เมื่อออกจากลิฟต์ชั้น 2 ได้เธอก็วิ่งไปทางบันไดหนีไฟทันที พร้อมทั้งหอบหิ้วชายกระโปรงและดึงผ้าคลุมศีรษะออก ในมือยังคงกำโทรศัพท์เอาไว้แน่นและเมื่อมาถึงชั้นล่าง ทางหนีไฟไม่ค่อยมีคนพลุกพล่าน เธอค่อยๆ ย่อง มองซ้ายขวา ไม่รู้จะไปทางไหน ทว่าเหมาะเจาะให้หลบซ่อน เพราะอ้อมออกมาเป็นลานจอดรถพอดี
“คุณพระคุณเจ้า ช่วยให้เจ้าขาไปให้พ้นจากที่นี่ที” เธอเอ่ยอธิษฐานเสียงสั่นเครือ มือก็ปาดน้ำตาไป แต่แล้วจังหวะเดียวกันนั้น เธอก็พลันเห็นชายคนหนึ่งกำลังเดินมาทางนี้พอดี ทำให้เธอรีบหลบ พร้อมกับได้ยินและเห็นเขากำลังปลดล็อกรถพอดี
กริ้ง! กริ้ง! กริ้ง! เสียงโทรศัพท์ของชายหนุ่มดังขึ้น ทำให้เขาหยุดชะงักและล้วงโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงขึ้นมารับสาย
“ครับพ่อ” ผู้บริหารหนุ่มคเชนทร์รับสายอย่างรีบร้อน
“จะนอนโรงแรมหรือว่าจะกลับ” เสียงปลายสายคล้ายจะดุ
“จะกลับครับ มีอะไรหรือเปล่า”
“พ่อมึงรอกินข้าวครับ นี่จะสองทุ่มแล้ว นึกว่าจะไปแปบเดียว”
“ติดลมอ่ะฮะ มีงานแต่งลูกค้าด้วย เลยตรวจตราความเรียบร้อย อีกสิบห้านาทีนะครับเดี๋ยวขับรถแปบ”
“เร็วนะ ไม่งั้นไม่เหลือไก่งวงไว้ให้นะจะบอกให้”
“โอ๊ย! ครับ แค่นี้ๆ ขับรถก่อน” ว่าแล้วคเชนทร์ก็รีบกดวางสาย แล้วเดินไปเปิดประตูขึ้นรถ พร้อมกับสตาร์ทแล้วขับออกไปอย่างเร่งรีบเช่นกัน เพราะความที่โดนโทรตาม จนกระทั่งขับรถแล่นออกไปจากโรงแรม ตรงดิ่งกลับบ้านเหมือนเช่นทุกวัน ด้วยความที่ถนนต่างจังหวัดก็โล่งพอสมควร ทำให้คเชนทร์เหยียบคันเร่งจนมิด
แต่ช่วงเวลาเดียวกันนั้นเจ้าบ่าว หรือนายตุลยเทพก็วิ่งตามหาจันทรภาให้วุ่นและต้องยกมือกุมขมับ
“ตามหาเจ้าขาให้เจอ” เขาบอกลูกน้องอย่างร้อนใจระคนโมโห
“ครับ” ลูกน้องรับคำ ก่อนจะพากันเดินตามหา ส่วนตุลยเทพก็เดินเข้ามาในงานแบบคอตก เขาจะบอกและแก้ตัวอย่างไรดี ว่าเจ้าสาวหนีไปแล้ว แก้ตัวอย่างไรไม่ให้ความชั่วมัดตัวเองกับน้ำอิง
“คุณตุลย์เจ้าขาล่ะคะ” จันทร์จิรามารดาของจันทรภาเอ่ยถาม ขณะที่เห็นเขามีสีหน้าหม่น
“เอ่อ คือ เดี๋ยวลงมาครับ บอกให้ผมลงมาก่อน” เขาแสร้งแก้ตัว
“อ้าว มาคนละครั้ง แล้วจะถ่ายรูปยังไงล่ะเนี่ย” ตุลาผู้เป็นบิดาของเขาเอ่ย จังหวะเดียวกันนั้นน้ำอิงก็ลงมาพอดี และมานั่งประจำโต๊ะรับซอง ตุลยเทพเหลือบมองสายตายั่วยวนของเธอ
“เอ่อ ถ่ายรูปกับผมก่อนก็ได้ครับ” ตุลยเทพบอก จากนั้นแขกเหรื่อที่เข้ามาในงานก็เริ่มเข้ามาถ่ายรูปกับเจ้าบ่าว ซึ่งเขาทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทว่าภายในใจมีแผนการรองรับอยู่แล้วว่า ทำอย่างไรไม่ให้ตัวเองมีความผิด และคนที่ผิดคือคนที่หนีไปต่างหาก
ขณะที่อีกฝ่าย เวลาผ่านไปประมาณสิบห้านาที คเชนทร์เลี้ยวรถเข้ามาในรีสอร์ต และขับเลียบๆ เคียงๆ ไปตามเส้นทางยาวไปจนถึงด้านหลังของรีสอร์ต ซึ่งเป็นบ้านของเจ้านายใหญ่ และของตัวเอง รวมถึงคนงานระดับหัวหน้าด้วย ทว่าบ้านของเขาอยู่ห่างจากคนอื่นพอสมควร อยู่ติดริมลำธาร และเมื่อรถจอดสนิท ดับเครื่องเรียบร้อย ถึงบ้านอย่างปลอดภัย
แต่อยู่ๆ คเชนทร์กลับได้ยินเสียงสะอื้อเบาๆ ทำเอาตาลุกด้วยความตกใจ เหมือนหูแว่ว จึงกลั้นใจและเงี่ยหูฟังอีกที ด้วยความที่เป็นคนช่างระแวงสงสัย พอตั้งใจฟัง เขาก็ยิ่งได้ยินเสียงชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จึงหันกลับไปดูที่เบาะหลัง เห็นผ้าสีขาวเคลื่อนไหวได้
“ผีเหรอวะ กูไม่ได้ซื้อรถมือสองนี่หว่า” คเชนทร์ถามตัวเองด้วยความแปลกใจ ก่อนจะรีบเปิดประตูลงรถช้าๆ แล้วดึงปืนที่เหน็บอยู่เอวออกมา เพื่อกันเอาไว้ก่อน จากนั้นเขาก็เดินอ้อมมาที่ประตูหลัง มือข้างหนึ่งยกปืน มืออีกข้างเปิดประตูรถออก แล้วจ่อปืนไปที่ร่างนั้นทันที
แต่สิ่งที่เขาเห็นคือผู้หญิงในชุดแต่งงาน เธอร้องไห้พร้อมกับมองหน้าเขาด้วยดวงตาแดงบวม เครื่องสำอางเปรอะเปื้อนไปหมด ไม่มีแม้แรงจะยกมือขึ้นมาห้ามปรามไม่ให้เขาทำร้าย
“คุณ! ผะ! ผะ! ผีหรือคนเนี่ย” เขาถามเสียงสั่น ทว่าสิ้นคำของเขา เธอก็เบ้ปากร้องไห้ออกมาอย่างหนัก ร้องจนตัวโยนเลยทีเดียว เขาจำต้องเก็บปืนแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ สัมผัสได้ถึงความแย่ และความเดือดร้อนมันกำลังมาถึงแน่ๆ ดูทรงแล้ว
“ขอโทษที่ติดรถคุณมา” หญิงสาวบอกเสียงสั่นเครือ
“ลงมา” คเชนทร์บอกเสียงเรียบ พลางมองไปรอบๆ ตัวว่ามีใครอยู่แถวนี้หรือเปล่า
“ผมบอกให้ลงมา!” เขาตะคอกเมื่อเห็นเธอเอาแต่ร้องไห้ไม่ยอมลงจากรถ กระทั่งเขาเอื้อมมือไปกระชากเธอลงมาเสียเอง
“มาจากงานแต่งงานที่ไหนเนี่ย” เขาถามเพราะคิดว่าน่าจะมาจากงานเดียวกับเขาหรือเปล่า ทว่าเธอเอาแต่ร้องไห้ ไม่กล้าเงยหน้ามองเขา
“นี่คุณ จะเอาแต่ร้องไห้ไม่ได้นะ คุยกันให้รู้เรื่อง” พอเขาเอ่ยเช่นนี้เธอก็หันซ้ายหันขวา เหมือนไม่กล้าพูด เขาจึงดึงเข้าบ้านเสียเลย แต่พอเปิดไฟในบ้านเห็นหน้ากันชัดๆ สวยชะมัดเลย นี่นางฟ้าตกสวรรค์หรือวะเนี่ย คเชนทร์คิด
“นั่งซิ แล้วบอกมาให้หมด ขึ้นรถผมมาได้ยังไงเนี่ย”
“คุณเป็นใคร” หญิงสาวถามกลับพร้อมกับสะอื้น
“อ้าว! แล้วคุณล่ะเป็นใคร ขึ้นมาบนรถผมทำไมเนี่ย ผมก็กลับบ้านสิ”
“ขอโทษค่ะ ฉัน... ฉันเสียสติมาก หมดหนทาง ฉันไม่รู้จะหนีไปทางไหน ฉันกลัวคนเห็น” เธออธิบายไปพลางก็ร้องไห้ไปพลาง
“ตั้งสติแล้วค่อยๆ พูด ผมฟังไม่รู้เรื่อง เอาแต่ร้องไห้”
“ฮือๆๆๆ” ยิ่งพูดเธอก็ยิ่งร้องไห้ เขาอยากจะบ้า นี่เขาหาเหาใส่หัวหรือเนี่ย
“โอ๊ย! ไม่เอาน่าคุณ ตั้งสติก่อนสิ” เขาทำท่าหงุดหงิดและแทบจะเอามือกุมขมับเลยทีเดียว
“ขอโทษที” เธอเอ่ย และเมื่อสิ้นคำก็เอาแต่ร้องไห้อีกเขาจึงถามต่อ
“คุณกำลังจะแต่งงานใช่ไหม อย่าบอกนะว่าหนีงานแต่งงานมา งานที่เหมราชมนตราน่ะ” สิ้นคำเธอก็พยักหน้าร้องไห้อีก
“โอ๊ย! จะบ้าตาย คุณกลับไปเดี๋ยวนี้เลยนะ คิดว่ามันเป็นงานเล่นๆ หรือ อยู่ๆ ก็หนีมาเนี่ย”