Nakin says…
‘ต๊าย แกพี่คินมาแล้ววว >O เสียงก้องกังวานจากสาวๆ ชาวคณะวิทยาศาสตร์ภาคสาขาวิชาเทคโนโลยีชีวภาพหรือเรียกสั้นๆ ว่า ‘เด็กไบออท’ พากันแห่มากรี๊ดกร๊าดผมอย่างไม่ขาดสาย การปรากฏของนาคินในแต่ละวัน คือสีสันของเหล่าผู้หญิง อีกทั้งการได้บิดเจ้าสี่สูบสุดเท่พร้อมกับสวมแว่นกันแดดในตอนกลางวันเป็นอะไรที่สะกดสายตานับสิบคู่ที่ลานคณะได้เป็นอย่างดี รัศมีแจ้งเกิดแผ่กระจายไปสามร้อยหกสิบองศาในเขตร้อยเมตร และทุกๆ ครั้งของการปรากฏตัวมักจะมีเสียงเซ็งแซ่อาทิเช่น...
‘พี่แว๊นที่เป็น JDR Cute boy ไงแก ที่เค้าลงเพจคนหล่อในมหาวิทยาลัยน่ะ’ เสียงของใครสักคนทำให้ผมแอบหัวเราะในใจดัง หึๆๆๆๆ
‘ตัวจริงขาวมากอ่ะ นี่กินไฮเตอร์หรือบรีสแอกเซิลเป็นอาหารวะเนี่ย ตายๆๆๆ พี่แกสู้แดดประเทศไทยได้ยังไง’
และดังหุๆๆๆๆๆ
‘โอ๊ย ตอนบิดคันเร่งมอเตอร์ไซค์แล้วถอดเสื้อคลุมยีนส์ออกนะ นึกว่าพระเอกซีรีย์เกาหลี’
เสริมด้วยอะโฮะๆๆๆๆ
‘โอ๊ยตาย หน้าใสเว่อร์ ไม่บอกว่าหน้าคนนี่นึกว่ากระจกเงาเลยนะเออ’
ตบท้ายด้วยฮิๆๆๆๆๆ
ทุกครั้งที่ผมปรากฏตัวที่นี่มันก็เป็นอย่างนี้เสมอ หากแต่ว่าวันนี้มันมีอะไรแตกต่างกันออกไป เพราะจู่ๆ คำพูดเสียดแทงจิตใจของใครบางคนก็ดันแล่นแปล๊บเข้ามาเบรกความฟินเนเล่ในมันสมอง คำพูดคำชมหลายร้อยประโยคถูกกลืนหายไปในบัดดล...
“นายก็หน้าเหมือนคนดีนะ” ใบหน้าตายของสาวร่างเล็กผู้ดูแลแชร์เฮ้าส์ชั่วคราวของผมพูดขึ้นเมื่อตอนเช้า
หนะ... หน้าเหมือนคนงั้นเรอะ? คือผมก็เป็นคนอยู่แล้วมั้ยล่ะ? คนคือคำนามนะ ยัยบ้านี่เอามาใช้เป็นคำคุณศัพท์อธิบายลักษณะหน้าตาผมได้ยังไง
‘เหมือนตัวประกอบที่ฉันสร้างขึ้นมาเพื่อใช้แล้วทิ้งเลยล่ะ’
ตะ ตัวประกอบ?!? ผมน่ะเหรอตัวประกอบใช้แล้วทิ้ง?!? คนนะไม่ใช่ทิชชู่จะได้ใช้แล้วทิ้ง! ยัยผู้หญิงคนนั้นมันน่าหงุดหงิดเป็นที่สุด ทั้งที่ผมอุตส่าห์หวังดีและเสนอตัวช่วยแต่ผลที่ได้รับกลับมา...
“ฉันชอบเขียนคนแบบนายให้โดนพระเอกไล่กระทืบ”
นอกจากจะใช้ผมแล้วทิ้ง ยังจะให้โดนกระทืบอีก ถามจริงให้ค่าตัวผมเท่าไหร่วะ! มันจะบังอาจเกินไปแล้ว เอาผมไปปู้ยี่ปู้ยำซ้ำเติมให้ชีวิตรันทดน่าสงสารอย่างนั้นได้ยังไง ยัยคนโหดเหี้ยม ใช่ ยัยนั่นคือ…
‘น้ำพลอย’ ผู้หญิงที่เป็นนักเขียนและตาต่ำต้อยติดปฐพีที่สุดในจักรวาล ผู้ที่ทำให้ผมยืนค้างกลางอากาศที่ลานคณะ จากอารมณ์ดีๆ มีความสุขกลายเป็นระทมทุกข์ภายในเสี้ยววินาที ความมั่นใจผมหายหดและหดหายไปเพราะเธอ
ผมจะต้องกู้คืนมันให้ได้ ไม่ว่าด้วยวิธีไหนก็ตาม ผมจะทำให้เธอได้รู้ว่าหน้าตาและนิสัยน่ารัก มนุษย์สัมพันธ์ดี๊ดีอย่างนาคิน โชติโภคินนี่แหละ เหมาะสมกับบทพระเอกยิ่งกว่าใครๆ
“เฮ้ย ไอ้วิน!” ผมโบกมือเรียกร่างสูงของใครบางคนที่กำลังเดินลอยหน้าลอยตาเข้ามาในลานคณะราวกับที่นี่เป็นถิ่นมัน ไอ้เวรนั่นไม่ใช่ใคร มันคืออัศวิน เพื่อนของผมที่เรียนสถาปัตย์ แต่เหตุอันใดไม่ทราบได้ จึงเห็นมันมาลอยหน้าลอยตาที่นี่ “มาทำอะไรวะ?” ผมเดินฉาดๆ เข้าไปหาอย่างไว กระเป๋าสีดำขนาดใหญ่เท่าช่วงแขนอันเป็นเอกลักษณ์ของเด็กถาปัตย์นั่นอยู่ที่แขนข้างขวาของมัน ใบหน้าหวานหันมามองนิ่งๆ
“อยู่ดีๆ ก็อยากจะเดินมา”
เป็นเหตุผลที่เข้าทีสำหรับมนุษย์ติสต์แตกอย่างมันเป็นที่สุด
“แล้วฟ้าอ่ะ ไม่มาด้วยเหรอ?” ผมถามถึงแฟนมันที่เรียนคณะวิศวะ จะว่าไปไอ้วินแม่งก็มองอนาคตไกลเหมือนกัน มันเรียนสถาปัตย์ แฟนวิศวะ จบมาคนนึงเขียนแบบ คนนึงสร้างบ้าน ช่างเป็นแนวคิดที่เยี่ยมยอด ผมน่าจะทำบ้างนะ ผมเรียนสาขาเทคโนโลยีชีวภาพ คนนึงก็เป็นคิวซีตรวจคุณภาพสินค้า คนนึงก็เป็นจุลินทรีย์ให้ผมตรวจ ถุย! -_-^
“แล้วเห็นฟ้ามั้ยล่ะ?” มันเคลื่อนสายตามามองหน้าผม
“ก็ไม่”
“เออ ไม่เห็นก็คือไม่มา สมองอ่ะคิดบ้าง” มันบ่นอุบ ไอ้วินเป็นคนปากร้ายหน้านิ่ง พูดจาเหมือนไม่ด่าแต่ว่าแม่งเข้าตัวผมเต็มๆ เจ็บกว่าคำหยาบอีก ผมการันตี ทีอยู่กับฟ้าแฟนมัน จ๊ะจ๋าน่ารักยังกับคนละคน ตอแหลสุดๆ
“พูดงี้ ต่อยกับเพื่อนผมมั้ยล่ะครับ?”
“โอ้โห โชคดีนะเนี่ย ยังมีคนคบ”
เห็นมั้ย ผมบอกแล้ว -_-
“แล้วถามหาฟ้าทำไม?” มันหรี่สายตาจับผิดมาทางผม ผมรู้ว่ามันรักแฟนมาก แต่บางทีผมก็เพื่อนมันปะวะ มาระแวงอะไรนักหนา ผมหล่อขนาดนี้มีแฟนได้เป็นสิบ จะไปยุ่งอะไรกับคนมีเจ้าของ
“ชื่อฟ้าปะ? ถ้าไม่ใช่ก็ไม่ต้องรู้” ผมกล่าวด้วยน้ำเสียงกวนประสาท
“ไม่ได้ชื่อฟ้า” มันตอบ สาบานได้ว่ารังสีอันตรายกำลังแผ่รัศมีออกมาจากตัวมัน “แต่ฟ้าอ่ะ แฟนกู”
“โอ๊ย รู้แล้ว ดูหน้าหน่อย หล่อขนาดนี้มีแฟนได้เป็นสิบ จะไปยุ่งกับแฟนมึงทำไม?”
“ความหล่อการันตีสันดานได้เหรอ?”
เหมือนจะชม แต่ก็เหมือนจะด่า… ผมจิ๊ปากอย่างหงุดหงิดเมื่อสงครามเย็นเริ่มขึ้น เออ ยอมก็ได้ บอกไอ้วินไปก็ไม่เสียหาย ผมแค่จะถามเรื่องพระเอกในนิยายต่างหาก ผมคิดว่าฟ้าต้องเคยอ่านนิยายของยัยน้ำพลอยแน่ๆ เพราะเธอเป็นหนึ่งในแฟนตัวยงเลยไง
“กูแค่จะถามฟ้าเรื่องนิยายของก๊อยเฉยๆ” ผมว่า ไอ้วินเลิกคิ้วสูงทำหน้าไม่เข้าใจว่าผมนึกคึกอะไรขึ้นมา แหงล่ะ โดนด่าซะขนาดนั้นใครจะไปยอมได้
“ถามมาสิ กูก็อ่าน” ไอ้วินตอบทำเอาผมชะงัก เดี๋ยวๆ ผู้ชายอย่างไอ้วินเนี่ยนะอ่านนิยาย ตลกตายชัก บุคลิกไม่ให้ แม้หน้าจะได้ก็เหอะ
“มึงอะนะ?” ผมมองอย่างไม่เชื่อ จริงดิ? ยังกับได้ฟังเรื่องอิมพอสสิเบิ้ลที่สุดตั้งแต่เกิดมา
“ทำไงได้ ก็แม่งบังคับกูอ่าน พอกูไม่อ่านแม่งเอาแมลงสาบมาปล่อยในตู้เสื้อผ้ากู =_=”
“บังคับทำไมวะ?”
“ก็งานแม่งไม่ผ่านไง เลยจะให้ช่วยคอมเม้น นิยายเหี้ยไรไม่รู้ กูอ่านแล้วเหมือนคนกับตุ๊กตายางกำลังเอากัน” มันวิจารณ์จนผมเห็นภาพเลยล่ะ ถ้าผมเป็นยัยนั่นมาได้ยินคงเครียดตายห่า
“ไม่เห็นบังคับกูเลย”
“ดี งั้นมึงไปอ่านซะ ไม่งั้นกูจะเอาแมวไปปล่อยไว้ในตู้เสื้อผ้ามึง” ไอ้วินว่าด้วยแรงอาฆาต มันเกลียดการเลือกปฏิบัติเป็นที่สุด แต่เรื่องนี้ผมเกี่ยวอะไรด้วยวะครับ อย่าเอามาลงที่ผมสิเฮ้ย! แถมมันยังเล่นจุดอ่อนผมได้ตรงประเด็น เพราะแมลงสาบ หนู หรือตุ๊กแกที่ว่าน่ากลัวทั้งหลายแหล่ ผมไม่แม้แต่จะสะทกสะท้าน ทว่าผมมีบางอย่างที่เกลียดและกลัวสุดชีวิตจากเหตุการณ์ตอนวัยกระเตาะ ที่ออกไปเดินเล่นนอกบ้านแล้วเจอฝูงแมวรุมทึ้งผม… หลังจากนั้นพอเจอแมวทีไรผมรู้สึกเหมือนจะตายทุกที T_T
“อย่าพูด ขนลุก” ผมทำหน้ารังเกียจปนสยอง รอยแผลเป็นบริเวณหัวเข่ายังจางๆ อยู่เลย จะบอกให้
“จะถามอะไรก็ถามมา อยู่ดีๆ ก็อยากพาฟ้าไปเดินเล่นหอสมุด”
ชีวิตฟังดูว่างไปนะ =_=
“ก็ก๊อยแม่งด่ากู บอกว่าอย่างกูเนี่ยเป็นแค่ตัวประกอบที่ใช้แล้วทิ้ง!” ผมใส่อารมณ์พลางกัดฟันกรอดๆ นึกถึงใบหน้าตายของยัยนั่นขึ้นมา หึ!
“ก๊อยอะนะพูด? =_=”
“กูแค่อยากรู้ว่านิสัยพระเอกเรื่องก๊อยเป็นไง เดี๋ยวกูจะไปชำระแค้น!” ผมตีหน้าปั้นปึ่ง มุ่งมั่นเต็มที่ ผมจะทำให้เธอหลงใหลคลั่งไคล้และอยากจะเอาผมไปเขียนเป็นพระเอกให้ได้เลย คอยดูเหอะ!
“พระเอกเรื่องก๊อยเหรอ? นิสัยก็เหมือนมึงนี่”
“เฮอะ กูว่าแล้วมันต้องหล่อเลวทรามระยำชั่วช้าแล้วมากลับใจทีหลัง กูดูหนังมาเยอะ” ผมตบมือดังป้าปก่อนจะตัวชาวาบไปทุกส่วน ไม่รู้หูฝาดหรือมโนไปเอง เหมือนผมจะพลาดอะไรบางอย่างไป ผมหันกลับไปมองมันใหม่และถามย้ำอีกครั้ง
“ว่าไงนะ?”
“พระเอกนิสัยเหมือนมึง”
ผมยืนค้างกลางอากาศรอบที่สอง ความร้อนวาบแล่นปะทะที่ก้อนเนื้อเท่ากำปั้นบริเวณกลางหน้าอกก่อนจะกะพริบตาปริบๆ และถอดแว่นกันแดดออกมองริมฝีปากมันอย่างตั้งใจ
“อีกทีดิ๊”
ตึก… จู่ๆ ผมก็รู้สึกเวียนหัว แสงอาทิตย์จ้านั่นส่องกระทบเข้าม่านตาผมพอดีกับที่เส้นเลือดสูบฉีดมายังใบหน้าจนร้อนไปหมด และหลังจากที่ผมมั่นใจว่าไอ้วินพูดอะไร ผมก็แอบหัวเราะในใจดัง…
“กูบอกว่าพระเอกนิสัยเหมือนมึงเด๊ะเลย”