กำลังจะเดินออกไปแต่เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นเธอเอื้อมมือไปรับ
“นี่พี่หมอนะตุ๊ก พี่มีข่าวดีมาบอกจ๊ะ”
“ข่าวอะไรคะพี่หมอ”
“คุณปฏิภาณฟื้นแล้วน่ะสิ เขาเริ่มหายใจเองได้แล้วตุ๊กจะแวะมาดูไหม”
“จริงหรือพี่หมอ” หญิงสาวเองก็ได้ยิน เด็กหญิงตัวน้อยกระโดดโลดเต้นเมื่อหญิงสาววางโทรศัพท์แล้วหันมาบอก
“เย่ๆๆๆ อาโป้งฟื้นแล้ว อาโป้งฟื้นแล้ว” ตุลยาจูงมือเด็กหญิงไปที่ห้องคนไข้ทันทีเพื่อไปดูชายหนุ่มให้แน่ชัดภายในห้องไอซียูเต็มไปด้วยเจ้าหน้าที่มากมาย
“อาโป้งขา อาโป้งนี้จ๋านะคะ” เด็กหญิงขึ้นไปบนเตียงร่างสูงจ้องมองร่างเล็กด้วยความตกใจที่ได้เห็นเด็กหญิงตัวน้อยที่ถูกก็คือเขากำลังตกใจกับทุกสิ่งรอบกายต่างหากคนไข้พึมพำลอดริมฝีปากด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“ใคร...”
“น้องจ๋าไงคะ อาโป๊งจำน้องจำได้ไหมคะ” คำถามนี้เหมือนหมัดฮุกเข้าปลายคางอย่างจัง ร่างสูงจ้องหน้าเด็กชายด้วยความสับสนไม่ใช่เขาจ๋าไม่ได้ แต่เขาไม่เคยเห็นเด็กคนนี้มาก่อนเลยต่างหาก ตุลยาเห็นผิดสังเกตเพราะเขาไม่เอ่ยทักทายเธอเลยหรือแม้แต่หลานสาวของเขาเธอดึงร่างของเด็กหญิงออกมาและบอกว่าตอนนี้อาโป้งเพิ่งฟื้นให้พักผ่อนเสียก่อนแล้วค่อยมาดูใหม่เด็กหญิงถึงยอมทุกคนทยอยกันออกไปแล้วเหลือแต่คนไข้เพียงลำพังเขาเอื้อมมือไปหยิบกระจกบานเล็กที่เพิ่งขอจากผู้ช่วยพยาบาลมาเมื่อครู่ร่างสูงหลับตาอยู่นานกว่าจะรวบรวมความกล้าเงาสะท้อนในกระจก
“นี่ใคร” เขาอ่านชื่อคนป่วย ปฏิภาณ ณรงค์ศิริวรรักษ์ ร่างสูงพิมพ์
“ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ผมคงต้องขอยืมร่างคุณไปก่อนขอโทษนะคุณปฏิภาณ ถ้าหากวิญญาณคุณต้องแตกดับเพราะผม ผมไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ” เขาเอ่ยขึ้นพร้อมมองไปรอบๆ ห้อง
“สวัสดีค่ะคุณตา สิจ๊ะ น้องจ๋า” อาจารียกมือไหว้ชายสูงวัย ตรัยมองเด็กหญิงตรงหน้า
“หวัดดีคะคุณตา”
“น่ารักจริง ชื่ออะไรล่ะ”
“หนูชื่อจริงว่าอาจารี ชื่อเล่นน้องจ๋าค่ะ”
“อยู่กับตาอย่าดื้อนะ วันนี้เราสองคนต้องอยู่ด้วยกันอาหมอต้องออกไปทำงานรู้ไหมคะ” อาจารีพยักหน้า เดินเข้าไปเกาะแขนคุณตาคนใหม่
“ค่ะ อาหมอบอกว่าคุณตาใจดีค่ะ”
“เข้าใจประจบเลยนะเรา” ตรัยดึงร่างป้อมเข้ามากอดและพาเดินเข้าไปในบ้าน
“ฝากด้วยนะคะคุณพ่อ เดี๋ยวตุ๊กต้องกลับไปโรงพยาบาลอีกครั้ง”
“ไปเถอะลูก เดี๋ยวพ่ออยู่กับน้องจ๋าเอง” หนึ่งทุ่มตรงของอีกวัน ตุลยาเพิ่งจะตรวจคนไข้เสร็จเธอเดินกลับลงมาจากตึกผู้ป่วยและสวนทางกับหมอวิวัฒน์อย่างเร่งรีบไปที่ห้องไอซียูอีกครั้ง
“อ้าวตุ๊ก ยังไม่กลับหรือ”
“พี่หมอจะรีบไปไหนคะ”
“ห้องไอซียู ตามไปดูคนไข้เห็นบอกว่าคนไข้ที่โค่ม่าอยู่ตอนนี้อาการแย่ลงความดันลด พี่ต้องไปดูก่อน”
“คนไข้ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจบอกว่าขับรถประสานงากับคุณปฏิภาณน่ะหรือคะ”
“ใช่แล้ว รู้สึกจะชื่อวิโรจน์นี่แหละ”
“ถ้างั้นก็รีบไปเถอะค่ะ เดี๋ยวตุ๊กก็จะกลับแล้ว” หญิงสาวบอกแล้วเดินไปขึ้นรถ ชื่อของชายหนุ่มคนนั้นยังวนเวียนไปมา รู้สึกสังหรณ์ใจบางอย่างแต่ก็บอกไม่ถูก เมื่อสตาร์เครื่องและขับรถออกไป ร่างโปร่งแสงก็ปรากฏที่เบาะข้างๆ
“คุณ...”
“คุณเห็นผมแล้ว”
“ใช่ แต่ทำไมคุณ คุณมาอยู่ที่นี่ แล้วเอ้อ...ทำไมร่างคุณถึงได้พื้น นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
“ผมไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น บอกผมหน่อยว่าตอนนี้ร่างผมเป็นยังไง”
“คุณฟื้นแล้ว อาการดีขึ้น พวกเขาย้ายคุณออกไปอยู่ห้องพิเศษ อีกไม่กี่วันก็น่าจะกลับบ้านได้”
“แต่นั่นไม่ใช่ผมมีวิญญาณของใครไม่รู้ไปสิงร่างผม”
“แล้วใครล่ะคะที่เข้าร่างคุณ ฉันสับสนไปหมดแล้วทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ได้”
“แล้วผมจะทำยังไง”
“ใจเย็นๆ สิคะ”
“คุณรู้ไหม วันนี้ผมอยู่ข้างคุณตลอดแต่คุณมองไม่เห็นผม ถ้าผมไม่รวบรวมสมาธิตลอดบ่าย ตอนนี้คุณก็อาจจะยังไม่เห็น ผมคงเหลือเวลาอีกไม่มากนัก”
“แต่วันนั้นหลวงพ่อบอกว่าคุณจะได้กลับเข้าร่างไม่ใช่หรือคะ ท่านคงไม่โกหกหรอกนะคะ ฉันว่าคุณใจเย็น ๆ ก่อนละกัน คุณต้องนั่งสมาธิแล้วทำตามที่หลวงพ่อบอกอีกครั้งนะคะบางที่อาจจะเป็นการผิดพลาดอะไรสักอย่าง เดี๋ยวฉันจะเลี้ยวรถเข้าโรงพยาบาลอีกครั้ง เห็นพี่หมอบอกว่ามีคนป่วยคนหนึ่งที่ขับรถประสานงากับคุณกำลังโคม่าเหมือนกัน บางที...เราอาจจะมีหวังนะคะ”
“หวังอะไร จะให้ผมเข้าไปอยู่ในร่างคนคนนั้นหรือ”
“ถ้าจำเป็น แล้วค่อยมาแก้ไขกันใหม่นะคะ” เธอบอกแล้วเลี้ยวรถเข้าโรงพยาบาลอีกครั้ง
ทั้งหมอและพยาบาลต่างก็มายืนอออยู่ห้องไอซียูอีกห้องคนป่วยคือวิโรจน์นั่นเอง เมื่อสองวันก่อนอาการเริ่มตอบสนองทำให้ทีมแพทย์ดีใจกันถ้วนหน้าปฏิภาณในร่างของวิโรจน์กวาดสายตาไปทั่วห้องเขามองหาตุลยาจนหมอวิวัฒน์ถามว่า
“เป็นยังไงบ้างครับ รู้สึกเวียนศีรษะหรือเปล่า”
“นิดหน่อยครับ” เสียงนั้นแหบแห้งเล็กน้อยสิ่งที่เขาอยากจะทำคือตกลงกับผู้ชายคนที่อยู่ในร่างของเขาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เพราะเขาไม่อยากอยู่ในร่างของคนอื่น เขาอยากจะไปพบผู้ชายคนนั้นเต็มที่แล้ว
“เดี๋ยวเราจะย้ายคุณออกจากห้องนี้ไปพักฟื้นที่ห้องพิเศษ คุณจะได้พักผ่อนเต็มที่แล้วเราจะบอกทางบ้านของคุณ”
“คุณหมอครับอย่าเพิ่งครับ คือว่า ผมต้องการพักผ่อนเงียบๆ น่ะครับ”
“เอางั้นก็ได้ครับ” หมอวิวัฒน์พูดแล้วเดินไปสั่งพยาบาลให้ย้ายเขาออกจากห้องไอซียูทางด้านตุลยาเมื่อทราบข่าวว่าวิโรจน์ฟื้นแล้วเธอรีบเข้ามาในห้องพักฟื้นทันทีแม้จะอยู่ในร่างของคนอื่นปฏิภาณก็จำเธอได้
“เป็นยังไงบ้างคะ”
“ไม่เป็นไร แต่ไม่ชอบที่จะต้องมาอยู่ในร่างของคนอื่นแบบนี้”
“ทนอีกนิดนะคะ วันนั้นเขาเห็นตัวเองในกระจกก็คงตกใจเหมือนกัน ยังไงก็ไปตกลงกับเขา”
“ขอบคุณมาก คุณเป็นเพื่อนคนเดียวที่ผมจะพึ่งได้แล้วน้องจ๋างอแงหรือเปล่าครับ”
“แกน่ารักค่ะ เข้ากับคุณตา เอ่อ คุณพ่อฉันน่ะค่ะแกเข้ากับทุกคนได้เป็นอย่างดี เลิกจากโรงเรียนก็ให้มาทำการบ้านก่อนแล้วค่อยดูทีวี”
“เพราะแกรู้น่ะสิว่าใครดีหรือไม่ดีกับแกยังไงก็ฝากไว้สักระยะนะครับคุณตุ๊ก”
“ค่ะ” หญิงสาวอยู่สนทนากับเขาสักพักก็ขอตัวไปตรวจคนไข้ต่อ ปฏิภาณในร่างของวิโรจน์ก้าวลงจากเตียงเขาเดินตรงไปยังประตูมองซ้ายมองขวาก่อนจะเปิดประตูออกไปเขาเดินตรงไปยังห้องของพักฟื้นที่ร่างตัวเองอยู่ เขาค่อย ๆแง้มประตูเข้าไปโชคเข้าข้างเขาเพราะในห้องไม่มีหมอหรือ พยาบาล และดูเหมือนคนในห้องจะตกใจอยู่เหมือนกันที่เห็นร่างของตัวเองเปิดประตูเข้ามา
“คุณ..."
“ใช่ผมเอง ผมอยู่ในร่างของคุณ ส่วนคุณอยู่ในร่างของผม เราควรจะตกลงกัน”
“ผมเองก็ไม่อยากจะอยู่ในร่างของคนอื่นหรอกนะแต่เราจะทำยังไงดีล่ะถึงจะคืนร่างให้เหมือนเดิมได้”
“ผมดีใจที่คุณเข้าใจ ผมมีคนที่จะทำให้เราสองคนคืนร่างได้"
"ใคร"
“พรุ่งนี้เราจะขอหมอออกจากโรงพยาบาล ผมจะพาคุณไปพบหลวงพ่อที่วัดแถวอยุธยา”
“คุณรู้ได้ยังไงว่าท่านจะช่วยเราได้”
“ตอนที่ผมเป็นแค่วิญญาณผมติดตามหมอตุลยาไปทุกที่จึงมีโอกาสรู้จักกับคุณลุงบดีลุงของคุณหมอท่านพาผมไปพบหลวงพ่อ หลวงพ่อแนะนำให้ผมนั่งสมาธิให้จิตใจสงบ”
“คุณกับหมอตุลยาเป็นแฟนกันหรือ”
"ผมชอบเธอมาก”เขาตอบเสียงหนักแน่น วิโรจน์หัวเราะ
“เธอสวยมาก เอาเถอะผมตกลงจะทำตามที่คุณต้องการ”
“ดี” จากนั้นเขาก็กลับไปยังห้องของตัวเองหมออนุญาตให้ทั้งปฏิภาณและวิโรจน์ออกจากโรงพยาบาลพร้อมกันหลังจากที่ทั้งสองรับยาและทำตามที่หมอแนะนำต่างก็เดินไปยังรถ พวกเขาขับรถออกจากกรุงเทพฯตั้งแต่เช้ามืดมาถึงวัด ขณะที่ท่านฉันภัตตาหารเข้าเสร็จพอดีหลังจากเข้าไปพบหลวงพ่อครู่หนึ่ง ท่านก็ให้ลูกศิษย์วัดพาทั้งสองคนมายังเรือนพักอีกแห่งหนึ่งบริเวณท้ายวัด เรือนนี้เดิมเป็นที่พักของญาติโยมที่มานั่งวิปัสสนา แต่อยู่ทางด้านหลังจึงไม่มีคนพลุกพล่านภายในห้องมีแค่ที่นอนหมอนและผ้าห่มต่างจากห้องพักสะดวกสบายที่ทั้งคู่เคยอยู่ลิบลับ
“ไปเถอะไปช่วยหลวงพ่อทำงาน”ทั้งคู่ไปช่วยลูกศิษย์วัดทำงาน ปฏิภาณทำงานต่าง ๆอย่างใจลอย จนกระทั่งหลวงพ่อและพระหลายรูปในวัดฉันภัตตาหารเพลเสร็จเขาจึงมีเวลานั่งเงียบ ๆ ต่อหน้าท่าน
“เหนื่อยไหมล่ะโยม”ทั้งคู่ยกมือไหว้ผู้ทรงศีล ท่านยิ้มเหมือนเคย
“ไม่หรอกครับ สบายมาก” วิโรจน์ตอบแทน
“แล้วโยมล่ะพ่อหนุ่มมาอยู่วัดป่าเงียบๆ แบบนี้จะไหวหรือ”
“ไหวสิครับ ผมตั้งใจแล้วว่าจะทำให้ดีที่สุด” ปฏิภาณตอบ หลวงพ่อยิ้มอ่อนโยนอย่างคนมีเมตตาจิต
“ทำจิตใจให้สบายนะโยม ตอนนี้เรามีกรรมอยู่ อย่าไปคิดถึงเรื่องที่ยังมาไม่ถึงตอนนี้ก็นั่งสมาธิทำจิตให้แน่วนิ่ง”
“ครับหลวงพ่อ” เขารับคำเบาๆ แล้วก้มหน้าทำงานต่อจากนั้นก็ไปทำตามที่หลวงพ่อบอก
* * * * * * * * * * * * * * *
“คุณตาขา”ร่างเล็กวิ่งมาหยุดตรงหน้าแล้วโผเข้ากอดตรัยไว้ ทั้งตัว ชายสูงวัยยิ้มลูบผมเจ้าตัวเล็กอย่างเอ็นดู
“กลับมาแล้วหรือเรา เล่นซนมาอีกสิท่า หิวหรือยังลูก หรือว่าอาหมอพาแวะซื้อไอติมอีก”
“เปล่าค่ะ ไม่ได้แวะวันนี้อาหมออารมณ์ไม่ดี นั่งเงียบตลอด จ๋าชวนคุยก็ไม่คุยทำหน้านิ้งเชียว”ตรัยหันไปมองลูกสาวแต่หญิงสาวไม่กล้าสบตา
“พ่อคะ วันนี้ตุ๊กเหนื่อย ขอตัวขึ้นห้องก่อนนะคะ”ชายสูงวัยมองลูกสาว
“อาบน้ำเสียหน่อยสิลูก จะได้หายเหนื่อยอาหารเย็นพ่อจะให้ลูกลิงไปเรียก”ตรัยปรายตาไปทางน้องจ๋าที่ยืนหน้าหงิกเมื่อถูกเรียกเป็นลูกลิงเพราะความซนของตัวเอง
“คุณตา จ๋าไม่ใช่ลูกลิงนะ”
“มาให้ตากอดลูกลิงหน่อยซิ”ตรัยดึงร่างนั้นมากอดอีกครั้งเด็กหญิงหน้าบึงเป็นจวักไว้ถึงเวลา
“ไม่เอา จ๋าไม่ใช่ลูกลิง คุณตาโกหก”
“ตาล้อเล่น รู้แล้วว่าไม่ใช่ลูกลิง แต่ถ้าจะให้เชื่อต้องทำการบ้านให้ตาดูก่อนลิงทำการบ้านเองไม่ได้ แต่คนทำได้นะและเด็กน่ารักๆ จะทำได้ถูกหมดทุกข้อด้วย”เด็กหญิงตัวน้อยกระโดดโลดเต้น
“คุณตาขา ไปค่ะ จ๋าจะทำให้ดูว่าเก่งแค่ไหน”หญิงสาวเผลอมองตามคนที่เธอรักสองคนไป ป่านนี้อาของเด็กหญิงจะเป็นอย่างไรจะรู้บ้างไหมว่ามีคนเป็นห่วงแม้จะรู้ว่าเขาไปนั่งสมาธิแต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้จริงๆ เธอได้แต่ภาวนาให้เขาโชคดีแม้ว่าจะมองเห็นความเป็นจริงลิบลี่ก็ตาม
“อาหมอค่ะ เสร็จหรือยัง ลงมาได้แล้ว แม่น้อยจัดอาหารตั้งโต๊ะเรียบร้อยแล้วนะคะ” มือป้อมเคาะประตูเป็นจังหวะ ร่างบางซึ่งนอนอยู่บนเตียงผงกหัวขึ้นมาเหลียวมองนาฬิกาเห็นเวลาเกือบทุ่มแล้ว เธอเผลอหลับด้วยความอ่อนเพลีย
“จ้ะ น้องจ๋าลงไปก่อนนะคะ”
“ไม่เอา จ๋าจะรอ อาหมอเปิดประตูหน่อยเปิด ๆๆ”เด็กหญิงเคาะรัวราวกับจังหวะร็อก หญิงสาวจำต้องเดินมาเปิดประตูให้เธอเท้าเอวจ้องหน้าเด็กจอมกวน อาจารีที่เท้าเอวตามบ้าง
“เท้าเอวทำไม”เด็กหญิงลามยียวน ช่างเหมือนอาไม่มีผิดเลยมิน่านิสัยใจคอของเด็กน้อยคนนี้ไม่ยอมใครเลยจริงๆ
“น้องจ๋านั่นละ เป็นเด็กเป็นเล็กเท้าเอวทำไม”
“ก็ทำตามอาหมอ อาหมอทำหน้าบูด จ๋าก็ทำมั่ง”หญิงสาวจ้องหน้าเล็ก ๆ ที่พูดอย่างไร้เดียงสา ขณะเดียวกันก็อดคิดถึงอาของเด็กหญิงไม่ได้ เขาคงลำบาก ต้องไปอยู่ในวัดที่กันดารอย่างนั้นแต่ที่แย่ที่สุดคือเขาไม่เคยส่งข่าวมาหาเธอเลยยิ่งทำให้เธอเป็นห่วงเขามาก
“อาหมอร้องไห้ทำไมคะ”
“อาคิดถึง...” ชื่อของปฏิภาณติดอยู่ที่ริมฝีปาก
“จ๋าก็คิดถึง จ๋าคิดถึงอาโป้ง เมื่อไหร่อาโป้งจะมารับหรือว่าอาโป้งจะไม่มาแล้วปล่อยให้จ๋าอยู่กับคุณตาและอาหมอตลอดชีวิต อาโป้งไม่รักจ๋าแล้วใช่ไหมคะ” หญิงสาวรัดร่างในอ้อมแขนแน่นเธอกดจมูกไปบนศีรษะทัยของเด็กหญิงที่กำลังร้องให้ต่างจากเด็กจอมซนเมื่อครู่เหมือนคนละคน
“เปล่าจ๊ะ อาโป้งคิดถึงหนู อาโป้งรักหนูมากแต่ตอนนี้อาโป้งมีงานด่วนที่ต้องทำให้เร็วที่สุดจ๊ะ”
“จริงหรือคะ อาหมอไม่หลอกจ๋านะคะ” นิ้วเล็ก ๆของทั้งคู่เกี่ยวกันหญิงสาวปาดน้ำตาออกจากพวงแก้มยุ้ย
“สัญญาจ้ะ ไม่หลอก ไปเถอะ ลงไปข้างล่าง”
“เย่ๆๆ จ๋าจะได้กลับบ้านแล้ว จ๋าคิดถึงบ้าน คิดถึงอาโป้ง” ร่างเล็กกระโดดแผล็วลงบันไดอย่างร่าเริงและหันมาโบกมือให้หญิงสาว