‘ว่ามาสิ’
‘ทำไมถึงห้ามไม่ให้อักษราแต่งงานกับเขา’
‘ทำไมยังงั้นหรือ?’
ชัยพงศ์ทวนคำถาม ส่งเสียงหัวเราะร่วนดังลั่นห้องทำงาน เอนกายพิงพนักเก้าอี้หนานุ่ม เอ่ยตอบเสียงเย็นชาไร้ความรู้สึกว่า
‘ในตอนนั้น ถ้าฉันรู้สักนิดว่ามันคือทายาทคนปัจจุบันที่ครอบครองเพชรสีฟ้าอยู่ ฉันคงเอาแกไปประเคนให้กับมันจนถึงหน้าห้อง’
‘แน่นอน คุณพ่อคงประเคนอักษราให้ถึงมือของเขา แต่ไม่ใช่เพราะอยากให้อักษราแต่งงานกับเขา แต่เพราะต้อง
การให้อักษราทำทุกอย่างเพื่อเอาเพชรสีฟ้ามาให้คุณพ่อให้ได้’
อักษราภัคเอ่ยต่อท้ายด้วยความเสียใจ ร่างบางระหงก้าวเดินออกจากห้องในทันทีที่เค้นเสียงประชดออกไปแล้ว วินาทีนี้ความสงสัย ความคลางแคลงใจได้จางหายไปจากตัวเธอแล้ว ก่อนหน้านี้เธอเฝ้าคิดว่าบิดาไม่ยอมให้เธอแต่งงานเพราะเป็นห่วงเธอ
ทว่า...ในความเป็นจริงแล้ว เขาไม่ให้เธอแต่งงาน เพราะต้องการเก็บเธอไว้เพื่อให้ทำหน้าที่ ‘โจร’ ให้กับเขาต่างหาก
ใบหน้าอันหมองเศร้าของอักษราภัคยังคงซบอยู่กับหน้าต่างเครื่องบิน ดวงตาคู่สวยแห้งผากยังจับจ้องออกไปนอกหน้าต่าง แม้มองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากความมืดมิดในยามค่ำคืน ขณะเครื่องบินโออิ้ง 787 เทคออฟขึ้นสู่ท้องฟ้าอันเวิ้งว้างแล้ว ทว่าหญิงสาวก็ยังคงจับจ้องสายตาอยู่เช่นนั้นดั่งเดิม
“เพชรสีฟ้า!”
อักษราภัคเค้นเสียงอยู่ในลำคอ ยิ้มหยันอยู่ตรงมุมปาก ดวงตากลมโตโชนแสง เมื่อความคิดบางอย่างผุดขึ้นมาในหัวสมอง
หญิงสาวบอกกับตัวเองว่า นี่! จะเป็นงานชิ้นสุดท้ายของเธอ และเมื่อบิดาอยากได้เพชรสีฟ้ามากนัก เธอจะใช้เพชรสีฟ้ามูลค่ามหาศาลเม็ดนี้ เป็นตัวต่อรอง เพื่อสร้างชีวิตใหม่ให้กับเธอและน้องสาว
แต่! เธอจะเข้าไปอยู่ในบ้านและขโมยเพชรสีฟ้าได้หรือ? ในเมื่อ ‘มาคิล อัล ฟามิล’ ทายาทรุ่นที่ห้าของตระกูลอัล ฟามิล ผู้ครอบครองเพชรมูลค่ามหาศาลเม็ดนี้ ทั้งโกรธ เคียดแค้น และเกลียดเธอเข้ากระดูกดำ เขาคงจับเธอโยนออกจากบ้าน ในทันทีที่เห็นหน้ากัน!
คฤหาสน์อัล ฟามิล ซึ่งเป็นคฤหาสน์เก่าแก่ ตกทอดจากรุ่นปู่มาสู่รุ่นลูกหลายรุ่นด้วยกัน และทายาทอภิมหาเศรษฐีของตระกูล อัล ฟามิล คนปัจจุบันที่ครอบครองคฤหาสน์หลังนี้คือ มาคิล อัล ฟามิล บุรุษหนุ่มแห่งดินแดนทะเลทราย ที่มีนัยน์ตาสีนิลคมกริบไม่ต่างจากดวงตาของพญาเหยี่ยว
คฤหาสน์อัล ฟามิล เป็นต้องตาต้องใจของเหล่าดาราฮอลลีวูดชื่อดัง รวมทั้งประมุขผู้ปกครองรัฐอัลคาราด้วย คนเหล่านี้พยายามใช้เงินหลายร้อยล้านยูโร เพื่อขอซื้อคฤหาสน์อัล ฟามิล ไปไว้ในครอบครอง
เพราะนอกจากความใหญ่โต ออกแบบ และสร้างด้วยสถาปนิกชื่อดังจากอเมริกา ตกแต่งด้วยเครื่องเรือนราคาแพงทรงคุณค่าแล้ว คฤหาสน์หลังนี้ยังตั้งอยู่กลางโอเอซิส ซึ่งเป็นโอเอซิสที่ใหญ่ที่สุด และเป็นโอเอซิสแห่งเดียวในรัฐอัลคาราด้วย
ภายในโอเอซิสแห่งนี้ไม่ได้มีแค่เพียงบ่อน้ำกลางทะเลทรายเท่านั้น แต่โอเอซิสซึ่งเป็นมรดกของตระกูลอัล ฟามิล มีสิ่งอำนวยความสะดวก สร้างความบันเทิงพร้อมทุกอย่าง ทั้งสนามฟุตบอล สระว่ายน้ำกลางแจ้ง แม้กระทั่งลานจอดเครื่องบินเจ็ท ก็มีอยู่ภายในโอเอซิสแห่งนี้
ความเพียบพร้อมทุกอย่างที่มีอยู่ภายในแผ่นดินผืนนี้ ทำให้ดาราบางคนยอมทุ่มเงินไม่อั้น เพื่อซื้อสวรรค์บนแผ่นดินทะเลทรายมาครอบครอง
แต่! มาคิล อัล ฟามิล กลับไม่ขาย! ชายหนุ่มมีทรัพย์สินทั้งอสังหาริมทรัพย์ และเงินสดที่ฝากไว้ในธนาคารในรัฐอัลคารา สหรัฐอเมริกา สวิตเซอร์แลนด์ และประเทศอังกฤษ เรียกว่ามีทรัพย์สินมากมายเหลือใช้ จนไม่จำเป็นต้องขายสมบัติของตระกูล
มาคิล ทายาทรุ่นที่ห้าของตระกูล อัล ฟามิล มีทุกอย่างเพียบพร้อม ไม่ว่าจะเป็นเงินทองหรือผู้หญิงที่คอยบำเรอความสุขให้กับเขา แต่สิ่งที่มาคิลไม่เคยมีเลยนั่นก็คือหัวใจ! เพราะหัวใจของเขา ถูกผู้หญิงคนเดียวในโลก ที่เขากล้าเอื้อนวาจาบอกรัก และขอเธอแต่งงานด้วย ทำลายเหยียบย่ำจนแหลกลาญไม่เหลือชิ้นดี!
นอกจากหัวใจอันแข็งแกร่ง ซึ่งถูกทำลายไปจากตัวเขาแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่มาคิลไม่เคยมีเลยคือความสงบเงียบภายในคฤหาสน์อัล ฟามิล เพราะตั้งแต่อัซลีน่าหลานสาวเพียงคนเดียวของเขา ต้องกลายเป็นคนพิการเดินไม่ได้ หลังจากประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ พร้อมๆ กับบิดา มารดาของเธอ มาคิลก็แทบเป็นคนบ้า เพราะนอกจากเขาต้องสูญเสียน้องชายและน้องสะใภ้ไปพร้อมๆ กันแล้ว เขายังสูญเสียหลานสาวคนเดิมไปด้วย
จากที่เคยเป็นเด็กร่าเริงแจ่มใส อัซลีน่ากลายเป็นคนโมโหร้าย เมื่อรู้ว่าอุบัติเหตุในครั้งนั้น อาจทำให้เธอเดินไม่ได้ไปตลอดทั้งชีวิต
โครม!
เพล้ง!
เสียงแก้วน้ำ จานข้าว และทุกอย่างที่ขวางข้างหน้า ถูกทุ่มลงกับพื้นห้องอาหารแตกละเอียดไม่เหลือชิ้นดี ตามด้วยเสียงร้องกรี๊ดโวยวายของคนที่นั่งอยู่บนรถวิลแชร์
“กรี๊ดดด!!! ใครบอกให้แกทำอาหารพวกนี้ให้ฉันกิน มันมีแต่แป้ง มีแต่ไขมัน ใส่น้ำตาลจนหวานเยิ้ม มันจะทำให้ฉันอ้วนจนเดินไม่ได้...ได้ยินไหม”
อัซลีน่าเด็กน้อยในวัยสิบขวบหวีดเสียงร้องกรี๊ด ชี้นิ้วด่าคนรับใช้ อาละวาดไม่เลือกหน้า พอคนรับใช้เข้ามาใกล้ หมายจะเก็บถ้วยชามที่ตกแตกกระจายเต็มพื้น ก็คว้าแก้วน้ำส้มที่อยู่บนโต๊ะอาหารราดลงไปบนตัวของคนรับใช้จนหมดแก้ว ก่อนจะขว้างแก้วเปล่าทิ้งลงพื้นอีกครั้ง
“นี่แนะ! บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเอาอาหารขยะมาให้ฉันกิน”
โซยา หญิงรับใช้ผู้ซื่อสัตย์คอยรองมือรองเท้าของอัซลีน่ามานาน ยกมือปาดน้ำส้มเหนียวเหนอะหนะออกจากใบหน้าของตนเอง ขณะเงยหน้าขึ้นมองแล้วเอ่ยถามปนเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น
“คุณหนู ทำไมทำกับโซยาแบบนี้คะ”
“หยุดถาม! หยุดร้องไห้เดี๋ยวนี้”
เพียะ!
อัซลีน่าตะคอกสั่ง พร้อมกับซัดมือเล็กลงไปบนใบหน้าของโซยา แม้จะถูกตบด้วยมือเล็กๆ ของเด็กสาวในวัยสิบขวบ ทว่าการถูกตบแรง ฝ่ามือเล็กซัดเข้าเต็มๆ ใบหน้า ส่งให้โซยาถึงกับใบหน้าหันไปตามแรงตบ มีรอยนิ้วมือทั้งห้าปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอในทันที
“คุณหนู ทำร้ายโซยาทำไมคะ” โซยาถามเสียงสั่นเครือ ยกมือกุมใบหน้าของตัวเองไว้ด้วย