ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเมฆอย่างสิ้นหวัง... แม้จะพยายามเข้มแข็งสักเพียงใดแต่พอมองเห็นเลือดที่ซึมออกมาจากเข่ามันก็กระตุ้นให้ฉันนึกถึงสายตาเย็นชาของบลายธ์ที่มองมา การถูกคิเรย์ทำร้ายร่างกายยังไม่ทำให้ฉันเจ็บปวดเท่ากับโดนบลายธ์เหยียดหยามแบบนั้น
(ฮะโหล! มานา)
และทันทีที่ฉันได้ยินเสียงของเมฆ น้ำตาที่อดกลั้นเอาไว้ก็พรั่งพรูออกมาไม่ขาดสาย!!
“เมฆ... ฮือๆๆๆๆๆ”
(เฮ้! เป็นอะไร ร้องไห้ทำไม)
“...ฮึก! ฮือๆ”
(เกิดอะไรขึ้น ตอนนี้อยู่ไหน! เฮ้... พูดอะไรหน่อยสิ)
“ฮือๆ เมฆฉัน... ฮึก! ฮือๆ ฉันถูกบลายธ์เกลียดแล้วล่ะ ฮือๆ” ฉันยกมือขึ้นปราดน้ำตาร้องไห้สะอึกสะอื้นไปตามเส้นทางที่ทอดยาวออกจากประตูโรงเรียนอย่างไม่รู้จุดหมาย ไม่สนใจด้วยว่าจะตกเป็นเป้าสายตาของใครๆ แค่ฉันไม่ล้มลงไปนั่งร้องไห้บนพื้นเหมือนตอนเด็กๆ ก็นับว่าดีแค่ไหนแล้ว
“ฮึก! ฮือๆ อยู่... ฮึกๆ อยู่หน้าโรงเรียน ฮือๆ”
(บ้าเอ๊ย! อยู่ตรงนั้นนะ ห้ามไปไหนเด็ดขาดเข้าใจไหม จะรีบไปหาเดี๋ยวนี้ล่ะ! ร้องไห้ทีไรสติแตกทุกทีสิน่า)
ฉันได้ยินเสียงบ่นพึมพำของเมฆก่อนที่สัญญาณจะถูกตัดไป ฉันสะอึกสะอื้นจนตัวโยน เก็บโทรศัพท์มือถือเข้ากระเป๋าเสื้อก่อนจะเหลือบมองหาที่เหมาะๆ เพื่อนั่งรอเมฆ
น้ำตาของฉันเหือดหายไปตามเวลา ฉันยกมือขึ้นเช็ดคราบน้ำตาที่เหลือออกจนหมด แต่ถึงแบบนั้นดวงตาที่ผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักก็ยังบวมเบ่งเหมือนคนไม่ได้นอนแถมจมูกยังแดงเหมือนคนเป็นภูมิแพ้ด้วย
ระหว่างที่ฉันกำลังนั่งซึมอยู่บนม้านั่งข้างๆ รั้วโรงเรียนอย่างใจลอยอยู่นั่นเอง เสียงไม่คุ้นหูเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมา
“เฮ้! เธอ! มานาใช่หรือเปล่า!?”
ฉันหันขวับไปมองทันทีที่ได้ยินคนเรียกชื่อตัวเอง ก่อนจะสบสายตาเข้ากับผู้ชายผมสีน้ำตาลเข้มที่นั่งอยู่ในรถตรงหน้า
“อาร์ตี้...” ชื่อหมอนั่นหลุดออกมาจากปากฉันทันที
หมอนั่นก้าวลงจากรถแล้วเดินเข้ามาหาฉันด้วยท่าทางเหมือนมีเรื่องจะคุยด้วย แต่พอเข้ามาใกล้เขาก็ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะหรี่ตาลงพิจารณาใบหน้าของฉัน
“ร้องไห้อยู่เหรอ!? หน้าถนนเนี่ยนะ” หมอนั่นดูจะแปลกใจมากกว่าที่จะสนใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉัน เหอะ!
“แล้ว... นายมาทำอะไรที่นี่?” ฉันเงยหน้าขึ้นมองอาร์ตี้อย่างสงสัย
“ก็มาตามเรื่องให้เก็นริวน่ะสิ!”
ฉันเสียวสันหลังวาบทันทีที่ได้ยินชื่อนั้น!
“ถึงไหนแล้วล่ะ!? เฮ้! บาดเจ็บเหรอ...” อาร์ตี้เปลี่ยนเรื่องคุยกะทันหันเมื่อเหลือบเห็นบาดแผลที่เข่าของฉัน หมอนั่นก้มหน้าลงและกำลังจะยื่นมือมาแตะขาฉัน ฉันรีบขยับขาหลบทันควัน
“...” เขามองหน้าฉันอย่างข้องใจ ประมาณว่าจะหนีทำไม!?
“ฉันไม่เป็นไร ไม่ต้องใส่ใจหรอก” ฉันทำหน้าตึงไม่ชอบให้ใครมายุ่มย่ามกับเนื้อตัวถ้าไม่ใช่คนที่สนิทจริงๆ
“ไม่ใส่ใจได้ยังไง ดูสิ ทั้งฝุ่นทั้งเลือดเปื้อนไม่หมดไม่กลัวจะติดเชื้อหรือไง!?” อาร์ตี้ยังคงตื๊อจะดูแผลฉันให้ได้
“ก็บอกไม่ไง! ไม่ได้ยินเหรอ!” ฉันขยับตัวหนีพลางปัดมือหมอนั่นออกห่างเป็นพัลวัน
“เฮ้! มึงไม่รู้เหรอไงว่าที่นี่โรงเรียนกู” เสียงแข็งๆ เสียงหนึ่งดังขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
เลเอส... หมอนั่นกำลังเดินตรงมาทางนี้ด้วยสีหน้าท่าทางเคร่งขรึมเอาเรื่อง
“เหอะ! ดันเจอโจทก์เก่าซะได้!” อาร์ตี้สบถออกมาอย่างไม่สบอารมณ์
“ยังไม่เลิกนิสัยชอบรังแกเพศแม่อีกเหรอไง”
ผู้ชายบ้าอะไรเนี่ยปากร้ายชะมัด! เป็นแบบนี้กันทั้งแก๊งเลยเหรอไงห๊ะ
“...!!!” อาร์ตี้เส้นเลือดปูดขึ้นมาทันที จ้องหน้าเลเอสด้วยแววตาแข็งกร้าว เหอะ
เป็นใครที่โดนพูดใส่แบบนั้นก็ต้องของขึ้นกันทุกรายนั่นแหละ
ฉันเหลือบมองหน้าเลเอสกับอาร์ตี้สลับกันเลิ่กลั่กอย่างไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร สองคนนี้เคยรู้จักกันมาก่อนงั้นเหรอ! ?
“ไม่รู้อะไรอย่าพูดดีกว่าเลเอส!” อาร์ตี้จ้องหน้าเลเอสเขม็ง
“ถ้ากูไม่พูดแล้วจะรู้เหรอว่ามีเรื่องอะไร!?”
เลเอสสวนกลับไปแบบหน้ามึนๆ ก่อนจะตวัดสายตาคมกริบมามองฉัน แววตาของหมอนั่นทำเอาฉันเสียวสันหลังวาบ!
“รีบไปซะสิ คนอย่างเลเอสไม่ใจดีช่วยใครบ่อยๆ หรอกนะ!”
ฉันเบิกตากว้างสงสัยว่าตัวเองหูฝาดไปหรือเปล่า ในขณะที่อาร์ตี้ขมวดคิ้วแน่น!
“หา!? นี่มึงหาว่ากูข่มขู่ยัยนี่อยู่หรือไง”
เลเอสหันขวับไปมองอาร์ตี้ทันที “ร้องไห้จนตาบวมแบบนี้ถ้าไม่ถูกไอ้หน้าตัวเมียอย่างมึงรังแกแล้วจะให้เรียกว่าอะไร! ?”
“หน้าตัวเมีย!? คิดว่ามึงเป็นใครกันถึงได้เที่ยวมาตัดสินคนอื่นเอาเองแบบนี้น่ะห๊ะ!” อาร์ตี้ถลาเข้ากระชากคอเสื้อเลเอสอย่างเหลืออด
หึ! ที่หน้าตัวเมียน่ะมันคิเรย์เพื่อนนายต่างหากล่ะเลเอส!
แต่ก่อนที่สองคนนั้นจะทะเลาะกันไปมากกว่านี้เสียงแตรรถคันหนึ่งก็ดังขึ้นมาซะก่อน
ปี๊บบบบบบ
ทีแรกฉันนึกว่าเป็นเมฆซะอีกแต่พอหันไปมองกลับเป็นซิลเวอร์เพื่อนของเลเอสแทน!
“เฮ้เลเอส! มาเดินลอยชายอะไรอยู่ตรงนี้วะ!? แล้วเห็นคิเรย์บ้างหรือเปล่า” ซิลเวอร์ชะโงกหน้าออกมาจากช่องกระจกรถ
“ไม่รู้! วันนี้กูยังไม่ได้ต่อยมันแก้คันมือเลยถ้าเห็นแล้วก็โทร.บอกด้วยแล้วกัน จะตามไปต่อยหน้ามันสักหน่อย” เลเอสตะโกนกลับไปทั้งๆ ที่คอเสื้อยังอยู่ในกำมือของอาร์ตี้ ท่าทางไม่แยแสของหมอนั่นทำเอาอาร์ตี้กัดฟันกรอดด้วยความฉุนกึก
“มึงนี่มัน” ระหว่างที่ซิลเวอร์แสดงสีหน้าเอือมระอากับเพื่อนของตัวเองเขาก็ตวัดสายตามาทางฉันพอดีทำให้เราทั้งคู่สบสายตากันเข้าโดยบังเอิญ
เหมือนมีกระแสจิตที่มองไม่เห็นแล่นผ่านร่าง ภาพทรมานใจที่ฉันเกือบจะโดนคิเรย์จับกดโผล่วาบเข้ามาในหัว! ความรู้สึกรันทดและสิ้นหวังแล่นปราดเข้ามาในหัวใจ ฉันรีบเบือนหน้าหลบสายตาซิลเวอร์ทันทีเพราะไม่อยากนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้นอีก! มันเจ็บปวดและหดหู่เกินไปสำหรับฉัน
“เฮ้! แล้วเธอจะยืนบื้ออยู่ทำไม? รีบไปซะสิ” เลเอสตวาดใส่ฉัน ทำเอาฉันตกใจแล้วมองหน้าหมอนั่นกลับเลิ่กลั่ก
“ไป? ทำไมฉันต้องไปด้วยล่ะ”
“หมอนี่มันกักขังหน่วงเหนี่ยวเธออยู่ไม่ใช่หรือไง?” เลเอสพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเดือดๆ
“ไม่ใช่เฟ้ย!” อาร์ตี้ขบกรามแน่นจนเป็นสันนูน หมอนั่นโกรธจนแทบจะเหวี่ยงหมัดใส่หน้าเลเอสได้อยู่แล้ว
เลเอสที่เพิ่งจะรู้สึกตัวว่าตัวเองเข้าใจผิดรีบผลักอาร์ตี้ออกไปอย่างง่ายดาย ก่อนจะหรี่ตาลงต่ำพร้อมกับจัดคอเสื้อให้เข้าทรง
“อ้อ! กูเข้าใจผิดไปเองสินะ”
“ก็ใช่น่ะสิ! ยัยนี่เป็นคนสำคัญของเก็นริวที่กูจะปล่อยให้คลาดสายตาไม่ได้เด็ดขาด เข้าใจหรือยัง!” อาร์ตี้ตะคอกกลับไปอย่างลืมตัว
ฉันขมวดคิ้วไม่เห็นด้วยกับคำพูดที่ว่าฉันสำคัญต่อเก็นริวเลยสักนิด! ก็แค่หมากตัวหนึ่งที่หมอนั่นเลี้ยงไว้สั่นคลอนคิเรย์เท่านั้นล่ะ! ไม่มีใครสนหรอกว่าหมากตัวนี้จะบุบสลายไปตอนไหน
คิดแล้วก็น้อยเนื้อต่ำใจในชะตากรรมของตัวเองชะมัด! ฮือๆ
“หืม?” เลเอสนัยน์ไหววูบเหมือนได้ยินเรื่องน่าสนใจเข้า ก่อนจะตวัดสายตาคมๆ มามองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างถี่ถ้วนแล้วเหยียดยิ้มหยันออกมา
“ผู้หญิงของเก็นริวงั้นเหรอ!? สภาพดูไม่จืดเลยจริงๆ”
ผู้หญิงของเก็นริว! ? ฉันเนี่ยนะ... ไม่ใช่สักหน่อย!
ฉันกำลังจะอ้าปากบอกว่าไม่ใช่แต่พอรู้ตัวอีกทีเลเอสก็ตะโกนเรียกให้ซิลเวอร์ปลดล็อกประตูแล้วเดินไปขึ้นรถคันนั้นและจากไปอย่างรวดเร็ว
“โดนเข้าใจผิดจนได้สิ” ฉันพึมพำในลำคออย่างรู้สึกกังวล ถึงเลเอสจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับฉันแต่ฉันก็ไม่ชอบให้ใครรู้เรื่องของฉันแบบผิดๆ
“เฮ้! ช่างมันเถอะน่า ไม่เป็นไรหรอก แบบนั้นจะยิ่งเป็นการดีต่อแผนของเราซะอีก” อาร์ตี้กระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์
ฉันขมวดคิ้วมุ่น จ้องหน้าอาร์ตี้อย่างข้องใจ “นี่ตกลงว่านายมาทำอะไรที่นี่กันแน่”
“สังเกตการณ์น่ะ” หมอนั่นยิ้มอย่างไม่น่าไว้ใจและมันก็ไม่ได้ช่วยทำให้ฉันรู้สึกสงบใจเลยสักนิด!
หลังจากเลเอสจากไปไม่นานเมฆก็มาถึง หมอนั่นแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นอาร์ตี้อยู่เป็นเพื่อนฉันแต่สภาพของฉันก็ทำให้เมฆตกใจกว่า สุดท้ายอาร์ตี้ก็โน้มน้าวให้เมฆพาฉันไปพักสงบสติอารมณ์ที่รังของพวกเขา
ในตึกเก่าซึ่งเป็นแหล่งกบดานของแก๊ง Zonix เก็นริวนั่งไขว่ห้างอ่านหนังสือเกี่ยวกับรถยนต์อยู่บนโซฟาเก่าๆ กลางห้องตัวหนึ่ง สายตาคมกริบเหมือนเหยี่ยวตวัดมามองทันทีที่ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินผ่านประตูเข้ามา หมอนั่นเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“มีอะไร!?”
ท่าทางไม่เป็นมิตรของเก็นริวถูกเมินเฉยด้วยคำตอบไม่ใส่ใจของอาร์ตี้
“พาสาวน้อยมาทำใจนิดหน่อย”
“บ้านกูไม่ใช่ร้านคาเฟ่ขนมหวาน! ถ้าจะมาเที่ยวเล่นก็ไปที่อื่น เห็นแล้วมันเกะกะ!”
“คิดว่าพวกเราอยากมานักเหรอไง?” เมฆเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์ ทำเอาหางตาเก็นริวกระตุกทันที
“งั้นก็รีบไสหัวออกไปไวๆ สิ”
“เฮ้ๆ ไม่เอาน่า ดูสิเนี่ยเข่ามานาถลอกจนเลือดแห้งหมดแล้ว รีบๆ ทำแผลเข้าเถอะ” อาร์ตี้เอ่ยขึ้นเพื่อห้ามทัพ ทำให้เก็นริวหันขวับมามองฉันทันควัน
“ไปโดนอะไรมา?” หมอนั่นถามเสียงแข็ง ฉันรู้ว่าเขาไม่ได้เป็นห่วงก็แค่คำถามส่งๆ เท่านั้นแหละ
“หกล้ม” ฉันบอกก่อนจะเดินมานั่งเหยียดขาลงกับพื้นด้วยความรู้สึกตึงๆ แผล เมฆเดินตามมานั่งลงข้างๆ แล้วแกะห่อยาล้างแผลที่แวะซื้อระหว่างทางออกมาทำความสะอาดแผลให้ฉัน
“เป็นเด็กหรือไง!?”
“…..”
ฉันนิ่งเงียบไม่คิดจะต่อปากต่อคำกับเก็นริวให้หนักใจเล่น เพราะฉันคงไม่สามารถพูดกับหมอนั่นด้วยน้ำเสียงปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ได้แน่ๆ
เมื่อเห็นว่าฉันไม่สนใจหมอนั่นก็หันหน้าหงุดหงิดไปทางอาร์ตี้
“แล้วเรื่องที่ให้นายไปสืบล่ะ”
“ดูเหมือนว่าตอนนี้คิเรย์จะมีผู้หญิงอยู่คนหนึ่งแล้วล่ะ” อาร์ตี้ยักไหล่ตอบออกมาอย่างไม่ใส่ใจ
ฉันเบิกตากว้าง อย่าบอกนะว่าหมายถึงบลายธ์! ฉันกับเมฆมองสบตากันอย่างกังวล
“ถ้างั้นเธอก็หมดประโยชน์แล้วสิ” เก็นริวหันมาแสยะยิ้มเยาะเย้ยฉัน
ฉันหันขวับไปจ้องหน้าเก็นริวด้วยแววตาแข็งกร้าวทันควัน! แต่ยังไม่ทันได้กระแทกคำพูดใส่หน้าหมอนั่นเสียงอาร์ตี้ก็ดังแทรกขึ้นมาซะก่อน
“มันก็ยังไม่แน่หรอกเก็นริว ไม่ลองเล่นตามเกมที่นายสร้างขึ้นมาดูสักหน่อยล่ะ!?”
เก็นริวเหลือบมองฉันครู่หนึ่ง แววตาของหมอนั่นมีความหมายบางอย่างและฉันก็รู้สึกกลัวที่จะเข้าใจมันอย่างบอกไม่ถูก
“ไม่เลวหนิ ฉันเองก็ขี้เกียจนั่งดูอยู่เฉยๆ แล้วเหมือนกัน!!”
“...!!!”
ฉันสะดุ้ง! รู้สึกราวกับว่าพายุลูกใหญ่กำลังจะพัดมาอย่างงั้นแหละ!
แล้ววันนั้นฉันก็ได้ยินอะไรแปลกๆ จากปากของเก็นริว
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปฉันจะไปรับเธอที่โรงเรียน”
“….”
มันเรื่องอะไรกันเนี่ย! ?