วันที่สามก่อนการแข่งขัน ราเชนทร์ลงไปอุ่นสนามเพื่อความคุ้นชิน ด้วยรถคู่ใจซูเปอร์ไบค์*( Sport Bike คือรถBigbikeที่มีการออกแบบมาเพื่อใช้ในการแข่งขันทางเรียบเนื่องจากรถประเภทนี้จะมีสมรรถนะของเครื่องยนต์และช่วงล่างสูงมากกว่ารถBigbikeประเภทอื่นๆ ซึ่งรถประเภทนี้มีท่วงท่าในการขับขี่แบบกึ่งนั่งกึ่งหมอบเพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมและทรงตัวในการใช้ความเร็วสูงๆและควบคุมอาการของรถ ในการเข้าโค้งได้เต็มประสิทธิภาพ) เอพริลเลีย รุ่น RSV4 R เสียงกระหึมดังเป็นจังหวะโดยมีขจรและบรรดาสาวสวย ที่ถูกว่าจ้างให้มาเป็นพริตตี้ในการแข่งขันของทีมลงแข่งอีกทีม เดินทางมาก่อนงานเริ่ม นั่งเชียร์อยู่บนขอบสนามใกล้กัน หากดูเผินๆใครๆก็คงคิดว่าสาวสวยทั้งสามคงเป็นกองเชียร์หนุ่มหล่อที่โชว์ลีลาอยู่ในสนามแน่นอน
น้ำเสียงหวีดว้ายสีหน้าตื่นเต้นจนออกนอกหน้า ยามรถคันงามโดยมีเจ้าของหนุ่มหล่อ นั่งบังคับการวิ่ง เข้าโค้งและละโค้งจนน่าเสียวไส้ หากแต่เป็นภาพที่ดูแล้วพลิ้วสวยเหมือนปลาแหวกว่ายในสายน้ำอย่างมีชั้นเชิง
ในทุกนาที มีให้คนบนขอบสนามได้หัวใจกระตุก เมื่อจับจ้องเครื่องยนต์ที่วิ่งเร็วแรง ของเครื่องยนต์ แบบควบคุมการหมุนล้อ 3ระดับ ควบคุมแรงเหวี่ยง3แบบ ระบบควิกชิฟต์เปลี่ยนเกียร์ทั้ง6 สปีดได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องเปลี่ยนคลัตซ์ และด้วยความชำนาญของคนขับ ทำให้ภาพพวกนั้นดูพลิ้วกลมกลืนเข้าด้วยกัน เพลิน เหมือนอยู่อีกมุมหนึ่งของความเพ้อฝันที่เต็มไปด้วยความจริง
นาทีเพลิดเพลิน บางอย่างในกระเป๋ากางเกงสั่นเตือน ขจรขยับเพื่อให้สะดวก หากแต่สายตาจับจ้องบนสนามที่มีความเร็วอยู่ในเลนส์สายตาตลอดเวลา “ใครวะ ยุ่งฉิบ” ปากบ่นแต่มือรีบล้วงสิ่งนั้นออกมา โดยไม่ได้มองหน้าจอ “ฮัลโหล ครับ”
“ฮัลโหล คุณราเชนทร์หรือครับ คุณราเชนทร์...” น้ำเสียงละล่ำละลักของปลายสาย ทำเอาขจรหน้าคิ้วขมวด เบนสายตามองสิ่งที่แนบอยู่บนใบหูและรีบดักเอาไว้ แปลก?
“ปะ เปล่าไม่ใช่ผมขจรเพื่อนราเชนทร์ครับ”
“อ้าว คุณขจรหรอกหรือครับ แล้วคุณราเชนทร์ละครับ อยู่แถวนั้นหรือป่าว” คำถามนั้นทำให้ขจรผันหน้าลงไปในสนาม เงียบ และไม่ต้องบอกเมื่อเสียงรถที่ดังกระหึมอยู่นั้น ทำหน้าที่ตอบไปในสายเรียบร้อยแล้ว และอีกฝ่ายก็เข้าใจดี
“มีอะไรด่วนหรือเปล่า โดม” ไม่ต้องถามว่าใครโทร.มา เพราะคนเดียวที่กล้าโทร.มาเบอร์ส่วนตัวนี้ได้ ไม่กี่คน เขาและคนสนิทเท่านั้นที่เจ้าของเบอร์อนุญาต ที่สำคัญน้ำเสียงนั้นก็เปรียบเสมือนเพื่อนคนหนึ่งที่เคยถูกแนะนำ โดยเจ้าของโทรศัพท์เครื่องนี้ ครั้งถูกลากให้เข้าไปเหยี่ยมบ้านครั้งแรกที่คบกันและในหลายๆครั้งยามที่เจ้าของโทรศัพท์นึกครึมอยากให้ไป และครั้งล่าสุดที่จำได้ไม่มีวันลืมแม้กระทั้งตอนนี้ วันที่กลายเป็นไม้กันท่า ให้คนเป็นพ่อเข้าใจผิด มันเป็นการบังคับ ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ‘ชอบไม้ป่าเดียวกัน’ โดยคนเป็นพ่อตาลีตาเลือกก่นด่าจนบ้านเกือบแตก คนเป็นลูกหาได้สำนึก กับสนุกกับสิ่งที่ทำ
เสียงครืดๆลากยาวสั่นระส่ายอยู่บนหัวเตียง ซ้ำๆหลายครั้ง ร่างหนาที่นอนห่อกายอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนา พลิกหาย เปลี่ยนท่าทางการนอน หากแต่เจ้าเสียงนั้นยังสั่นไม่เลิก สร้างความหงุดหงิดให้เจ้าของห้องแต่เช้า “อะไรวะเพิ่งนอนเอง” ปากพร่ำเปลือกตายังปิดอยู่ ด้วยนอนไม่เต็มตื่น หลังจากที่ท่องราตรีกลับเกือบใกล้รุ่ง
มือเรียวหนาพยายามควานหา แล้วก็เจอ ยกขึ้นแนบหู กดรับด้วยความคุ้นชินทั้งที่ตายังปิดสนิท “อือ ว่าไง” น้ำเสียงยานคางกรอกเข้าไป ทั้งที่ไม่แน่ใจว่าเป็นใคร
“กว่าจะรับ” น้ำเสียงคุ้นหูและฟังดูหงุดหงิด ขจรปรือตาขยับๆขึ้นลงเพื่อให้คุ้นชินกับแสงสว่างที่เล็ดลอดเข้ามาทางม่านหน้าต่างบานใหญ่
“นายเองหรอกหรือ ว่าไง โทร.มาแต่เช้าเชียว”
“มีซิถึงได้โทร. มาหาฉันที่คอนโดหน่อย”
“เฮ้ย! ตอนนี้หรือ”
“เออ ตอนนี้ ครึ่งชั่วโมงไม่ขาดไม่เกิน” เขาจำกัดเวลารู้ว่ามือระดับนักแข่งรถอย่างขจรคงทำเวลาได้ หากจะอ้างว่ารถติดไฟแดง นั้นแค่ข้ออ้าง เมื่อเขาคำนวณเส้นทางระหว่างคอนโดและบ้านเพื่อนรัก ที่คุ้นชินไว้ดิบดีแล้ว
“อะไรวะ ฉันยังนอนไม่อิ่มเลยนะ”
“ครึ่งชั่วโมง หลังจากนี้ หากไม่มา ต่อไปก็ไม่ต้องมาหาฉันอีก” คนปลายสายยื่นคำขาดแล้วตัดสายทิ้ง คนบนเตียงลืมตาโพลง ความง่วงหงอยหายเป็นปลิดทิ้ง
“อ้าว เฮ้ย อะไรวะ?” แม้จะยังงงอยู่บ้างแต่เมื่อเจอคำขาดขจรรีบจัดการกับตัวเอง แล้วบึ่งรถสปอร์ต์คันหรู ไปยังจุดหมายปลายทาง หากแต่เมื่อไปถึง ยังไม่ได้เอ่ยทักทายอีกฝ่ายที่คงรออยู่แล้ว เดินออกจากห้องพัก แล้วเอ่ยขึ้น
“นายช่วยพาฉันกลับบ้านหน่อย”
แปลกใจ ทั้งที่รถตัวเองก็มีและหลายคันเสียด้วย... อยากถามหาสาเหตุและเหตุผล แต่สีหน้าและท่าทางของราเชนทร์ ทำให้ขจรได้แต่เก็บปากเงียบ และทำตามคำสั่งนั้นอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง หากแต่อดค้อนขอดเพื่อนรักไม่ได้ ...ไม่ใครก็ใคร เอารังแตนมาให้กินทั้งรังแหง
“ไม่ต้องเอ่ยอะไร นอกจากฟัง และยิ้ม หากทำเกินมากกว่านั้น นายตาย” คนโดนสั่งอ่าปากเหวอ พร้อมทำตาปริบๆอย่างไม่เข้าใจ
เพื่อนเล่นบทโหดอีกแล้ว ขจรโอดครวญอยู่เพียงลำพังในใจ จนถึงคฤหาสน์หลังงามในเนื้อที่กว่าสามไร่โดยมีรูปั้นหลากหลายรูปแบบตกแต่งไว้ทุกมุม อีกทั้งสุ่มพุ่มไม้ที่ตัดแต่งรูปทรงไว้หลากหลายแบบ โดยฝีมือประณีต ไว้อย่างลงตัวและเป็นธรรมชาติที่สุด หากเอ่ยถึง ‘คฤหาสน์ สันทะนะ’ ใครๆก็ต้องรู้จักเมื่อภาพบรรยากาศ ถูกตีพิมพ์ไว้ในนิตยสารหลายฉบับ จนเป็นที่รู้จักทั่วทุกวงการ ผู้คนมากมายต่างอยากสัมผัสเยี่ยมชมของจริง
แปลก หากบางคน กับไม่ต้องการใช้สิทธิ์...
“มีอะไรกับผมนักหนา” ทันที ที่ย่างเท้าเข้ามาหน้าตึก เสียงทุ้มเอ่ยถามเกือบตะคอก คนที่กำลังอ่านหนังสือพิมพ์ที่โต๊ะตัวโปรดยามหยุดงาน ในรอบหลายเดือน พับเก็บอย่างคนใจเย็น
ขจรที่เดินเข้ามาติดๆหน้าเจื่อน ไม่ชอบใจนักกับการทักทายผู้ให้กำเนิดด้วยน้ำเสียงก้าวร้าวแบบนั้น หากแต่ก็เงียบฟัง แค่นี้ ขจรก็รู้แล้วว่า รังแตนราเชนทร์ได้แต่ใดมา
“นั่งลงก่อนสิ... อ้าวขจร มาด้วยหรือ” บอกลูกชายน้ำเสียงเรียบนิ่ง แล้วทักทายคนด้านหลังที่เดินเข้ามาอย่างสนิทสนมคุ้นเคยดี ไม่แปลกใจที่เห็นสองหนุ่มพร้อมกัน
“ครับหวัดดีครับพ่อ” เสียงทุ้มเอ่ยทักทายตามความเคยชิน โดยลืมคำสั่งเพื่อนไปแล้ว
ใบหน้าที่มีแววครุ่นคิดพาดผ่านพอได้ให้เห็น ยิ้มรับแล้วเอ่ยขึ้น “อืม ไว้พระเถอะ” รับไว้พร้อมช้อนสายตามองลูกชาย ที่ยังยืนค้ำหัว อีกทั้งไม่คิดไว้พ่อแม้แต่น้อย หากแต่ไม่ได้โกรธเคืองหรือคิดมาก เพราะเรื่องหนักหนามีมากกว่านั้นที่ต้องให้คนเป็นพ่ออย่างเขาใช้ความคิดอย่างหนัก