ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางมาตลอดทั้งวันและเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ทำให้เตมินทร์ผล็อยหลับไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่แสงตะวันสาดส่องลอดผ้าม่านเข้ามาตกกระทบกับเปลือกตา เขาถึงได้พบว่าตนนอนหลับไปบนโซฟาตลอดทั้งคืน
แต่เอาเข้าจริงแล้ว สิ่งที่ปลุกให้เขาตื่นจากนิทรารมย์ไม่ใช่เพราะแสงแดดอุ่นๆ ในยามอรุณรุ่งหรอกนะ แต่เป็นเพราะ…
“โว้ย! ไอ้เต่า! กูบอกให้มึงมารับตอนตีห้า มึงมาเอาตอนเก้าโมงเช้า แบบนี้จะนัดหาแป๊ะมึงเหรอ!”
…เสียงของป้าคนบ้าสติไม่ดีข้างบ้าน
“โธ่ป้า เก้าโมงเช้าก็เช้าเหมือนกันแหละว่ะ จะโวยวายไปทำไมเนี่ย”
“แต่ตอนเก้าโมงเช้า ตลาดโต้รุ่งเขาเริ่มปิดกันแล้ว พ่อค้าแม่ค้าเก็บของไปนอนตูดโด่งที่บ้านแล้ว กูต้องโวยวายดิวะ”
“ไม่เห็นจะต้องโวยวาย ตลาดโต้รุ่งปิด ป้าก็ไปตลาดเช้าดิ มีของขายเหมือนกัน”
“แต่ของที่กูจะเอา ตลาดโต้รุ่งมันถูกกว่าเว้ย!”
อา…สวรรค์ ปวดหัวชะมัดเลย!
เตมินทร์รู้สึกราวกับว่าเส้นประสาทที่ฝังอยู่ในศีรษะพากันพร้อมใจเต้นตุบๆ จนหัวเขาแทบจะระเบิดออกมา เขาไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาก่อนว่าการมาอยู่ที่บ้านพักตากอากาศของเพื่อน จะต้องมาเจอเรื่องวุ่นวายอะไรแบบนี้ ทั้งที่หมู่บ้านก็ดูจะสงบสุขและดูไม่ค่อยมีผู้คนเท่าไรนะ
นี่สินะที่เรียกว่ามีเพื่อนบ้านดีเป็นศรีแก่ตัว มีเพื่อนบ้านชั่ว…ก็อย่างที่เห็น
“จะโวยวายกันทำไม รบกวนข้างบ้านเขา กูไปเอาของมาให้หมดแล้ว”
แล้วก็มีเสียงของผู้ชายอีกคนหนึ่งดังตามขึ้นมา ก่อนที่น้ำเสียงของป้าข้างบ้านที่ด่าปาวๆ เมื่อครู่นี้จะแปรเปลี่ยนไปเป็นหวานหยดย้อย
“อู๊ย ช่างเป็นป้อจายที่เลิศประเสริฐศรีอะไรฉะนี้ ใครได้ไปเป็นผัวคงจะโชคดีมิใช่น้อย”
“อ้าวป้า แล้วผมล่ะ?”
“ส่วนใครได้มึงไปก็คงเป็นเวรเป็นกรรม มีผัวอย่างมึง เป็นโสดดีกว่า”
“โห่ โคตรไม่ยุติธรรมอะ”
จากนั้นเสียงหัวเราะเฮฮาก็ดังตามขึ้นมา ถึงมันจะชวนให้หรรษา แต่สำหรับเตมินทร์แล้ว เรียวคิ้วของเขากลับขมวดมุ่นยิ่งกว่าเดิม อย่างที่บอก เขาไม่ได้คาดหวังที่จะมาเจอความวุ่นวายอย่างนี้ เขาตั้งใจว่าจะมาพักผ่อน หาความสงบสุขให้กับชีวิต ไม่ใช่มาเจอเสียงรบกวนจากคนข้างบ้านที่สะกดคำว่ามารยาทและเกรงใจไม่เป็น
เตมินทร์ตัดสินใจรอฟังอีกหน่อยว่าเสียงนั้นจะเงียบลงหรือไม่ แต่…มันไม่เงียบลงเลยสักนิด ดังขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ จนเขาได้ยินบทสนทนานั้นไม่เป็นภาษา เขาชักจะทนไม่ไหวแล้ว ตัดสินใจลุกขึ้นไปอาบน้ำ กะว่าจะออกไปเที่ยวในตัวเมืองสักหน่อย เขาไม่เคยมาที่พะเยาเลยสักครั้ง นี่เป็นโอกาสอันดีที่จะได้เปิดหูเปิดตาหลังจากเจอเรื่องหนักๆ บ้างแล้ว
หากแต่พอเขาจัดการเตรียมตัวเสร็จสรรพ เดินออกไปเปิดประตูรั้ว หมายจะขับรถออกไป เสียงหนึ่งก็ทักเขาขึ้นจากทางด้านหลัง
“อ้าว คุณคนเมื่อคืนนี่”
หันไปมองก็พบว่าเป็นผู้ชายร่างอวบ ตัวสูงใหญ่ แต่งตัวสไตล์ฮิปฮอปดูทันสมัย แต่ก็ไม่ใช่วัยรุ่น ดูอายุอานามน่าจะแก่กว่าเขาที่อายุได้สามสิบต้นๆ ด้วยซ้ำ
“คุณคือ…”
“ผมคือคนที่ขอโทษคุณเมื่อวานไงครับ จำได้ไหม”
เตมินทร์ร้องอ๋อเบาๆ ในลำคอ เมื่อคืนนี้ไม่ทันได้เห็นหน้า แต่ก็จำน้ำเสียงและรูปร่างได้
“ครับ จำได้ครับ”
“แล้วนี่…เพิ่งย้ายมาอยู่ใหม่เหรอครับ ไม่เคยเห็นหน้าเลย เจ้าของบ้านคนเก่าขายบ้านทิ้งไปแล้วเหรอครับ”
ฉับพลันก็ยิงคำถามออกมารัวๆ สายตามองเข้าไปในบ้านราวกับว่าคุ้นเคยกับเพื่อนของเขาเป็นอย่างดี แต่ฟังจากลักษณะการพูดแล้ว ดูท่าทางจะไม่ได้รู้จักกัน
“ครับ เพิ่งมาอยู่ใหม่ ส่วนบ้านนี้ก็ยังเป็นของเจ้าของเดิมนั่นละครับ ผมแค่มาดูแลให้ชั่วคราว”
“อ๋อ แล้วไป ผมนึกว่าย้ายหนีไปแล้วซะอีก”
ธรรมชาติของคนต่างจังหวัดคงจะชอบถามจุกจิกจู้จี้อย่างนี้ละมั้ง…
คนกรุงเทพฯ อย่างเขาไม่ค่อยคุ้นชินสักเท่าไรนัก แต่ก็พอทำความเข้าใจได้ จึงไม่ได้ถือสาหาความอะไรว่าการถูกซักไซ้อย่างนี้เป็นการเสียมารยาท เพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัวของเขา แต่เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม
“ไม่ได้ย้ายหนีครับ ทำไมถึงจะต้องย้ายหนีด้วย”
เตมินทร์ผูกมิตรด้วยการตอบโต้พร้อมรอยยิ้ม เขาไม่ได้คิดอะไรเมื่อเอ่ยประโยคนี้ กระทั่งมีชายหนุ่มวัยรุ่นอีกคนหนึ่ง ย้อมผมสีทองอร่าม โผล่หน้าออกมาให้เห็น
“ก็ย้ายหนีมนุษย์ป้าข้างบ้านไงล่ะครับ ต้องขอโทษด้วยที่เมื่อคืนป้าของผมไปเปลี่ยนรั้วบ้านของคุณ”
อ๋อ แสดงว่าก็ไม่ใช่ครั้งแรกสินะ
แอบสงสารเพื่อนตัวเองขึ้นมาเสียอย่างนั้นที่ต้องมาเจอเพื่อนบ้านสติไม่ค่อยสมประกอบ แต่อย่างว่า คนสูงวัย ร่างกายก็เสื่อมตามสภาพ จะมีอาการหลงๆ ลืมๆ ป้ำๆ เป๋อๆ บ้างก็เป็นเรื่องปกติ
“ไม่เป็นไรครับ แต่ระวังหน่อยก็แล้วกัน ผมกลัวว่าถ้าป้าแกมาปีนอีก แล้วพลาดตกลงมา มันจะไม่คุ้มเอา ถ้าคนแก่กระดูกกระเดี้ยวหักไป มันจะสมานยากนะครับ”
“คนแก่เหรอ”
ชายหนุ่มผมบลอนด์เลิกคิ้วสูง ก่อนจะหันเข้าไปมองในตัวบ้านข้างๆ แล้วกลั้วหัวเราะออกมาเล็กน้อย
“นั่นสินะครับ แก่แล้วไม่ควรจะทำอะไรผาดโผน จริงไหมพี่”
หันไปพยักพเยิดกับชายหนุ่มอีกคน ส่วนผู้ชายคนนั้นก็พยักหน้าหงึกหงัก เห็นดีเห็นงามด้วยทั้งที่ใบหน้าเปื้อนยิ้ม จะมีก็แต่คนในบ้านอีกคนหนึ่งเท่านั้นที่ได้ยินแล้วไม่พอใจสักเท่าไรนัก
“มึงว่าใครแก่วะไอ้เต่า!”
เสียงนั้นคุ้นเคยเสียเหลือเกิน เตมินทร์อยากจะเห็นหน้าเจ้าของเสียงชัดๆ สักครั้งหนึ่ง จะได้รู้ว่าเจ้าของเสียงที่รบกวนเขามาตั้งแต่เมื่อคืนนี้หน้าตาเป็นอย่างไร
“ผมว่าคุณรีบไปทำธุระเถอะ ก่อนที่ป้าของผมจะออกมา แล้วเดี๋ยวป้าจะโวยวายอีก ผมกลัวแก้วหูคุณทะลุน่ะ”
ผู้ชายที่ชื่อเต่าพูดขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้ผู้ชายร่างท้วมที่ทักเขาในตอนแรกส่งเสริมเห็นดีเห็นงามด้วย
“นั่นสินะครับ ไปเถอะ ผมไม่อยากจะมาขอโทษคุณแทนป้าซ้ำๆ แล้ว ขอโทษที่รบกวนเวลาด้วยนะครับ”
ถูกพูดมาอย่างนี้ แล้วเตมินทร์จะทำอะไรได้ นอกเสียจากพยักหน้ารับแล้วบอกลาในทันที
“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”
“ไว้เจอกันครับ”
ผู้ชายทั้งสองโบกมือลาเขาอย่างเป็นมิตร เขาเดินมาขึ้นรถโดยมีเสียงโหวกเหวกดังไล่ตามหลัง
“เอ้า! มัวแต่นินทากูกันอยู่นั่นละ จะกินไหมยำอะ ถ้าจะกินก็ช่วยกันมาเตรียมของ กูจะได้เปิดร้านสักที!”
หลังจากนั้น ผู้ชายทั้งสองก็พากันกลับเข้าไปในบ้านอีกครั้ง ส่วนเขาก็ขับรถออกมา ไม่ได้สนใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในบ้านหลังนั้นหลังจากนี้อีกเลย