"พ่อช้างคุยกับผู้ใดอยู่น่ะพ่อ"
หลังจากที่ขุนช้างถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกับเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนานอย่างพลายแก้วไปได้ระยะหนึ่ง พิมพิลาไลยที่ไปสวดมนต์รับพรเรียบร้อยแล้วจึงได้เดินหาสหายตัวเองจนมาเจอขุนช้างนั่งคุยอยู่กับเณรที่ศาลา
แต่ดูท่าว่าแม่นางคนงามจะยังจำพลายแก้วไม่ได้ จึงไม่ได้คิดจะทักทายอะไรมาก ต่างจากพลายแก้วที่มองสาวงามตาไม่กระพริบ
"อะแฮ่ม!"
"เป็นกระไรน่ะพ่อช้าง กระหายน้ำหรือ"
"เล็กน้องจ่ะแม่พิม"
เจ้าของดวงตาสีนิลถึงกับกระแอมในลำคอเบาๆเรียกสติชายที่มองตามสาวงามไม่ละสายตา ทางพลายแก้วที่เหมือนถูกตำหนิจึงหันกลับมามองขุนช้างแทน
"จริงสิแม่พิม จำพลายแก้วได้หรือไม่"
ขุนช้างว่าพลางผายมือไปทางเณรแก้วซึ่งนั่งอยู่อีกฝั่ง พิมพิลาไลยจึงได้ถึงบางอ้อว่าที่ตัวเองคุ้นหน้าคุ้นตาเณรรูปนี้เพราะนั่นคือเพื่อนสมัยยังเป็นเด็กของทั้งนางและขุนช้างนี่เอง
"พลายแก้วเองหรือ มิได้พบกันเสียนานเป็นอย่างไรบ้าง"
พิมพิลาไลยว่าอย่างเป็นมิตร ก่อนจะนั่งลงข้างขุนช้าง ทั้งสองคนดูท่าทางสนิทสนมกันอย่างเห็นได้ชัด พลายแก้วจึงอดไม่ได้ที่จะสงสัยถึงความสัมพันธ์ของเพื่อนสมัยเด็กทั้งสอง
พิมพิลาไลยเองก็เป็นคนงามที่สุดในสุพรรณ ขุนช้างก็ทั้งรูปหล่อบ้านรวยแถมยังมียศเป็นถึงขุนนาง ไม่มีอะไรจะเข้ากันไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว
"สบายดีจ่ะ แล้วแม่พิมเป็นอย่างไรบ้าง ออกเรือนไปหรือยัง"
คำถามนี้ของขุนแผนค่อนข้างไปสะกิดใจขุนช้างอยู่บ้าง แล้วที่ถามว่าออกเรือนไปรึยังของสมัยนี้ ก็เหมือนกับถามว่ามีแฟนรึยังของยุคปัจจุบันไม่มีผิด
"แม่พิมยังสาวยังสวย ใยต้องรีบออกเรือน อยู่ใช้ชีวิตอิสระอีกสักหลายๆปีจะเป็นกระไรไป"
"จริงจ่ะพ่อช้าง"
พิมพิลาไลยตอบรับขุนช้างหนักแน่น เนื่องจากนางเองก็ได้รับทัศนคติหลายอย่างจากขุนช้างมา นางจึงมีความคิดหลายๆอย่างที่ต่างออกไปจากคนอื่นๆ
ด้วยความว่าเหมันต์ในร่างของขุนช้างมีความคิดในแบบคนยุคใหม่ หลายๆอย่างที่เจ้าตัวติดว่าดีจึงถูกส่งต่อให้น้องสาว(ทิพย์)อย่างพิมพิลาไลยด้วย
นางเองก็พอใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากในวรรณคดีเอง วันทองก็ดูมีหัวสมัยใหม่ไม่น้อย อีกทั้งทัศนคติหลายๆอย่างก็ดีกว่าพวกหัวโบราณหลายๆคนมาก
"เช่นนั้นแล้วเอ็งเล่าช้าง ออกเรือนไปหรือยัง"
คำถามนี้ถามพิมพิลาไลยไม่แปลกเท่าใดนัก แต่เหตุใดจึงต้องมาถามเขาด้วยเล่า
"เดี๋ยวๆ ข้าเป็นบุรุษ ออกเรือนกระไรของเอ็ง"
"ข้าถามผิดไป คงจักต้องถามว่าเจ้าตบแต่งเมียหรือยังสิถึงจะถูก แต่ดูท่าว่าคงจักมิต้องถามให้มากความอย่างไรเสียเอ็งก็คงจักตบแต่งเมียไปแล้วเป็นแน่"
บุรุษผู้เพียบพร้อมเช่นนี้มีหรือว่าที่เรือนจะไม่มีผู้ใดคอยปรนนิบัติ ส่วนทางขุนช้างกับพิมพิลาไลยที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้แต่ส่ายหัวเบาๆ
"พ่อช้างยังไม่มีเมียดอกหนา พ่อกับข้าถือคติเช่นเดียวกันคือมีผัวเดียวเมียเดียว หากมิพบเจอผู้ที่จะรักไปจนวันตายเพียงผู้เดียว ข้าสองคนก็ไม่แต่ง"
"จริงหรือนี่.."
พลายแก้วแปลกใจในคำตอบที่ได้ยินไม่น้อย ถ้าบอกว่าแม่พิมคิดจะมีผัวเดียวเมียเดียวอันนี้ไม่แปลก แต่กับขุนช้างที่มีตำแหน่งสูงและเงินทองมากมาย จะสามารถทำเช่นนั้นได้จริงหรือ
"จริงแท้แน่นอน อย่างไรเสียข้าก็นับถือความรักมากกว่าหน้าตาทางสังคมอยู่แล้ว ที่ว่ากันว่าบุรุษยิ่งมีเมียมากยิ่งดีข้าไม่เห็นด้วย ข้าน่ะนับถือผู้ที่รักเดียวใจเดียวมากกว่า"
พอขุนช้างว่าจบพิมพิลาไลยก็พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย ส่วนทางพลายแก้วตอนนี้ก็นิ่งค้างไปแล้ว
"เช่นนั้น พวกเอ็งสองคนจักแต่งงานกันเองหรือ?"
ที่ถามไปมีแต่ความสงสัยล้วนๆ แต่ทางขุนช้างดันคิดไปเองแล้วว่าพลายแก้วอาจจะหึงพิมพิลาไลย เจ้าตัวจึงรีบปฏิเสธทันควัน
"ไม่ ไม่ ไม่ ข้าเห็นแม่พิมเป็นน้องสาว ข้าไม่คิดจะแต่งกับนางสักนิด"
"ข้าด้วย! ข้าก็ไม่ได้คิดกับพ่อช้างไปมากกว่าพี่ชายคนหนึ่งเลยหนา"
ทั้งสองตอบคำถามหนักแน่น เป็นพี่น้องร่วมสาบานของกันซะอย่างไม่มีทางคิดไม่ซื่อกับกันและกันอยู่แล้ว
ชายผิวขาวเสมองไปทางสาวงามเล็กน้อย ยังไงเสียที่เจ้าตัวรีบปฏิเสธขนาดนี้คงไม่พ้นกลัวคนที่ชอบจะเข้าใจผิด ขุนช้างจึงเอียงหน้าไปใกล้ๆหูพิมพิลาไลย แล้วกระซิบถามบางอย่างเสียงเบา
"แม่พิมชอบไอ่แก้วหรือ"
ที่ถามไปเพราะอยากได้ความแน่ใจ อยากให้ตัวเองแน่ใจว่าอะไรหลายๆอย่างในวรรณคดีจะยังคงเหมือนเดิม
ทว่าคำตอบของสาวงามข้างกายกลับทำให้เขาแปลกใจไม่น้อยเพราะพิมพิลาไลยไม่ได้ตอบว่าชอบน่ะสิ
"ครั้งยังเป็นเด็กข้าก็ชอบพี่แก้วอยู่ดอกหนา แต่เมื่อโตขึ้นข้าได้พบผู้คนมากมายจึงมิได้คิดอันใดกับเขาแล้ว"
คนงามตอบกลับเสียงเบา ทว่าขุนช้างยังไม่ทันได้ถามขยายความ พวกผู้ใหญ่ก็เรียกไปทำบุญกันต่อเสียแล้ว ส่วนทางเณรแก้วเองก็ต้องไปประจำที่สวดมนต์ เหล่าแก๊งเพื่อนสมัยเด็กจึงคุยจบประเด็นกันเพียงเท่านี้
ระหว่างสวดมนต์นั่งสมาธิเหมือนว่าเซลล์สมองน้อยๆของขุนช้างจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
จะว่าไปแล้วมันก็มีฉากที่ขุนแผนปีนบ้านวันทองอยู่นี่นา ถ้าเป็นแบบนั้นจริงวันทองน้องสาว(ทิพย์)ของเขาจะไม่แย่เอาหรอ
ถึงเมื่อครู่พิมพิลาไลยจะตอบกลับมาว่าไม่ได้ชอบพลายแก้วก็เถอะ แต่ในต้นฉบับจริงๆมันไม่ใช่ อีกอย่าง ถึงรู้ใจแม่พิมแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าจะรู้ใจพลายแก้วด้วยหนิ
ในต้นฉบับพิมพิลาไลยเห็นชอบกับการมีอะไรกันกับขุนแผนตอนเจ้าตัวปีนบ้าน แต่กันตอนนี้ล่ะ ถ้าวันทองไม่ยอมมันก็แปลว่าขุนแผนจะขืนใจน้องสาว(ทิพย์)เขาเลยนี่
ดูท่าจะไม่ได้การ เขาคงต้องทำอะไรสักอย่างให้พลายแก้วไม่ไปหาปีนบ้านพิมพิลาไลย
ในขณะที่การนั่งสมาธิทำให้หลายๆคนจิตใจแจ่มใสคลายกังวล ขุนช้างตอนนี้ขมวดคิ้วง่วนคิดหนักกับตัวเองจนไม่เป็นอันนั่งสมาธิ จนกระทั่งสุดท้าย เจ้าตัวก็สามารถหาทางออกของปัญหาให้ตัวเองจนได้
"แม่จ๊ะ ช้างว่าช้างจะนอนวัดจ่ะ อยากอยู่ช่วยงานหลวงพ่อสักระยะนึง"
ก็นอนเฝ้าพลายแก้วที่วัดไปเลยสิ จังหวะนี้ถ้าบวชได้ก็บวชแล้ว แต่มันติดปัญหาอย่างเดียวที่ว่าผมอันสลวยสวยเก๋ของเขางอกช้ามาก เขาจึงไม่อยากจะลงทุนตัดผมตัวเองทิ้ง
เอาเป็นว่าไปเป็นเด็กวัดชั่วคราวก่อนแล้วกัน
"ข้าไม่คิดว่าเอ็งจะมานอนวัดได้ มิใช่ว่าวันรุ่งวันรืนเอ็งจักมีงานดอกหรือ"
ช่วงกลางดึก พลายแก้วถามอย่างฉงนใจเมื่อเห็นว่าขุนช้างหอบข้าวหอบของเครื่องนอนของวัดมาปูนอนข้างๆตัวเอง
ส่วนทางขุนช้างที่มีเป้าหมายอันแน่วแน่ว่าตลอดหลายวันมานี้จะจับตาดูพลายแก้วไม่ให้คราดสายตาก็หาได้สนใจอย่างอื่นไม่
"ข้าไม่มีงาน จักมีงานกระไรในยามนี้กันเล่า หากมีงานจริงข้าคงไม่ทิ้งงานมาช่วยงานที่วัดเช่นนี้ดอก" แต่ถึงมีจริงๆก็จะทิ้งนั่นแหละ
"แล้วนี่เอ็งจักไปที่ใดยามนี้?"
หลังจากจัดที่นอนเสร็จขุนช้างก็ไม่ได้คิดจะนอนทันที เพราะในเวลาก่อนนอนสิ่งที่เขามักจะทำเป็นประจำคือการไปชำระร่างกาย
"ข้าจะอาบน้ำ"
โดยปกติแล้วเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่คนปกติในยุคนี้จะหาอาบน้ำกันสักเท่าไหร่ แต่สำหรับขุนช้าง เขาสนที่ไหนล่ะ
"เวลานี้? แน่ใจหรือช้าง"
"แน่ใจ"
ไม่ว่าเปล่าเจ้าตัวก็แกะกระเป๋าใส่ของที่ให้เหล่าคนใช้จัดแจงไว้ให้ออกมาดู ทั้งสบู่และของใช้ต่างๆที่จำเป็น ขุนช้างคนนี้เตรียมตัวมาหมดแล้ว
หลังจากที่เจ้าตัวเตรียมเสื้อมาเปลี่ยนพร้อมพาดผ้าเช็ดตัวประยุกต์ของตัวเองลงบ่าเรียบร้อย ร่างโปร่งก็ตรงไปที่ลำธารใกล้วัดทันที
เวลานี้รอบข้างมืดสนิทไม่มีแม้แต่แสงของหิงห้อย แต่ก็ยังดีที่ขุนช้างพกตะเกียงเจ้าพายุมาให้แสงสว่างด้วย การอาบน้ำท่ามกลางแสงจันทร์และความเงียบงันจึงไม่มีปัญหา
"น้องโรสลูกรักของปะป๊า ไปไหนไปกันสุดๆ"
น้องโรสที่ว่าคือสบู่กลิ่นดอกกุหลาบที่ขุนช้างสั่งทำพิเศษ เนื่องจากเจ้าตัวค่อนข้างชอบดอกไม้ชนิดนี้มาก ไม่ว่าจะน้ำปรุงหรือสบู่ที่ใช้จึงเป็นกลิ่นกุหลาบทั้งหมด
ร่างโปร่งถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกจนหมดเหลือเพียงผ้าผืนบางอันจิ๋วที่ปิดช่วงของสงวนไว้เพื่อที่เจ้าตัวจะได้อาบน้ำสะดวกๆ
สายน้ำเย็นๆชโลมทั่วกายทันทีที่ลงไปแช่ ขุนช้างทำการขัดสีชวีวันอย่างเริงร่างก่อนที่ท่ามกลางความเงียบงัน เขาจะได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง
'แซ่ก'
เสียงการเคลื่อนไหวของผืนหญ้าทำให้ดวงตาสีนิลมืดสนิทหันมองตาม และร่างที่เขาได้พบเห็นหลังจากหันมองไป คงเป็นใครไปไม่ได้เลยนอกจาก..
"พลายแก้ว? เอ็งมาทำอะไรที่นี่"
คนตรงหน้าคือพ่อพระเอกสุดหล่อที่ถือตะเกียงเจ้าพายุอีกอันเดินมาหาเขา คนตรงหน้าค่อยๆย่อตัวลงข้างๆก่อนจะตอบกลับ
"วัดนี้ผีดุ ข้ากลัวเอ็งถูกผีหลอก"
คำตอบนี้ทำให้ขุนช้างถึงกับนิ่งค้าง แล้วยิ่งจู่ๆหมาในวัดก็หอนขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยก็ยิ่งทำให้บรรยากาศตรงหน้าหลอนขึ้นมาทันตา
"เมื่ครู่เอ็งไม่ทักข้าก็จักไม่คิดอะไรอยู่แล้วเชียว"
"แล้วเอ็งคิดกระไร กลัวหรือ"
"จะให้ข้ากลัวหมาหรืออย่างไร ก็ต้องกลัวผีน่ะสิ"
เจ้าของดวงตาสีรัตติกาลถึงกับเค้นเสียงขำ มองเจ้าคนที่ออกมาดึกดื่นคนเดียวเช่นยังจะมีหน้ามาบอกว่ากลัวผีอีก
ทางหนุ่มผิวขาวตอนนี้ถึงกับเร่งอาบน้ำให้เสร็จก่อนจะมีตัวอะไรโผล่ออกมาจริงๆ หลังจากเจ้าตัวล้างตัวจนเสร็จจึงได้ก้าวขึ้นจากน้ำไป
"แก้วๆข้าขอมือเอ็งช่วยดึงข้าหน่อย"
เนื่องจากตรงทางขึ้นค่อนข้างสูง อีกทั้งเขายังต้องจับผ้าชิ้นบางที่ปกปิดตัวไว้ด้วยมือข้างนึงการขึ้นไปด้านบนจึงลำบากเล็กน้อย
พลายแก้วไม่ได้ว่าอะไร ยื่นมือให้อีกคนจับ ขุนช้างจึงได้ใช้แรงดึงตัวเองขึ้นไป
แต่ด้วยความว่าตรงนั้นเป็นพื้นโคลนแฉะ เท้าที่เหยียบลงไปจึงไม่มั่นคงนัก ร่างโปร่งถึงกับเซไปตามแรง แต่ยังดีที่พลายแก้วช่วยไว้ได้ทัน ร่างของขุนช้างจึงได้พุ่งไปอยู่ในอ้อมแขนของอีกฝ่ายพอดี
"ขอโทษๆ ข้าทำเอ็งเปียกหมดเลย"
"ไม่เป็นไร เล็กน้อยเท่านั้น"
เสียงทุ้มเข้มว่าอย่างราบเรียบ พลายแก้วถึงกับหายใจติดขัดไปช่วงจังหวะนึงเมื่อกลิ่นกายหอมละมุนของคนตรงหน้ากระทบจมูก
ความหอมละมุนเบาบางเบาที่ไม่เคยได้ดอมดมจากที่ไหนทำให้เขาหายใจผิดจังหวะไปครู่หนึ่ง
ในตัวของคนผู้นี้มีหลายอย่างเหลือเกินที่ทำให้เขาแปลกใจ ร่างสูงค่อยๆประคองอีกคนให้ยืนดีๆใบหน้าของพวกเขาทั้งสองจึงเฉียดกันไปเพียงไม่กี่นิ้วเท่านั้น
ทางขุนช้างรายนั้นไม่ได้คิดอะไรมาก หลังจากขึ้นมาได้ก็เช็ดตัวจัดแจงใส่เสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทาง ส่วนคนตัวสูงก็ได้แต่ยืนรออีกคนจัดการตัวเองไป
พอเสร็จกิจสองร่างเดินเคียงข้างกันไปตามทางกลับเข้ากุฏิ เนื่องจากขุนช้างกลัวจะโดนผีหลอก เจ้าตัวเลยจะค่อนข้างเดินเร็วเป็นพิเศษ
พอถึงฟูกนอนเจ้าตัวก็ไม่รอช้ารีบพุ่งตัวเข้าซุกกับผ้าห่มผืนบางทันที ส่วนทางขุนแผนได้แต่ยิ้มขำ ยังไงเสียสำหรับเขาแล้วพวกภูติผีไม่ได้น่ากลัวสักนิด ทว่ากับอีกคนคงจะไม่ใช่
"เอ็งรีบมานอนเร็วเข้า"
ขุนช้างว่าพลางตบที่นอนข้างๆขุนแผนจึงค่อยๆดับตะเกียงเจ้าพายุแล้วทำตามที่อีกคนบอก
อันที่จริงขุนช้างก็ไม่ได้อยากจะนอนก่อนอีกคนสักเท่าไหร่เพราะกลัวว่าดึกๆขุนแผนจะไปปีนห้องพิมพิลาไลย แต่ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว เขาคิดว่าขุนแผนก็คงไม่คิดจะปีนห้องใครแล้วแหละ เจ้าตัวจึงวางใจไม่ได้คิดอะไรมาก แล้วเตรียมจะหลับในที่สุด
ทางพลายแก้วเดิมทีเขาเป็นคนที่หลับง่ายมาก แต่กับค่ำคืนนี้ดูจะต่างออกไปจากคืนก่อนๆเล็กน้อย เนื่องจากขุนช้างพึ่งจะอาบน้ำมา กลิ่นน้ำปรุงหอมบางเบาจึงได้ยังติดกายเจ้าตัวอยู่
กลิ่นหอมของดอกไม้ทำให้จิตใจของพลายแก้วปั่นป่วนไม่น้อย ยิ่งเมื่อเห็นว่าเจ้าของกลิ่นกายหอมนวลคือผู้ที่มีใบหน้าเนียนละเอียดงดงามแล้ว ผู้ที่นอนอยู่ข้างๆอย่างเขาจึงแทบไม่เป็นอันจะนอน
ไอ่ช้างนะไอ่ช้าง ที่มีตั้งมากมายเหตุใดจึงต้องเอาฟูกนอนมาติดข้าถึงเพียงนี้
แล้วเช่นนี้ข้าจะนอนอย่างไรกันล่ะ
พี่ก็กลั้นหายใจไงคะ
กลั้นหายใจให้ถึงเช้าเลยค่ะ!
นุ้งรู้ว่าพี่ทำได้!