ผลัวะ!!
“...!!!”
อะไรน่ะ! ? ฉันสะดุ้งเฮือก! ทันทีที่เดินออกมาจากห้องน้ำก็ได้ยินเสียงคนชกกันดังมาจากทางห้องน้ำชาย ฉันไม่ได้อยากข้องเกี่ยวกับเรื่องน่ากลัวแต่ว่าพอรู้ตัวอีกทีสองเท้าก็ก้าวเข้ามาด้อมๆ มองๆ อย่างสงสัยใกล้กับห้องน้ำชายแล้ว
“นี่มึงยังไม่หายโกรธกูอีกเหรอ!” เจ้าของเสียงยกมือขึ้นแตะมุมปากที่มีรอยช้ำแล้วยังกัดไม้จิ้มฟันอยู่ในปากทั้งที่โดนต่อยได้อีก นึกแล้วเชียวว่าต้องมีเรื่องกันในนี้ อะ! เดี๋ยวก่อนสินั่นมันพวกตัวร้ายประจำโรงเรียนไม่ใช่เหรอ!!
คิเรย์กับเลเอส ทายาทยากูซ่าประจำเซนท์ซาฟาเลียร์!
พอได้เห็นหน้าสองคนนั้นชัดๆ ฉันก็รู้สึกตกใจขึ้นมาทันทีและกำลังจะเดินหลบออกมาเงียบๆ สายตาของคิเรย์ก็ตวัดมองมาทางฉันพอดีเหมือนรู้ตัวว่ามีคนแอบมองอยู่!!
พรึบ!
ชั่วพริบตาที่ฉันสบสายตากับเขาก็รู้สึกเย็นวาบไปถึงไขสันหลัง ฉันผวาเฮือก! รีบสาวเท้าเดินออกมาอย่างรวดเร็ว หัวใจเต้นแรงด้วยความหวั่นเกรงระคนตื่นเต้น
ฉันไม่รู้หรอกว่าสองคนนั้นทะเลาะอะไรกัน และถึงแม้ฉันจะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องแต่การยืนดูผู้ชายที่มีชื่อเสียงด้านลบมีปากเสียงกันแบบนั้นเป็นใครก็คงสงบใจไม่ลงแน่!
ครืด! ครืด!
มือถือสั่นตกใจหมดเลย!
ฉันหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูก่อนจะคลายกังวลลงเล็กน้อยหันกลับไปมองด้านหลังอย่างระแวงและเมื่อเห็นว่าโล่งปลอดโปร่งก็ค่อยผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
เฮ้อ! พ้นแล้วสินะ... ท่าทางจะไม่มีใครตามมาด้วย แค่นี้ฉันก็รับสายนี้ได้อย่างสบายใจแล้วล่ะ
>> บลายธ์
คนที่โทรเข้ามาเป็นทั้งเจ้านายและก็เพื่อนร่วมชั้นของฉันเองแหละ...
“ฮะโหล... คุณหนูมีอะไรหรือเปล่าคะ?”
(นี่บอกแล้วไงว่าอย่าเรียกฉันแบบนั้นในโรงเรียนน่ะ)
“อะ... โทษค่ะลืมไป”
(ช่างเถอะ! รีบๆ กลับมาได้แล้ว คนขับรถมารอที่หน้าห้องซ้อมแล้วนะ)
“อะโทษทีค่ะ จะรีบกลับไปเดี๋ยวนี้ล่ะ”
(เร็วๆ ล่ะ ถ้าสายล่ะก็ได้โดนดุแน่)
“ค่ะๆ” ฉันรีบกดวางสายแล้วจ้ำอ้าวไปที่ห้องซ้อมดนตรีอย่างรวดเร็ว พอไปถึงก็เห็นคนขับรถยืนทำหน้าเคร่งอยู่ข้างๆ กับลีมูชีนคันหรูสีดำขลับซึ่งจอดเยื้องกับห้องซ้อมดนตรี ฉันผ่อนฝีเท้าลง เดินเข้าไปหาคนขับรถเงียบๆ พอดีกับที่บลายธ์ผลักประตูรถเปิดออกมาทำให้คนขับรถสังเกตเห็นฉันด้วย
“มาแล้วเหรอ?” น้ำเสียงของคนขับรถแข็งกระด้างอย่างไม่พอใจ ฉันรู้สึกดีนิดหน่อยที่ไม่ต้องเห็นสายตาที่เขามองฉันเพราะมีกรอบแว่นสีดำขวางเอาไว้ แต่ก็ทำใจได้เลยว่าถ้าเราไปสายในคืนนี้ฉันต้องโดนตำหนิทีหลังแน่!
เฮ้อ!! ไม่น่าไปสนใจเรื่องทะเลาะของสองคนนั้นเลย ชิ!!
“มานา รีบเข้ามาสิ ออกรถได้แล้วเมฆ”
บลายธ์พูดกับฉันด้วยน้ำเสียงเร่งรีบก่อนจะออกคำสั่งกับคนขับรถด้วยเส้นเสียงเย็นชา
ฉันก็ไม่ได้อยากคิดเข้าข้างตัวเองเท่าไหร่หรอกแต่ดูเหมือนว่าคุณหนูบลายธ์จะไม่พอใจที่นายเมฆแสดงท่าทีแบบนั้นกับฉัน
เฮ้อ! ~ รู้สึกเบื่อกับชีวิตที่เป็นอยู่ตอนนี้ชะมัด
ไม่นานเราก็มาถึงสถานที่จัดงานเลี้ยงประจำตระกูล... โรงแรมโอลิมเปียร์ แกรนด์
ภายในห้องจัดเลี้ยงของโรงแรมหรูระดับห้าดาว เนืองแน่นไปด้วยแขกเหรื่อในชุดราตรีหรูและดูดีมีราศีจับกันทุกคน สมกับที่เป็นงานเลี้ยงประจำตระกูลเก่าแก่เจ้าของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังและอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่
“มานาทางนี้” บลายธ์กระตุกข้อมือฉันให้เดินอ้อมไปด้านข้างซึ่งมีประตูเล็กๆ ที่เชื่อมต่อกับด้านหลังเวทีของห้องจัดเลี้ยง และแน่นอนว่านายเมฆคนขับรถก็ตามพวกเรามาด้วย
“คุณหนูมาแล้ว!” เสียงแม่นมดังขึ้นอย่างดีใจเมื่อเห็นบลายธ์เดินรีบร้อนเข้ามาในห้อง
“ช่วยเปลี่ยนชุดด้วยค่ะ” สาวใช้คนหนึ่งถือชุดที่ยังอยู่ในถุงคลุมยื่นให้บลายธ์
“เธอเองก็ต้องเปลี่ยนด้วยนะ” สาวใช้อีกคนยื่นชุดที่อยู่ในถุงอีกอันมาให้ฉัน ฉันรับมาอย่างรู้สึกอึดอัดและดูเหมือนแม่นมของบลายธ์จะสังเกตเห็นท่าทีของฉันด้วย
“มานา นี่เป็นงานสำคัญของคุณท่านนะ อย่าทำหน้าบึ้งตึงแบบนั้นสิ เธอควรจะร่าเริงและสนุกกับงานเลี้ยงถึงจะถูก”
“ค่ะ” ฉันฝืนยิ้มและขานรับไปอย่างขอไปที แล้วเดินมาเปลี่ยนชุดที่หลังประตูอีกบานซึ่งยังว่างอยู่ และพอฉันกลับออกมาอีกทีก็เห็นบลายธ์นั่งแต่งหน้าทำผมอยู่หน้ากระจกแล้ว
เธอเบิกตาโตทันทีที่เหลือบมองเห็นฉันผ่านทางกระจกตรงหน้า
“ว้าว! มานาสวมชุดนั้นแล้วสวยมากเลยล่ะ ว่าไหมคะแม่นม”
“ค่ะ ชุดของคุณหนูกับของมานาคุณผู้หญิงเลือกด้วยตัวเองเลยนะคะ”
“คุณแม่นี่ตาแหลมจริงๆ เลยนะ ฮิๆ” บลายธ์หัวเราะคิกคัก
ใช่... ฉันไม่เถียงว่าชุดที่ฉันกับบลายธ์ใส่มันดูดีแค่ไหน แต่ว่ามันกลับทำให้ฉันรู้สึกหนักอึ้งข้างในอกยิ่งกว่าเดิม...
ไม่อยากมาเลยสักนิดไอ้งานเลี้ยงงี่เง่านี่!
“บลายธ์!” เสียงทุ้มห้าวดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงโปร่งของใครบางคนพรวดพราดเข้ามาในห้องแต่งตัวอย่างร้อนใจ เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มตวัดมองไปที่หน้ากระจกเพื่อโฟกัสเฉพาะคนที่ต้องการเท่านั้น
“พี่เบียร์” บลายธ์เรียกชื่อคนๆ นั้นออกมาโดยที่ไม่ได้หันไปมองเพราะกำลังถูกช่างแต่งหน้าระบายสีชมพูอ่อนๆ ที่แก้ม
เบียร์เป็นลูกพี่ลูกน้องของบลายธ์เอง พ่อหมอนั่นเป็นน้องของผู้นำตระกูล
“ใกล้เสร็จหรือยัง?”
“อีกนิดเดียวค่ะ” ช่างแต่งหน้าเป็นคนตอบ
“เร่งมือด้วย ให้เวลาแค่ห้านาที”
“อะไรกันพี่เบียร์ จะรีบไปไหน”
“ไม่รีบได้ไง งานเริ่มมาเป็นชั่วโมงแล้วนะ แต่เจ้าของงานกลับหมกตัวอยู่ในห้องแต่งตัวเนี่ยมันใช้ได้ที่ไหน”
“อย่าซีเรียสไปหน่อยเลยน่า คุณแม่กับคุณป๋าก็อยู่ในงานไม่ใช่เหรอ”
งานเลี้ยงฉลองครบรอบวันแต่งงานของผู้นำตระกูลจะจัดขึ้นมาทุกปี พร้อมๆ กับงานวันเกิดของทายาทประจำตระกูล มีไม่กี่คนหรอกที่บังเอิญเกิดมาตรงกับวันแต่งงานของพ่อแม่เหมือนอย่างบลายธ์ เพราะงั้นในแต่ละปีวันเกิดของบลายธ์จึงไม่เคยเงียบเหงาเลยสักครั้ง
“อย่าลืมสิว่างานนี้ก็จัดขึ้นเพื่อเธอด้วยนะ” เบียร์ถอนหายใจอย่างระอากับท่าทีไม่ทุกข์ร้อนของบลายธ์ ก่อนที่เขาจะตวัดสายตามามองฉันกับเมฆซึ่งยืนอยู่กันคนละมุม
“แล้วพวกแกสองคนมัวทำอะไรอยู่ รีบๆ เข้าไปช่วยพวกคนใช้รับแขกได้แล้ว”
ฉันเม้มริมฝีปาก พยายามไม่สบสายตากับใครเพราะไม่อยากให้เห็นแววตาขุ่นหมองของฉัน กำลังจะเดินผ่านประตูเข้ามาในงานเงียบๆ เสียงของบลายธ์ก็ดังขึ้นซะก่อน
“เดี๋ยวสิ มานายังไม่ได้แต่งหน้าทำผมเลยนะ”
“ไม่จำเป็น ชุดนั่นก็เหมือนกัน” เสียงเบียร์ดังขึ้นมาอย่างขัดใจ
“ฉันจะไปช่วยงานข้างใน” ฉันพูดขึ้นก่อนเดินผ่านประตูเข้ามาทันที ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ท่าทางเดียดฉันท์ที่เบียร์แสดงออกมามันทำให้ฉันรู้สึกจุกแน่นไปทั้งอกกับความอัดอั้นภายในใจ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ฉันจะหลุดพ้นจากคนพวกนี้สักที
เป็นอย่างที่คิดจริงๆ ด้วยแฮะ... ฉันไม่มีตัวตนอยู่ในงานเลี้ยงนี่เลยสักนิด ปีแล้วปีเล่า... แปลก แทนที่จะชาชินแต่ฉันกลับยิ่งรู้สึกมากขึ้น... มากขึ้นทุกปีสะสมกันไปเรื่อยๆ จนในสายตาของฉันเต็มไปด้วยความเกลียดชังทุกครั้งที่จ้องมองไปยังเจ้าของงาน
...ผู้ชายคนนั้น ผู้นำของตระกูลธาราพิลักษณ์!
บอกไม่ถูกว่านี่เป็นความอิจฉาหรือเปล่าแต่มันนานมากแล้วที่ฉันไม่ได้เป่าเทียนวันเกิด... ถ้าบลายธ์โชคดีที่ได้เกิดมาในวันเดียวกับวันครบรอบแต่งงานของพ่อแม่ฉันก็คงเป็นคนที่โชคร้ายที่ต้องเสียแม่ไปในวันเกิดครบรอบสิบขวบ!
นับตั้งแต่นั้นมาชะตากรรมของฉันก็เหมือนจะโดนผูกมัดกับคนในตระกูลนี้ไปตลอดกาล!