รอยแค้นฝังลึก! (2)

2058 Words
ฉันลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าตัวเองนอนอยู่ในห้องพยาบาลคนเดียว พอจะขยับลุกขึ้นก็ปวดแปลบที่เข่าจนต้องชะงักไปชั่วครู่เพื่อให้หายเจ็บก่อนจะค่อยๆ ขยับตัวขึ้นนั่งเอาหลังเอนกับหัวเตียงอย่างมึนๆ ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงนะ? งงไปหมดแล้ว... ก็ฉันจำได้ว่าถูกคิเรย์ลากไปในห้องๆ หนึ่งแล้วเขาก็... จู่ๆ ใบหน้าฉันก็ร้อนวูบวาบขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุเมื่อนึกถึงสิ่งที่หมอนั่นทำกับฉัน ไม่นานความรู้สึกโกรธเกรี้ยวก็ตามมา กรี๊ดเหอะ! คิดแล้วก็โมโหอยากจะตบหน้าหมอนั่นแรงๆ สักร้อยที! ความเจ็บปวดภายในใจเอ่อแน่นที่หน้าอก พอรู้ว่าสาเหตุที่ทำให้ฉันหมดสติจนต้องมานอนในห้องพยาบาลคืออะไรฉันก็นึกโกรธเกลียดและสาปแช่งคิเรย์ขึ้นมาทันที ความรุนแรงที่ฉันได้รับ คำพูดถากถาง และจูบที่ป่าเถื่อนของหมอนั่นทำเอาฉันแค้นจนแทบกระอักเลือด! คอยดูเถอะ! สักวันฉันจะทำให้นายเสียใจที่ทำแบบนี้กับฉัน! พรึบ! ผ้าม่านกั้นเตียงถูกเปิดออกในระหว่างที่ฉันกำลังนึกถึงความโหดร้ายของคิเรย์ ฉันหันขวับไปมองด้วยความตกใจก่อนจะเบิกตากว้างเท่าไข่ห่านเมื่อเห็นซิลเวอร์ปรากฏตัวอยู่ต่อหน้า พลันเกิดคำถามและความวิตกกังวลขึ้นในใจ ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่! ? “รู้สึกตัวแล้วเหรอ?” “...” ฉันมองหน้าซิลเวอร์นิ่ง ไม่เข้าใจว่าเขาต้องการอะไรกันแน่ หมอนั่นมองหน้าฉันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหย่อนก้นลงนั่งบนเตียงเดียวกับฉันแล้วพูดออกมาอีกรอบ “เป็นยังไงบ้างล่ะ?” ฉันกะพริบตาปริบๆ ท่าทางเขาก็ไม่ได้มีพิษมีภัยอะไร ก็เลยตอบออกไปตามปกติ “สบายดี” “ให้อาจารย์ดูแผลให้เธอแล้วล่ะ หมั่นทายาสักอาทิตย์หนึ่งก็คงหาย” ซิลเวอร์เหลือบมองเข่าของฉันที่ตอนนี้มีผ้าก๊อซสีขาวติดอยู่ ทำให้ฉันหายสงสัยไปอีกเรื่อง... แต่ยังมีอีกอย่างที่คาใจ “ทำไมฉันมาอยู่ที่นี่?” “ฉันพามาเองล่ะ” “...ยังไง?” “ฉันตามไปที่ห้องนั่นและก็เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอ” ฉันรู้สึกหน้าชาเป็นแถบๆ เอ่ยออกไปเสียงขุ่น “แล้วคิเรย์ล่ะ?” “หมอนั่นเดินหายไปทันทีที่เธอหมดสติ” สารเลว! “แล้วนายมาช่วยฉันไว้ทำไม?” ฉันจ้องหน้าซิลเวอร์นัยน์ตาแข็งกร้าว ไม่ดีใจสักนิดที่ถูกเพื่อนของคนเลวๆ แบบนั้นช่วย “เหตุผลน่ะไม่มีหรอก แค่รู้สึกถูกชะตากับเธอเท่านั้นแหละ” “คิดว่าฉันจะดีใจเหรอที่ได้ยินนายพูดแบบนั้น” “หึ...” ซิลเวอร์เหยียดยิ้มมุมปาก แปลก... จู่ๆ ฉันก็รู้สึกว่ารอยยิ้มของเขาดูจริงใจและเป็นมิตรกว่าที่คิด อะไรกันนะที่ทำให้ฉันคิดว่าเราอาจจะเป็นเพื่อนกันได้ เป็นเพื่อนกับยากูซ่าเนี่ยนะ! ไม่มีทางหรอกน่า... “แต่ฉันไม่ชอบใจอยู่อย่าง...” คำพูดนั่นทำให้ฉันเหลือบมองหน้าซิลเวอร์ทันควัน “ตรงที่เธอเป็นผู้หญิงของเก็นริว!” หมอนั่นมองหน้าฉันนิ่ง “นั่นน่ะมัน...” ฉันลังเลที่จะบอกว่ามันคือเรื่องเข้าใจผิดแต่ซิลเวอร์ก็พูดขึ้นมาซะก่อนทำให้ฉันไม่มีโอกาสได้บอกความจริง “และที่ฉันสงสัยก็คือทำไมวันนั้นเธอถึงไปอยู่กับคิเรย์ที่คลับเฮาส์ได้!?” “...!!!” เป็นคำถามที่เหมือนกับเอาหนามมายอกใจฉันจริงๆ “อยู่ดีๆ เธอคงไม่เสนอตัวให้คิเรย์แบบนั้นหรอกจริงไหม!?” ซิลเวอร์ยังคงซักไซ้ฉันต่อด้วยความสงสัยและอยากรู้ ฉันถูกสายตาคมกริบของซิลเวอร์ไล่ต้อนจนรู้สึกอึดอัด ถ้าฉันไม่ตอบเขาจะฆ่าฉันไหมเนี่ย ฉันมันเพี้ยนไปแล้วที่คิดว่าจะเป็นเพื่อนกับหมอนี่ได้ งือๆ “คือว่า...” ฉันหลบสายตาของซิลเวอร์ กระอึกกระอักอยู่นานก่อนที่หมอนั่นจะย้ำถามเสียงเข้มออกมาอีกรอบ “ว่าไงล่ะ!?” ซิลเวอร์มองฉันด้วยสายตาหงุดหงิด ประมาณว่า รีบๆ พูดออกมาสักทีฉันชักจะไม่ไหวกับเธอแล้วนะ แต่หมอนั่นก็ไม่ได้พูดมันออกมา นอกจากแสดงอารมณ์ทางสายตาเพื่อข่มขู่ฉันเท่านั้น ฮืออออ “ฉัน...” ฉันรู้สึกลำบากใจที่จะต้องพูดเรื่องนั้นออกไปแต่ว่าลองมาสบตากับซิลเวอร์ตอนนี้ดูสิ หมอนั่นคงได้หักคอฉันแน่ๆ ถ้าฉันยังอ้ำอึ้งอมพะนำอยู่แบบนี้ อะไรของเขากันนะ ทำไมต้องอยากรู้เรื่องของฉันมากขนาดนี้ด้วย มันไม่แฟร์เลยสักนิด ฉันไมได้ขอร้องให้เขามาใส่ใจเรื่องฉันสักหน่อย! “…..” และสุดท้ายฉันก็จำต้องเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้นให้ซิลเวอร์ฟัง... เกี่ยวกับจดหมายขอบลายธ์เดทของคิเรย์! “เป็นแบบนั้นเองเหรอ?” ซิลเวอร์เอ่ยขึ้นหลังจากรู้ความจริง “…..” “เธออคติกับพวกเราเกินไปหรือเปล่า?” ซิลเวอร์เอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจที่รู้ว่าฉันขัดขวางการเดทระหว่างบลายธ์กับคิเรย์เพราะเห็นว่าคิเรย์เป็นยากูซ่าตัวร้ายประจำโรงเรียน “หึ! แล้วที่คิเรย์ทำกับฉันล่ะ!? ไม่ต้องมีอคติหรอกแค่นี้ก็รู้แล้วว่าหมอนั่นเลวร้ายขนาดไหน ไม่มีทางที่บลายธ์จะทนได้แน่ๆ” “แต่คนเรามักจะอ่อนโยนกับคนที่ชอบนะ” “…..” คำพูดของซิลเวอร์ทำเอาฉันนิ่งงันไปชั่วขณะ... ภายในอกรวดร้าวขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ถ้าอย่างนั้น... หมอนั่นก็จะไม่ทำเลวร้ายกับบลายธ์เหมือนอย่างที่ทำกับฉันงั้นเหรอ! ? นัยน์ตาฉันไหววูบหัวใจเจ็บแปลบอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกราวกับว่าสิ่งที่ทำไปทั้งหมดมันช่างไร้ค่าเหลือเกิน ฉันแผ่ออร่าหดหู่ออกมารอบๆ ตัวอย่างเห็นได้ชัด ปากก็พึมพำออกไปอย่างไม่อยากยอมรับความจริงข้อนั้น “ถ้าบลายธ์ทำให้หมอนั่นเกลียดขึ้นมาล่ะ มันจะเป็นยังไง!?” ถึงแม้ฉันจะไม่เคยมีความรักมาก่อน แต่ไม่ว่าใครก็ต้องรู้ว่าในเรื่องความรักแล้วไม่มีอะไรแน่นอนเลยสักนิด! ซิลเวอร์นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยออกมา “แล้วถ้าเกิดคนที่เขียนจดหมายเดทนั่นเป็นฉันล่ะ เธอจะเข้ามาขัดขวางฉันเหมือนอย่างที่ทำกับคิเรย์หรือเปล่า!?” ฉันจ้องหน้าซิลเวอร์นิ่ง... ไม่เข้าใจสักนิดว่าเขาต้องการจะสื่ออะไร และเป็นครั้งแรกที่ทำให้ฉันสับสนกับการกระทำของตัวเอง... ฉันไม่เคยตั้งคำถามแบบนี้กับตัวเองมาก่อน ถ้าเป็นคนอื่นในแก๊งยากูซ่าชวนบลายธ์เดทฉันจะทำยังไง? จะลุกขึ้นมาขัดขวางหรือแค่มองดูอยู่ห่างๆ ด้วยความเป็นห่วงเท่านั้น บางทีสิ่งที่ฉันคิดว่าทำลงไปเพื่อปกป้องบลายธ์จริงๆ แล้วฉันอาจจะทำไปเพราะความต้องการของตัวเองก็ได้ ก็คิเรย์เป็นเป้าหมายที่ฉันจะต้องพิชิตเพื่อให้เป็นไปตามเงื่อนไขของเก็นริวนี่นะ! “คิดนานแบบนี้มันหมายความว่ายังไง?” คำพูดของซิลเวอร์สะกิดให้ฉันรู้สึกตัว ฉันเหลือบมองหน้าหมอนั่นเลิ่กลั่ก “กะก็ไม่รู้สิ... บางทีถ้าเป็นนายคงดีกว่าคิเรย์ก็ได้” ฉันมองหน้าซิลเวอร์นิ่งเพราะคิดแบบนั้นจริงๆ “หึ! ขอบใจนะฉันรู้สึกดีขึ้นมากเลยล่ะ ถ้างั้นจะเลี้ยงข้าวเที่ยงตอบแทนที่ทำให้ฉันอารมณ์ดีก็แล้วกัน” ฉันกะพริบตาปริบๆ กับซิลเวอร์ที่ยิ้มมุมปากบางเบา ไม่เคยเห็นเขาในบุคลิกผ่อนคลายแบบนี้มาก่อน แล้วที่พูดมาเมื่อกี้มันหมายความว่ายังไงกันแน่ ฉันชักสงสัยแล้วสิว่าเขามีจุดประสงค์อะไรกันแน่ที่เข้ามาทำดีกับฉันแบบนี้! หลังจากนั้นคงไม่ต้องบอกก็น่าจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันถูกซิลเวอร์ลากมาทานข้าวด้วยกันที่โรงอาหารของโรงเรียนอย่างเลี่ยงไม่ได้ มากกว่านั้นหมอนั่นยังประคองฉันออกจากห้องพยาบาลมาจนถึงโรงอาหารอีก ฉันจะเดินเองก็ไม่ยอม แล้วหมอนั่นให้เหตุผลฉันว่าไงรู้ไหม? “เดินเองมันลำบาก” ซิลเวอร์บอก ฉันว่าถูกนายประคองหิ้วแบบนี้แหละที่มันลำบากกว่า! กระทั่งถึงโรงอาหาร เสียงเซ็งแซ่ก็เงียบลงเมื่อเราทั้งคู่เดินผ่านแล้วทุกสายตาก็จับจ้องมาที่ฉันกับซิลเวอร์ราวกับเห็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกจากนั้นไม่นานมหกรรมซุบซิบระดับชาติก็เริ่มขึ้น ฉันล่ะกังวลจริงๆ ว่าจะมีข่าวลือบ้าๆ แพร่ออกไป “ทำหน้าบูดเป็นตูดหมึกไปได้ ไม่พอใจเหรอที่มาทานข้าวด้วยกัน” ซิลเวอร์เอ่ยขึ้นหลังจากหาที่นั่งได้แล้ว “เปล่าสักหน่อย!” ฉันขมวดคิ้วไม่พอใจ มาหาว่าฉันตูดหมึกได้ยังไง อย่าเอาคำที่ฉันเขียนด่าคิเรย์มาใช้กับฉันสิ “แล้วจะกินอะไร เดี๋ยวซื้อมาให้” “ไม่เป็นไรฉันจะไปซื้อเอง” ซิลเวอร์กดไหล่ฉันที่กำลังจะลุกขึ้นให้นั่งลงอยู่กับที่ทันที ฉันเหลือบมองหน้าหมอนั่นนิ่งพูดอะไรไม่ออก คิดว่าถ้าดื้อดึงกับเขาก็คงไม่มีอะไรดีขึ้นแน่ๆ “อะไรก็ได้ แล้วแต่นาย” “งั้นเหรอ ก็ได้...” แล้วหมอนั่นก็เดินหายไปท่ามกลางโต๊ะอาหารและบรรดานักเรียนนับพัน “นี่ไง โต๊ะนี้ยังว่างอยู่นะ” ระหว่างที่ฉันนั่งรอซิลเวอร์อยู่บนโต๊ะคนเดียวเสียงพูดคุยก็ดังมาจากทางด้านหลัง และพอหันไปมองก็สบสายตาเข้ากับบลายธ์และเพื่อนของยัยนั่นอีกสองคน “อ้าว นี่มันคนใช้บ้านเธอหนิ” เพื่อนบลายธ์คนหนึ่งพูดขึ้น ยัยนั่นมีชื่อว่าเกรซ ฉันหันไปมองใบหน้าที่ดูเย็นชาของบลายธ์ครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับมาอย่างไม่สนใจ ยัยนั่นคงไม่อยากเจอฉันเท่าไหร่ ส่วนคำพูดแบบนั้นของเกรซฉันได้ยินมาจนชินแล้วล่ะ! “ไปหาที่อื่นนั่งกันเถอะ” เสียงบลายธ์ดังขึ้น หึ! เห็นไหมล่ะ... “แต่ว่านี่มันก็เกือบๆ จะโต๊ะสุดท้ายแล้วนะบลายธ์ ทำไม? เกิดรังเกียจเด็กคนใช้บ้านตัวเองขึ้นมาเหรอไง” เสียงเพื่อนอีกคนของบลายธ์แย้ง ยัยนั่นชื่อว่าริเวียร์ ระหว่างนั้นซิลเวอร์ก็เดินถือจานข้าวกลับมาพอดี หมอนั่นยื่นจานมาให้ฉันพร้อมกับนั่งลงฝั่งตรงข้าม “แพ้อาหารทะเลหรือเปล่า?” หมอนั่นมองหน้าฉันอย่างใส่ใจ ฉันส่ายหน้าขณะรับจานสปาเกตตีที่โป๊ะกุ้งตัวโตๆ มาจากซิลเวอร์ “ถ้าฉันแพ้ขึ้นมาจริงๆ นายจะทำยังไงเนี่ย ก่อนไปซื้อน่าจะถามก่อน” “มันเพิ่งนึกได้น่ะ” หมอนั่นตอบอย่างไม่ใส่ใจ “นั่นซิลเวอร์หนิ ทำไมคนอย่างเขาถึงมานั่งทานข้าวกับยัยนี่ได้ล่ะ” เสียงริเวียร์กับเกรซกระซิบกันที่ด้านหลังของฉัน “อ้าวบลายธ์! อย่าเพิ่งไปสิรอฉันด้วย” เกรซร้องขึ้นมา “เป็นอะไรไปอีกล่ะเนี่ย” ริเวียร์ทำเสียงหงุดหงิดรำคาญก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าเดินตามสองคนนั้นไป “…..” ฉันไม่ชอบบรรยากาศมึนตึงแบบนี้เลย ระหว่างฉันกับบลายธ์จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้หรือเปล่านะ หรือยัยนั่นจะผูกใจเจ็บเกลียดฉันเพราะเรื่องนั้นไปตลอดชีวิต เหอะ!! ถ้าแค่นั้นล่ะก็คงงี่เง่าสิ้นดีเลย (ยังไม่สำนึก) ฉันเหลือบมองซิลเวอร์ หมอนั่นมีท่าทีนิ่งขรึมผิดปกติ แต่ก็ไม่ได้ทักอะไรออกไป จนกระทั่งทานข้าวเสร็จ เราสองคนก็แยกย้ายกลับห้องเรียน “…..” ดูเหมือนว่าข่าวฉาวของฉันจะแพร่สะบัดไปอย่างรวดเร็ว ทั้งเรื่องที่ฉันถูกคิเรย์ฉุดกระชากลากถูเมื่อเช้าและเรื่องที่ฉันไปสนิทนั่งกินข้าวเที่ยงกับซิลเวอร์ที่โรงอาหารอีก ไม่มีใครในห้องที่ไม่มองฉันด้วยสายตารังเกียจเหมือนกับเห็นเอเลี่ยนหน้าตาประหลาด แต่มันก็ไม่ค่อยส่งผลกับฉันเท่าไหร่นักหรอก... ถ้าเรื่องสังคมรังเกียจล่ะก็ฉันคุ้นชินกับมันมาตั้งแต่เด็กแล้วล่ะ!
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD