เสียงนกร้องต้อนรับเช้าวันใหม่กับอากาศที่ชวนน่านอน เมฆฝนที่ตั้งเค้ามาแต่ไกลกลับน่าแปลกที่อากาศรู้สึกสนชื่นกว่าที่คิด ผมงัวเงียเดินไปเปิดหน้าต่างเพื่อสูดอากาศข้างนอกยามเช้าที่มักจะทำเป็นประจำ อย่างน้อยก็โอเคล่ะนะ ฝนที่ตกเมื่อช่วงกลางคืนหลังจากพวกผมเล่นไพ่กันเสร็จแล้วแยกย้ายกันนอน ฝนกระหนำตกไม่ขาดสายจนเริ่มใกล้รุ่งนี่แหละ บวกกับที่คฤหาสน์นี้ติดกับป่าทำให้มีหมอกลงตอนเช้า มันไม่ได้ทำให้ร้อนอบอ้าวเหมือนในตัวเมือง
“มีบ้านอยู่ใกล้ป่ามันดีแบบนี้นี่เอง” ไม่ทันที่ผมจะสูดกลิ่นธรรมชาติเต็มปอดผมสังเกตเห็นลูแอลเดินเตร่อยู่ในป่า แต่ตอนนี้หมอกลงนะ ชักไม่ดีแล้วสิ ผมรีบหยิบเสื้อกันหนาวแล้วรีบวิ่งลงไปข้างล่าง
ผมวิ่งจนมาถึงจุดที่คิดว่าเห็นลูแอลผมชะเง้อมองหาเจ้าตัวแต่กลับได้ยินเสียงแปลก ๆ เหมือนมีใครร้องเลย ผมเดินตามเสียงนั่นไปแต่มีใครบางคนกระชากผมออกห่างจากป่า
“ทำอะไร” ลูแอลจับแขนผมแน่น
“ผมเห็นคุณเดินเข้าไป...”
“ฉันก็ยืนอยู่นี่ไงนายนั่นแหละที่กำลังจะเดินเข้าไปข้างใน เข้าไปแล้วเกิดหลงขึ้นมาจะทำไง”
ผมรู้สึกผิดทันที “ขอโทษครับ”
ลูแอลปล่อยแขนผมก่อนเผยิดหน้าไปทางคฤหาสน์
“เข้าข้างในเถอะข้างนอกถึงจะเช้าแล้วแต่อากาศยังเย็นอยู่”
ผมเดินตามเขาไปด้านในยังอดสงสัยไม่ได้ก็เมื่อกี้ยังเห็น ๆ อยู่ว่าเขากำลังเดินเข้าไปในป่า แล้วไหนถึงมาอยู่ด้านหลังผมล่ะ
“เสียงดังเอะแต่เช้าเกิดอะไรขึ้น” ทีเรียน่ายืนมองผมกับลูแอลที่เดินเข้ามา
“ไมเคิลเกือบเดินเข้าไปในป่าน่ะสิ” ไม่วายว่าจบเหล่หันมองผมด้วยหางตา
“ก็ขอโทษแล้วไง”
“ทำไมชอบทำตัวเป็นเด็กอยู่เรื่อยกลัวไม่มีใครสนใจหรือไง” ทีเรียน่าเท้าสะเอวมองผมคาดคั้น
ชักเหลืออดแล้วนะ! “แล้วมันไปหนักบนส่วนไหนของเธอถึงชอบด่าฉันนัก แน่จริงอย่าเก่งแค่กับฉันสิ”
“น...”
“หนวกหูจริงเลยอย่าทะเลาะกันแต่เช้าได้ไหม” ฟาคัล...แทบเรียกได้ว่ากระชากประตู ก้าวออกมาจากห้อง สภาพเพิ่งตื่นนอนไม่ผิดแน่ผมยุ่งขนาดนี้ “นี่ก็อีกคนพอไมเคิลทำอะไรผิดนิดหน่อยก็แวดใส่มันท่าเดียว บ้าหรือเปล่าเนี่ย”
ทีเรียน่าทำท่าจะว่าฟาคัลกลับลูแอลก็พูดดักซะก่อน
“นายเองก็ตื่นได้แล้วลงมาช่วยฉันเตรียมอาหารเช้าเร็ว”
“ครับ ๆ ขอเวลาแต่งตัวแปปนะ”
ตอนนี้เกือบเก้าโมงแล้วหลังทุกคนกินอาหารเช้าเสร็จเอร่อนก็เริ่มอีกป่วนอีกแล้ว
“ฉันอยากลงไปห้องใต้ดินว่ะ” แน่นอนว่าเจ้าตัวพูดตอนที่ลูแอลไม่อยู่
“เมื่อวานไม่เข็ดหรือไง”
“มันไม่ใช่พ่อฉันนะเรามาเที่ยวพักผ่อนนะเว้ยผ่อนคลายหน่อยสิ มีอีกหลายที่ในห้องใต้ดินที่ฉันยังไม่ได้เข้าไปสำรวจเลย มันคาใจนี่นา”
“แล้วถ้านายกับลูแอลทะเลาะอีกล่ะ พวกฉันไม่ช่วยแล้วนะ”
“เออน่ะ” เอร่อนหันมองผม
‘เอาแล้ว’
“อย่าหวังซะให้ยาก”
“นายไม่คิดจะช่วยพี่ชายอย่างฉันหน่อยเหรอ”
“พี่ชายที่ไม่เคยคิดจะช่วยฉันแถมยังโยนขี้มาให้เนี่ยนะ”
เอร่อนลุกพรวด “รู้ไหมบางทีฉันก็คิดผิดที่พานายมาด้วย” ว่าจบก็ลากแฟนสาวออกไปด้วย
“ฉันกลับไปนอนต่อละกัน” แอนออกไปมั่ง
“ฉันด้วย เจ้าลูแอลดันให้ฉันลงมาช่วยทำอาหารเช้าเลยนอนไม่พอเลย” ฟาคัลเดินออกไปพร้อมแอน
ตอนนี้ในห้องครัวเลยเหลือแค่ผมกับบิล เรานั่งเล่นเกมมือถือกันพักใหญ่ก่อนบิลจะขอตัวขึ้นไปนอนต่อเหมือนกัน ผมเลยขึ้นข้างบนมั่งแต่ไม่ได้เข้าห้องผมเอง ผมหันไปเห็นประตูห้องลูแอลเปิดอยู่ ผมเดินไปดูแล้วเห็นเขาเอาแต่นอนจ้องภาพแขวนที่ผมกับเขาพูดถึงอยู่ ผมมองเขาสลับกับภาพ เขานอนนิ่งมากเหมือนกับว่า...ตายแล้วอย่างนั้นแหละจนเขาเบนสายตามองผม
“มีอะไร”
“เอ่อ...ผมเห็นประตูห้องเปิดอยู่นึกว่าคุณ...”
“ไม่มีอะไรหรอกฉันเป็นของฉันแบบนี้อยู่แล้ว”
“โอเค งั้นผมไปนะฮะ”
“อืม”
‘พิลึกคน’
“อึก ๆ ๆ”
ผมลืมตาโพลงเพราะสะดุ้งเสียงร้องแปลกประหลาดที่ไม่คุ้น ผมเด้งตัวขึ้นแล้วรีบหามือถือพอเปิดเครื่อง
‘ไม่มีสัญญาณ’
เยี่ยมเลยเอาไงดี...ผมค่อย ๆ ออกจากห้องเดินไปตามทางเดินให้เงียบที่สุด ยิ่งเดินไปไกลเท่าไหร่เสียงร้องก็ยิ่งดังขึ้น ผมหมุนลูกบิดประตูห้องของแอน ข้างในห้องว่างเปล่าไม่มีใครอยู่เลย ผมรีบไปดูห้องคนอื่นแต่ก็เหมือนกันไม่มีใครอยู่สักคน
“ไมเคิล”
เสียงกระซิบดังขึ้นข้างหูผมรีบหันขวับ...
“ไมเคิล ไมเคิลตื่นสิ เฮ้...ไม่เป็นไรพวกนี่ฉันเอง”
ผมลืมตามองรอบห้องก่อนมองคนที่มาปลุกผม
“บิล”
“เกิดไรขึ้นฝันร้ายเหรอ นายร้องดังมาก”
ผมลุกขึ้นนั่งเอาหลังมือเช็ดเหงื่อตามใบหน้า “ฉัน...นี่กี่โมงแล้ว”
“เกือบบ่ายแล้ว นายไหวนะ” บิลนั่งลงข้าง ๆ
“ไหว...แค่...ขอพักหายใจหน่อย” นี่เป็นครั้งแรกที่ฝันร้ายแถมเป็นฝันร้ายที่น่ากลัวด้วย คงต้องหาอะไรดูก่อนนอนกันฝันร้ายอีกระลอกดีกว่า ผมจะหันไปถามเรื่องที่บิลเข้ามาว่ามีเรื่องอะไรหรือเปล่าดันเห็นสีหน้าหม่น ๆ ของเขาพอดี “มีอะไรเหรอ”
“เอร่อนน่ะสิ”
“ทำไม”
“เขาให้ฉันไปเรียกคุณลูแอลให้ลงไปที่ชั้นใต้ดินน่ะ ฉันก็ไปเรียก...แต่บอกเจ้าตัวแล้วว่าเอร่อนเป็นคนให้ฉันเรียกเขาลงไปข้างล่าง คุณลูแอลไม่ได้ว่าอะไรเขายอมเดินลงไป พี่นายแอบอยู่หลังประตูห้องใต้ดิน พอคุณลูแอลเดินไปถึงกำลังจะเดินลงไปเอร่อนก็ผลักเขาตกลงไป”
“ว่าไงนะ! แล้วคุณลูแอล...”
“ขาหักแล้วก็หมดสติไปเลยน่ะสิ คุณแอนกับฟาคัลช่วยกันปฐมพยาบาลเบื้องต้นแล้ว ฉันกำลังจะติดต่อกู้ภัยแต่เอร่อนห้ามไว้แล้วขู่ว่าถ้าใครเอาเรื่องนี้ไปพูดเขาจะฆ่าทิ้งให้หมด”
“อะไรทำให้เขาคิดเรื่องบ้าแบบนี้”
“นายก็เห็นนี่ว่าเอร่อนกับคุณลูแอลถูกกันซะที่ไหน ถึงเอร่อนจะฟังคำพูดของคุณลูแอลก็เถอะ นายรู้นิสัยเอร่อนดี พอใครทำท่าทางใหญ่กว่าก็เล่นไม้นี้”
“ตอนนี้ก็ยังไม่ฟื้นใช่ไหม”
บิลส่ายหน้า
“นายเป็นบ้าอะไรวะเพียงแค่เพราะมันดูถูกแฟนนายหรือไง!”
ผมกับบิลลงไปเห็นฟาคัลชกเข้าที่หน้าของเอร่อน
“ใครใช้ให้มันพูดอย่างนั้นกับแฟนฉัน”
“นายใช้ส่วนนั้นของนายเป็นสมองไว้คิดหรือไง เพื่อนส่วนเพื่อน แฟนส่วนแฟน แยกแยะไม่เป็นเหรอ”
“แจ้งเจ้าหน้าที่เถอะเขาไม่รอดแน่ถ้าไม่รับการรักษาที่ถูกต้อง”
“ฉันบอกว่าไงใครก็ตามที่แจ้งเจ้าหน้าที่ฉันไม่ปล่อยไว้แน่”
“ตลกตายเอร่อน เขาหมดสตินานมากแล้วนะ ขืนปล่อยไว้เกิดสมองเขากระทบกระเทือนล่ะ ลูแอลอาจตายได้นะ”
“เราก็บอกไปสิว่ามันเป็นอุบัติเหตุ”
“ไม่เป็นแน่ถ้าเราไม่โทรแจ้ง” ผมเข้าร่วมวงด้วย
“ไม่มีใครขอให้นายสอดไมเคิล”
“ไม่อยากหรอกแต่เชื่อเถอะถ้านายไม่แจ้งเจ้าหน้าที่แล้วปล่อยให้เรื่องเลยเถิด ต่อให้บอกเจ้าหน้าที่ว่ามันเป็นอุบัติเหตุคิดว่าพวกเขาจะเชื่อเหรอ”
เอร่อนถึงกับเงียบทำไมถึงไม่คิดหน้าคิดหลังแบบนี้นะ ทีเรียน่าก็ช่วยปลอบอีกแรง
“พวกเขาพูดถูกยอม ๆ ไปก่อนเถอะ”
สุดท้ายเอร่อนก็ยอม ฟาคัลเลยให้บิลโทรหาเจ้าหน้าที่อีกรอบแต่...
“เมื่อคืนฝนตกหนักมากทำให้น้ำป่าไหลหลากท่วมถนน แถมต้นไม้ยังล่มระเนระนาดด้วย ต้องรอจนกว่าพวกเขาจะเคลียร์เส้นทางได้”
“เวรเอ้ย! ช่วยไม่ได้ช่วงนี้ผลัดกันดูแลลูแอลก็แล้วกัน พยายามทำให้อาการเขาคงที่ไว้”