง เข็มนาฬิกาเคลื่อนตัวไปอยู่ตรงเลขเก้าแล้ว แต่บิดาของเธอยังพูดเปรียบเทียบเวลาว่าไก่โห่ แต่ก็นั่นสินะ การตื่นนอนในเวลาเก้าโมงเช้า สำหรับคนที่นอนตื่นบ่ายสองโมงอย่างบิดาของเธอ ถือว่าตอนนี้ยังเช้าอยู่มาก
การที่บิดาของเธอยอมอดหลับอดนอน ตื่นตั้งแต่เช้ามาดักรอเช่นนี้ แสดงว่ามีเรื่องสำคัญมากๆ ที่จะ ‘สั่ง’ ให้เธอลงมือทำเหมือนเช่นดั่งที่ผ่านมา
‘คุณพ่อจะให้อักษราทำอะไรคะ’ ด้วยรู้ดีอยู่แล้วว่ามีงานสำคัญรอตนเองอยู่ กระนั้นอักษราภัคก็ยังคงเอ่ยถามออกไป
ชัยพงศ์ไม่ตอบคำถามของบุตรสาว เขาเปิดลิ้นชักใต้โต๊ะทำงาน หยิบซองเอกสารสีน้ำตาลโยนลงมาบนโต๊ะทำงาน ก่อให้เกิดเสียงดังทำลายความเงียบในห้อง เล่นเอาอักษราภัคสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ
‘งานชิ้นใหม่ของแก อยู่ในซองเอกสารทั้งหมด’
อักษณาภัคลอบถอนหายใจลึก หลับตาลงอยู่ครู่หนึ่ง อยากปัดคำว่า ‘งาน’ ทิ้งออกไปจากชีวิต แต่เมื่อไม่อาจทำได้ จึงจำต้องหยิบซองเอกสารมาถือไว้ และเมื่อเกิดอาการลังเลอยู่ชั่วขณะ ก็มีน้ำเสียงห้วนๆ ของผู้เป็นบิดาเค้นสั่งให้หยิบงานออกมาดู
‘หยิบออกมา อักษรา นี่คืองานชิ้นสำคัญของแก’
‘แล้วเป็นงานชิ้นสุดท้ายด้วยไหมคะ’ อักษราภัคถามสวนกลับในทันที ทว่าคำตอบที่ได้รับ ไม่อาจเรียกรอยยิ้มให้กับเธอได้
‘มันอาจจะเป็นงานชิ้นสุดท้าย ถ้าแกทำให้ฉันพอใจ’
‘แล้วถ้า ‘ไม่’ ล่ะคุณพ่อ’
‘ไม่มีคำว่า ‘ไม่’ สำหรับงานนี้ เพราะแกจะต้องทำงานให้สำเร็จเหมือนทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา’
ชัยพงศ์ย้ำคำเสียงหนัก ดวงตาแหลมเล็กจ้องมองบุตรสาวเขม็ง บอกให้รู้ว่าจะมีคำว่าผิดพลาดเกิดขึ้นในงานนี้ไม่ได้
‘เอางานออกมาดูได้แล้ว อักษรา’
ผู้เป็นบิดาออกคำสั่งเสียงห้วนอีกครั้ง เมื่ออักษราภัคเอาแต่นั่งนิ่งเฉย ไม่ยอมทำตามคำสั่งในก่อนหน้านี้สักที
เมื่อไม่มีทางเลี่ยง ไม่อาจหลบหนีคำสั่งของบิดาได้ อักษราภัคจำต้องหยิบซองเอกสารสีน้ำตาลออกมาเปิดดูงานที่ถูกเตรียมไว้ให้เธอ
สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า หลังจากดึงออกมาจากซองเอกสารแล้ว ทำเอาอักษราภัคต้องถอนหายใจลึกด้วยความเบื่อหน่ายกับความโลภ ซึ่งไม่มีที่สิ้นสุดของผู้ที่ตนเองเรียกว่า ‘พ่อ’
++++++++
[1] เทคออฟ (Take off) การนำเครื่องบินขึ้นเมื่อได้รับอนุญาต