เมื่อบรรยากาศกร่อย ทุกคนพร้อมใจกันอิ่ม ใจปองช่วยป้าเตือนเก็บโต๊ะ ปองรักขอตัวขึ้นห้อง ราชิตจึงชวนลูกชายออกไปคุยด้านนอก
“นึกไงถึงกลับมาบ้าน” คำถามแรกทำเอาชายหนุ่มเลือดร้อน ชักสีหน้าอีกครั้ง ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้หนังอย่างดี ถัดจากพ่อที่นั่งไปก่อนแล้ว
“เมื่อก่อนไม่เห็นพ่อเคยถามแบบนี้...” ตาคมทอประกายกร้าว “หรือเพราะได้ของเล่นใหม่เลยไม่อยากให้ผมกลับมา?”
“ไม่มีของเล่นอะไรทั้งนั้น นั้นมันของจริง”
“พ่ออย่าหลอกตัวเองดีกว่า” เขาดัก ไม่เชื่อ ยังไงเด็กรุ่นลูกหรือจะเกาะติดคนแก่คราวพ่อ
“แกจะรู้ใจฉัน หรือใจหนูรักเขาได้ยังไง”
“หึ ก็แค่ผู้หญิงหิวเงิน”
“หยุดนะราเชนทร์ หากดั้นด้นมาหาฉันแต่เช้า เพื่อมาพูดก้าวร้าวแบบนี้ ก็ไม่ต้องพูดกัน” เขาอยากบ้องหูลูกชายนัก แต่ก็ไม่เคยสักครั้งที่จะทำ “มานี่ เพราะเรื่องนี่ใช่มั้ย งั้นแกกลับไปได้ ถึงเดือนฉันจะโอนไปให้ไม่ต้องมาทวง”
“สิ่งที่พ่อให้ผมดีที่สุดคือเงินอยู่แล้ว ผมไม่จำเป็นต้องมาทวง”
“ก็ดี ฉันทำตามที่แกต้องการแล้วนิ”
“หรือครับ ผมต้องการแค่นั้นจากพ่อจริงๆหรือ?”
“แล้วแกไม่ถามบ้างหรือ ว่าฉันต้องการอะไรจากแกบ้าง”
“หึ จะอะไร ที่พ่อต้องการจากมผม หากไม่อยากส่งผมไปไกลๆ” เขาประชด ราชิตถอนหายใจ นับหนึ่งถึงสิบในใจ
“แกนี่ หาเรื่องพ่อได้ตลอดเลยนะ เมื่อไหร่จะกลับมาช่วยงานพ่อล่ะ”
“หึหึ คิดจะวางมือแล้วหรือ”
“ก็จะวางตั้งนานแล้ว หากแกกลับมาเป็นผู้เป็นคน”
“แล้วที่ผมเป็นอยู่ ไม่ใช่ผู้ ใช่คนหรือครับ”
“ก็เป็น แต่มันไม่เต็มร้อย”
“หากผมจะขาด ก็ขาดมาจากพ่อนั้นแหละ”
“....” ราชิตรู้สึกเหมือนโลกหมุนอยู่รอบตัว ผ่อนลมหายใจเข้าออก ไม่อยากต่อปากต่อคำให้เส้นเลือดในสมองแตก จึงนั่งกุมขมับเคล้นคลึงเบาๆโดยมีสายตาของราเชนทร์นั่งมองเงียบๆ
หากเป็นคนอื่นได้ฟังสองพ่อลูกคุยกัน คงคิดว่านี้เป็นการทะเลาะ แต่เปล่าเลย ต่างคนต่างพูดประชดแดกดันใส่กันเท่านั้น
เมื่อคิดว่าพูดไปก็ไม่เข้าหู ราชิตจึงลุกขึ้นไปทำธุระส่วนตัวของตนเองต่อ ราเชนทร์ไม่แปลกใจอาการผลุนผันลุกขึ้น ทั้งที่สนทนายังไม่จบ มันเป็นการตัดบท ของผู้บังเกิดเกล้า ที่คิดว่าขืนพูดต่อไปก็รั้งแต่จะปวดหัว
สิ่งที่ยังอยู่ คือความค้างคา!
ครั้นจะนั่งต่อไปก็ใช่เรื่อง ราเชนทร์จึงลุกขึ้นบ้าง วันนี้มีการซ้อมใหญ่เพื่อให้ชินเส้นทาง เพื่อลงแข่งขันอีกไม่กี่วันข้างหน้า
“พ่อขับรถ ไปทำงานอยู่หรือปล่าวโดม”
โดมกำลังเช็ดถูรถให้เจ้านาย วางมือลง “ช่วงนี้ ไม่มีครับ”
“แล้วช่วงไหนล่ะ ที่ท่านขี่ไปเอง”
“ช่วงที่ไปทำงานซิครับ”
“เดี๋ยวถีบเลย” ว่าแล้วยกเท้าขึ้นสูง โดมคนใช้ที่สนิทสนมกันตั้งแต่เด็กๆ หรือจะเรียกว่าเพื่อนก็ว่าได้ กระโดดหลบ ต่างฝ่ายต่างหัวเราะ บรรยากาศเหมือนในวันเก่าก่อนพาดผ่านเข้ามา
“วันนี้พ่อจะไปทำงานหรือป่าว” ราเชนทร์ก้มมองดูเวลา หากต้องการาพบพ่อ เขาต้องดักรอช่วงเช้าเท่านั้นไม่ว่ากี่เดือนกี่ปี งานจำกัดเวลาความเป็นส่วนตัวของครอบครัว และกลายเป็นช่องว่างระหว่างวัย ไปโดยปริยาย
“คงไม่อะครับ” คิ้วหน้านูนสูง ไม่เชื่อว่าโดมจะพูดเรื่องจริง “จริงๆนะครับ คุณท่านหยุดมาเป็นอาทิตย์แล้ว มีงานก็จะโทร.สั่ง”
“เป็นอาทิตย์เลยหรอ...” เสียงทุ้มแผ่วเบาเหมือนละเมอ
“ครับ เป็นอาทิตย์แล้ว” โดมยืนยัน
“ไม่น่าเชื่อ” ได้คำยืนยันแน่ชัด ราเชนทร์รู้สึกอึ้งเป็นอย่างมาก เมื่อคนเป็นพ่อหยุดงานทั้งที่ชีวิตเขาไม่เคยเห็นคนเป็นพ่อ พักงานแม้ยามเจ็บไข้
“ท่านไม่สบายหรือป่าว”
“ก็เท่าที่เห็น สบายใจมากกว่า” ไม่ใช่นินทาเจ้านาย แต่พูดเรื่องจริงตั้งแต่ได้สมาชิกเพิ่มเข้ามา คุณท่านของทุกคน จากอาการเหมือนคนโดดเดี่ยว มุ่งแต่ทำงาน หอบเอกสารกลับบ้าน ไม่เคยมีรอยยิ้ม ชอบทำตัวเงียบขรึม ก็มีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ เขามาสอดแทรกความเงียบของคฤหาสน์ให้มีชีวิตชีวาขึ้น
เท้าหนาหันกลับตรงไปยังทิศทางเดิมอีกครั้ง โดมได้แต่มองตามหลังด้วยความแปลกใจ แต่จะให้ยืนอยู่เฉยคงไม่ได้ โดมตัดสินใจเดินตาม แต่ก็ทิ้งระยะห่างไว้
“คุณพ่ออยู่ไหน” เขาถามเมื่อเห็นว่ามีใครบางคนอยู่แถวนั้นเหมือนกำลังทำอะไรสักอย่าง แต่ไม่ได้สนใจ ว่าอีกฝ่ายจะง่วนทำอะไรอยู่บ้าง
“ไม่ทราบค่ะ” เธอตอบกลับไปแต่ไม่ได้เงยหน้า เพราะจำน้ำเสียงนั้นได้ดี ที่สำคัญก่อนหน้านั้น ทั้งคนถูกถามหา และคนถามทั้งสองเพิ่งแยกออกมาคุยด้วยกัน สวนเธอเพิ่งออกจาห้องครัวจึงไม่มีคำตอบให้เขาจริงๆ
“มารยาทเวลาคุยกับเจ้านาย ป้าเตือนไม่เคยสอนหรือไง” ครานี้ใบหน้าหวานเงยขึ้น นัยน์ตาเยียบเย็น วางของในมือลง แล้วเอ่ยขึ้นว่า
“ขอโทษนะคะ คำตอบก็ให้ไปแล้ว คุณจะเอาอะไรอีกค่ะ” คำตอบนั้นทำให้ราเชนทร์เพ่งมองคู่สนทนาจริงจังขึ้น
“อ้อ นึกว่าใคร ที่แท้ก็...” เขาเว้นจังหวะสาดสายตาขึ้นลงไปตามรูปร่างบอบบางแต่เต็มไปด้วยสัดส่วนได้รูป อย่างไม่กลัวว่าอีกฝ่ายต่อว่า ว่าไม่มีมารยาทกลับ
“ทำไมค่ะ” เธอถาม ไม่ชอบสายตานั้น
“หึ ก็ไม่ทำไมหรอก”
“งั้น ขอตัวนะคะ” เมื่อคิดว่า ไม่อาจช่วยเหลืออะไรเขาได้ ใจปองจึงขอแยกไปเสียดีกว่า แต่ราเชนทร์กลับคิดไปว่า นั้นคือการแสดงทีท่ารังเกียจเขา
“อวดดี”
“... อวดดี?” เธอย้อนคำพูดเขาด้วยน้ำเสียงขุ่นเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนใจ “ขอโทษนะคะ หากฉันไม่สามารถให้คำตอบคุณได้ ถือว่าเป็นการอวดดี งั้นดิฉันต้องขอโทษคุณด้วยแล้วกัน” เธอก้มหน้าให้เขาเล็กน้อยเพื่อแสดงความขอโทษจากใจจริง เพราะคิดว่ายังไงเขาก็คือลูกชาย สามีของพี่สาว ความเคารพยังมีอยู่
สายตาเขายังลามเลียไปทุกสัดส่วนบนร่างกายภายใต้อาภรณ์บางเบานั้น “ยังเรียนอยู่สิท่า...” เขาเปรยขึ้น “จบแล้วไม่มีงานทำ ก็ทำเหมือนพี่สาว หน้าตาแบบนี้คงหาได้ไม่ยาก” มือเรียวกำเข้าหากัน จนไร้ช่องว่าง
“ขอบคุณที่แนะนำ” เท่านั้นเสียงหัวเราะของเขาก็ระเบิดขึ้น อย่างกับดูละครตลกขำขัน ใจปองกัดริมฝีปากจนห่อเลือดสะบัดหน้าเดินหนี คนบ้า!
“ว้าย!” ใจปองร้องเสียงหลง เมื่อแขนของเธอถูกกระชากอย่างแรง จนรู้สึกว่าข้อต่อหัวไหล่ของเธอคงเลื่อนหลุดไปแล้ว
“ฉันยังคุยไม่จบเลยนะ” กำมือหนา บีบน้ำหนักลงไปตามอารมณ์ ขุ่นหมอง ใจปองหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บ แต่เธออดกลั้นข่มความเจ็บเอาไว้ แล้วค่อยๆบอกความต้องการออกไป ด้วยน้ำเสียงชัดเจน
“ฉันไม่มีอะไรจะคุย ปล่อยมือฉันเดียวนี้นะ” เธอสั่ง แต่ไม่ร้องบอกความรู้สึก ให้อีกคนได้ใจกับการกระทำ
“เธอเป็นใคร ถึงมาสั่งฉัน” เสียงทุ้มต่ำเปล่งถาม
“เป็นคน ที่ไม่ใช่เพื่อนเล่นของคุณไงเล่า” เธอสะบัดแขน พร้อมกันนั้นเท้าบางกระทืบไปบนหลังเท้าหนาอย่างไม่ออมแรง ผลคือแขนเธอเป็นอิสระ แต่อีกคน ก้มหน้างอตัวมองหลังเท้าของตัวเอง มือหนาปัดหลังเท้าของตัวเองปอยๆ ตาจ้องใบหน้าขาวนวลที่เริ่มมีเม็ดเหงื่อ ด้วยสายตาอาฆาต
“พอใจยัง” แม้จะกลัว จนใจสั่น แต่เธอใช่คนขี้ขลาด ยืนท้าพร้อมต่อกร ราเชนทร์เบ้หน้า ความเจ็บเริ่มบรรเทา
“เธอกล้ามากนะ” เขาโพลงอย่างโกรธเคือง ไม่มีสักครั้งที่ใครหน้าไหน ทำให้เขาต้องเจ็บตัว
“กล้ามาก หากหน้าตาคนทำ ไม่เหมือนหน้าพ่อหน้าแม่” เธอประกาศกล้า ไม่กลัว หากเรื่องถูกฟ้อง ด้วยทำร้ายลูกชายเจ้าของบ้าน
... อย่างดีก็ออกไปอยู่ที่อื่น เพราะเธอคิดว่า ที่นี่ไม่ใช่ที่ ที่เธอสมควรอยู่เช่นกัน
“ยัยแม่ปลิงแสบ ฉันจะเอาเธอมายำคอยดู...” น้ำเสียงดุกร้าว ยันตัวยืนตรง อีกคนวิ่งฉิว ไม่รอฟังคำอาฆาต เท้าหน้าเดินตามไป “หึ คิดหรือ จะรอด” ดวงตามาดหมาย มองตามเส้นทางเดินที่เขาคุ้นเคย ส่วนโดมที่เดินเข้ามา และเป็นจังหวะที่ชายหนุ่มลับฝีปากกับหญิงสาว เขาจึงทำตัวหายเข้ากลีบเมฆ ด้วยไม่อยากเป็นกรรมการให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด