เด็กอ้วนคนนี้...เป็นแฟนพี่ได้ไหมครับ? 2
ภายในคลาสเรียนเรานั่งอยู่ที่เก้าอี้ริมนอกและเยื้องไปทางด้านหลัง ระหว่างที่เรียนก็ตั้งใจบ้าง เล่นบ้าง หรือบางครั้งก็รู้สึกง่วงนอนอยู่บ้างเมื่อได้ยินเสียงอาจารย์ที่สอนอยู่หน้าห้องนั้นราวกับว่าเป็นตัวขับกล่อมให้เรารู้สึกผ่อนคลายจนรู้สึกง่วงนอนขึ้นมาแบบนี้
“หยุดสองวันจะไปไหนกันไหม” ฤดีถามฉันกับเพื่อนอีกสองคนหลังจากที่อาจารย์สอนเสร็จและปล่อยเรากลับแล้วเรียบร้อย ตอนนี้เราทั้งสี่คนกำลังเดินออกจากอาคารเรียนเพื่อเดินทางไปยังร้านส้มตำที่เพื่อนอยากจะกิน แน่นอนว่าฉันเองก็อยากกินเช่นเดียวกัน
“ไปช่วยแม่ที่ร้านหมูกระทะ” ฉันเป็นคนแรกที่เอ่ยตอบคำถามของฤดี
“นอนอยู่ห้อง” กายเองก็ตอบกลับพลางยกมือปิดปากหาว ใบหน้าเพื่อนดูอิดโรยและง่วงมาก ๆ เลยแหละ แต่ก็นั่นแหละไม่ใช่เพียงแค่กายหรอกที่รู้สึกง่วงนอน ฉันเองก็ง่วงนอนเหมือนกัน
“เหมือนกัน” คิมมี่ตอบก่อนจะเดินกางร่มเผื่อแผ่มายังฉันด้วย
“นั่นสินะ ว่างทั้งทีขอนอนเยอะ ๆ เลยแล้วกัน” ฤดีเมื่อได้ยินเราบอกแบบนั้นก็หัวเราะเห็นด้วยกับคำตอบ
“เจอกันที่ร้านเลยนะ” คิมมี่เอ่ยบอกกับกายและฤดี
“ได้ เดี๋ยวตามไป” เพื่อนทั้งสองคนรับปากก่อนจะเดินแยกไปยังรถของตัวเองที่จอดอยู่ ส่วนฉันเดินไปขึ้นรถคันเดียวกับคิมมี่ เพราะเพื่อนคนสวยของฉันขับรถมาแล้วเมื่อเช้าฉันเองก็มากับคิมมี่ตอนนี้เลยต้องไปกับเพื่อน
“วุ้น”
“หือ? ว่าไงเหรอ?” ขานรับเสียงเรียกชื่อจากเพื่อน
“อย่าไปคิดมากเลยนะ แต่ถ้าพวกนั้นมันว่าอะไรให้บอกฉันจะด่ามันให้เอง” คิมมี่คงจะหมายถึงเหตุการณ์ก่อนที่เราจะขึ้นเรียนอย่างนั้นสินะ
“อื้อ ไม่คิดมากหรอก” ใช่ที่ไหนกันล่ะ ยิ่งโดนแซวยิ่งคิดมาก ฉันยิ่งเครียด พอเครียดฉันก็จะกินเยอะน้ำหนักขึ้น สิวขึ้น แล้วก็จะโดนแซวโดนล้อวนเวียนอยู่แบบนี้ ทำให้ตอนนี้ฉันน้ำหนักจะเลขแปดแล้วไม่สิเมื่อวานชั่งแบบว่ามันขึ้นแปดสิบแล้วอะ
“แต่ถ้าอยากหาเพื่อนออกไปเดินเล่น ไปออกกำลังกายชวนฉันกับสองคนนั้นได้เลยนะ พวกฉันพร้อมไปเป็นเพื่อนแก”
“ขอบใจนะ เดี๋ยวลองคิดดูก่อน” ตอบเพื่อนอย่างดีใจที่เพื่อนเป็นห่วง
ฉันก็เข้าใจนอกจากเพื่อนแล้ว ครอบครัวฉันเองก็เป็นห่วงเรื่องสุขภาพแต่ฉันทำไม่ได้จริง ๆ มันไม่มีกำลังใจ ไม่มีแรงใจ มันกังวลไปหมดยิ่งโดนล้อแบบนั้นอยู่ทุกวันมันไม่ได้ทำให้ฉันมีแรงใจแต่มันตรงกันข้ามเมื่อฉันรู้สึกท้อแท้ใจยิ่งกว่าทั้งยังไม่มีแรงอยากจะทำอะไรเลยสักอย่าง
“เอาละ ถึงแล้วกินข้าวกันก่อนเถอะ”
“อื้อ หิวแล้วอยากกินไก่ย่างแล้ว” กระเป๋าผ้าสะพายข้างถูกหยิบขึ้นมาคล้องคอพาดไปที่ไหล่เตรียมลงจากรถเมื่อรถของคิมมี่หยุดจอดที่ริมถนนด้านหนึ่ง ร้านส้มตำไก่ย่างเป็นร้านธรรมดาที่รสชาติอาหารนั้นไม่ธรรมดาเลยสักอย่าง นั่นจึงทำให้เราชอบมาที่ร้านแห่งนี้
“อ้าว มาถึงช้ากว่าเหรอเนี่ย” ฉันกับคิมมี่เดินเข้าไปในร้านก็เห็นฤดีกับกายนั่งอยู่ที่เก้าอี้แล้ว
“ใช่สิ ฉันสั่งน้ำไปแล้วเหลือกับข้าวมาสั่งด้วยกัน” ฤดีชวน นั่นจึงทำให้ฉันขยับไปนั่งข้างฤดีเบา ๆ ส่วนคิมมี่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามข้าง ๆ กาย
“สั่งเลยนะหิวมาก” คิมมี่ทำหน้าที่สั่งอาหาร ส่วนฉันก้มหน้าดูข้อความที่พี่ชายส่งเข้ามาหาถามว่าจะกลับบ้านพร้อมกับเจ้าตัวไหม ซึ่งแน่นอนว่าฉันส่งตอบกลับไปว่าไม่กลับแต่จะไปช่วยแม่ที่ร้านหมูกระทะ พอเห็นแบบนั้นพี่ชายเลยอาสาจะมารับในตอนเย็น
“รายงานนะอย่าลืมทำล่ะ” ฤดีย้ำกับกายเสียงเข้ม นั่นสิฉันก็ลืมไปเลยว่ามีรายงานที่ต้องส่งต้นสัปดาห์
“เออว่ะ ลืมไปเลย”
“นั่นไงล่ะ จะเช็กทุกวันเลยนะ พวกแกด้วย” ฤดีย้ำด้วยน้ำเสียงจริงจัง ฉันหยิบแก้วน้ำอัดลมขึ้นมาดูดอึกใหญ่ทั้งยังพยักหน้ารับคำเตือนจากเพื่อน
“อุ๊ย ช้างกินไก่ได้ด้วยเหรอจ๊ะวุ้นกรอบ” มือที่กำลังตักไก่ย่างเข้าปากชะงักไปเล็กน้อย เงยหน้ามองเจ้าของเสียงก็พบว่าเป็นคนที่เคยเรียนตอนมัธยมปลายด้วยกัน แล้วก็อย่างที่รู้ว่าฉันไม่มีเพื่อนตอนเรียนเลยทั้งยังโดนล้ออยู่ตลอด แต่วันนี้และตอนนี้ก็ไม่คิดว่าจะบังเอิญเจอที่ร้านส้มตำ เจอคนที่เคยเรียนมัธยมปลายห้องเดียวกัน
“อีกหน่อยเธอจะโดนกินไปด้วยนะอย่าพูดมาก” และคนที่ตอบผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่ฉัน ไม่ใช่คิมมี่แต่เป็นฤดีต่างหาก
“อยู่กับยัยนี่นาน ๆ ระวังจะกลายเป็นช้างเหมือนยัยนี่นะ” ผู้หญิงคนนั้นยังไม่หยุดพูด
“ขอบใจในความหวังดีที่ไม่ต้องการนะจ๊ะ” คิมมี่ตอบพร้อมกับส่งยิ้มให้ไปหนึ่งกรุบ ผู้หญิงคนนั้นหน้าเสียเหมือนจะไม่พอใจเป็นอย่างมากก่อนจะตวัดสายตามองฉันอย่างไม่ชอบใจแล้วเดินสะบัดหน้าเดินออกห่าง
“ต้องโตมาแบบไหน” กายส่ายหน้าเอือม ๆ กับการกระทำของผู้หญิงคนนั้น
“นั่นสิ พูดเหมือนไม่ได้ผ่านการคิดมาก่อนอะ” คิมมี่พยักหน้าเห็นด้วย
“เอาน่า อย่าไปสนใจเขาเลย” ฉันเตือนเพื่อนเสียงเบาทั้งยังเป็นจังหวะที่พนักงานของที่ร้านเดินถือถาดอาหารมาเสิร์ฟเพิ่มเติมพร้อมกับเมนูอาหารที่เราได้ทำการสั่งไปก่อนหน้านี้
“แกใจดีเกินไป นี่มันสมัยไหนแล้วมันไม่ควรมีเรื่องแบบนี้เลยนะ” คิมมี่ไม่ยอมให้ปล่อยผ่าน
“อื้อ ไม่เอาสิ ยิ้มหน่อยของอร่อยเต็มโต๊ะเลยนะกินข้าวกัน ๆ” ชวนเพื่อนทั้งสามคนให้กินอาหารตรงหน้าพร้อมกัน นับว่าเป็นเรื่องดีที่เพื่อนทั้งสามคนยอมเปลี่ยนเรื่องเพราะเข้าใจว่าฉันอาจจะไม่สบายใจ เมื่อเราเริ่มกินอาหารบนโต๊ะก็เปลี่ยนเรื่องคุยกันไปเรื่อยอย่างสนุก ไม่ได้เก็บเรื่องราวเหล่านั้นมาทำให้ตัวเองไม่สบายใจ
“เด็ก!” กำลังนั่งกินข้าวไปสักพักจู่ ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นใกล้ ๆ พร้อมกับฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งวางลงบนไหล่ฉันด้วยความอ่อนโยน เงยหน้าขึ้นมองถึงได้เห็นเจ้าของเสียงนั้น
“พี่ว่าน มาที่นี่ได้ไงคะ” ทวนถามคนเป็นพี่ชายด้วยความสงสัย
“นัดกับเพื่อนน่ะสิ นั่นไงโต๊ะนั้น” พี่ว่านชี้นิ้วให้ดูไปยังโต๊ะของเพื่อน ๆ เขาที่นั่งอยู่ไม่ไกลจากโต๊ะที่ฉันกับเพื่อนนั่งสักเท่าไหร่
“พี่ไม่กวนแล้ว แต่ตอนกลับรอพี่นะ” พี่ว่านเอ่ยย้ำกับฉันอีกครั้งก่อนจะเดินไปยังโต๊ะของเพื่อนๆ เขาที่มองมาทางเราอย่างชัดเจน ฉันเองก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรทำเพียงแค่พยักหน้าตอบรับเท่านั้น
“มาเร็วไปเร็ว ยังไม่ทันได้ทักทายเลยอะ” คิมมี่แซวเสียงเบาเมื่อพี่ชายฉันโบกมือให้เพื่อนฉันสองสามทีก่อนจะรีบเดินออกห่าง
“นั่นสิ งงเลย” กายเองก็พลอยหัวเราะออกมาเบา ๆ กับการกระทำที่แสนรวดเร็วของพี่ว่าน
“คงจะนัดกับเพื่อนไว้แล้วมาสายนั่นแหละ เอาละกินต่อเถอะจะได้กลับไปพักกัน” บอกกับเพื่อนทั้งสามคนอย่างที่เข้าใจก่อนจะชวนเพื่อนกินต่อ