เด็กอ้วนคนนี้...เป็นแฟนพี่ได้ไหมครับ? 7
เมื่อเริ่มออกเดินทาง พี่หว่าหวาก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาวางลงบนศีรษะก่อนจะออกแรงลูบไปมาด้วยความอ่อนโยน ฉันที่ได้รับสัมผัสอบอุ่นจากพี่สาวถึงกับเอียงศีรษะเข้าไปซบไหล่อ้อน ๆ ราวกับความอ่อนโยนจากพี่หว่าหวานั้นกำลังเยียวยาให้ฉันหายเจ็บปวดจากเรื่องราวที่ต้องพบเจอ
ความเจ็บปวดที่ไม่มีบาดแผลบนร่างกาย
กลับกันภายในจิตใจของฉันนั้นกลับเต็มไปด้วยแผลเหวอะหวะ แผลที่เกิดจากคำพูดของคนรอบข้าง คนที่ไม่เคยรู้สึกกับเรื่องอะไร แต่กลับพูดทุกอย่างออกมาราวกับรู้ดีไปเสียทุกเรื่อง
แต่คนพวกนั้นเพียงแค่พูดออกมาไม่กี่นาทีก็ลืมไปแล้ว
ต่างจากฉันที่ซึมซับเอาประโยคเหล่านั้นเข้ามาเก็บไว้ภายใต้ความรู้สึกโดยที่ไม่รู้ตัว
“ตัวเล็กของพี่เป็นยังไงบ้างคะ” พี่หว่าหวาเอ่ยถามเสียงแผ่วเบา
“เรียนปกติค่ะ เพิ่งเริ่มได้ไม่นานแต่ก็จะสอบไฟนอลแล้วนะคะ” เล่าให้พี่สาวได้ฟังบ้างหลังจากที่เราไม่ได้เจอกันนาน
“แล้วเรื่องอื่นล่ะ?” พี่หว่าหวาถามอย่างรู้ทัน
“อืม ไม่มีอะไรพิเศษค่ะ”
“ตัวเล็ก หนูรู้ใช่ไหมว่ามีอะไรคุยกับพี่ได้ทุกเรื่อง คุยกับพี่ว่านก็ได้ ทุกคนพร้อมที่จะให้คำปรึกษาหนู พ่อกับแม่เองก็อยากให้หนูเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง...”
“...”
“พี่ไม่คาดคั้นนะคะ พี่จะรอให้ตัวเล็กของพี่พร้อมด้วยตัวเอง”
“ขอบคุณค่ะพี่หวา ขอบคุณนะคะ หนูรักพี่นะ”
“พี่เองก็รักหนูค่ะตัวเล็กของพี่” พี่หวายกแขนโอบรอบไหล่ฉันไว้หลวม ๆ ก่อนจะหลุดเสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ เมื่อได้ยินพี่ว่านเอ่ยขึ้นมาบ้าง
“อ้าว แล้วไม่รักพี่เหรอเด็ก”
“รักสิ หนูรักพี่ว่านอยู่แล้ว” ฉันตอบกลับไปทันทีโดยที่ไม่ต้องเสียเวลาให้คิด เพราะฉันน่ะรักพี่หวา รักพี่ว่าน รักพ่อกับแม่มาก ๆ เลยยังไงล่ะ
ทั้งสี่คนคือคนที่ฉันรักและแคร์มากที่สุดเลยก็ว่าได้
ร้านอาหารธรรมดาแต่เป็นร้านที่เราทุกคนในครอบครัวชื่นชอบ นั่นจึงทำให้ร้านนี้กลายเป็นร้านประจำของเราไปแล้ว เมื่อมาถึงที่ร้านก็เห็นว่าพ่อกับแม่กำลังนั่งรอที่เก้าอี้ ทั้งยังเหมาโซนนอกร้านเพื่อความเป็นส่วนตัวอีกด้วย เมื่อเดินเข้าใกล้ท่านทั้งสองเราสามพี่น้องก็ยกมือไหว้และทักทายพ่อกับแม่อย่างเป็นปกติ
“สวัสดีค่ะ” ฉันยกมือไหว้พ่อก่อนจะรอให้พี่ ๆ นั่งที่เก้าอี้จนเรียบร้อยถึงได้ขยับไปนั่งข้างพี่ว่านและอยู่ไกลจากจุดที่พ่อนั่งอยู่ ฉันตื่นเต้นและดีใจมากที่จะได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากับทุกคน แต่พ่อ ท่านไม่ค่อยพูดกับฉันสักเท่าไหร่ แต่เราไม่ได้ทะเลาะหรือโกรธกันนะ ฉันคิดแบบนั้น
“สั่งกับข้าวเลยเดี๋ยวพ่อเรียกพนักงานมา” พ่อบอกกับทุกคนพร้อมกับยกมือเรียกพนักงานมาเพื่อรับออร์เดอร์ ฉันเปิดดูเมนูที่อยากกินพร้อมกับพี่ชาย ที่ดูเมนูเล่มเดียวกับฉัน
“เอาต้มยำทะเลรวมค่ะ” พี่หวาบอกพนักงานพร้อมกับเมนูแรก
“เอาไข่ตุ๋นอีกที่จ้ะ” แม่เองก็สั่ง
“เอาไก่ทอดค่ะ” ครั้งนี้ฉันเอ่ยบอกเมนูโปรดของฉันไปด้วยความตื่นเต้น ไก่ทอดร้านนี้อร่อยมากฉันชอบที่สุดเลยแหละ
“ไก่ทอดไม่ต้อง ดึกแล้วอย่ากินของมัน” แต่กลายเป็นว่าความสุขของฉันนั้นถูกผลักให้พังทลายลงแทบจะทันที พี่ว่านหันมามองหน้าฉันทันทีอย่างเป็นห่วง ฉันจึงส่งยิ้มให้พี่ชายก่อนจะเปิดดูเมนูอื่นไปเรื่อย ๆ ทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร
“พี่กินอะไรอะ” ฉันถามพี่ว่านเสียงเบา สายตายังคงจ้องเมนูอาหารอยู่
“อืม เอาหมูมะนาวดีไหม?” พี่ว่านถาม ฉันจึงพยักหน้าส่งให้พี่ชาย
“เอาหมูมะนาวครับ”
“...”
“เอาอะไรอีก คนสวยหนูเลือกสิลูก” แม่เองก็พยายามเชียร์ให้สั่งเมนูที่อยากกิน ฉันส่งยิ้มให้แม่บาง ๆ ก่อนจะตอบกลับคำถามนั้นอย่างสดใสเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“หนูอยากกินเมนูเดียวกับพี่ว่านเลยค่ะแม่”
“อ้าว งั้นแม่สั่ง...”
“เอาไข่เจียวกุ้งมาให้พี่หวา” เสียงพ่อเอ่ยแทรกขึ้นมาทำให้แม่ที่กำลังจะสั่งอาหารชะงักค้างไปทันที โอเค ก็ตามนั้นนั่นแหละค่ะ
“กินน้ำอะไรดี” พี่ว่านยังพยายามชวนฉันคุย เพื่อที่บรรยากาศภายในโต๊ะจะได้ไม่อึดอัดจนเกินไป
“อยากกินน้ำส้ม” ฉันตอบพี่ชายแต่ก็เหมือนเคยที่จะถูกปัดตกแล้วได้น้ำเปล่ามาแทน
ระหว่างที่นั่งกินข้าวฉันก็กินไปเงียบ ๆ โดยที่ทุกคนยังพูดคุยกันอย่างเป็นปกติ พี่ว่านยังขยันตักกับข้าวมาให้ฉันอยู่เรื่อย ๆ เพราะทั้งโต๊ะฉันกินได้เพียงแค่หมูมะนาวส่วนอาหารที่มีกุ้งเป็นส่วนประกอบฉันกินไม่ได้ค่ะ แต่ก็ไม่เป็นอะไรหรอกมีเมนูที่ฉันยังกินได้ตั้งเยอะแยะ
“ทำไมไม่กิน?” จู่ ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น และฉันไม่คิดว่าพ่อจะถามฉัน พอเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นว่าพ่อกำลังจ้องมาทางฉัน รวมถึงแม่ที่มองและส่งยิ้มให้ฉันอย่างปลื้มใจ พี่หว่าหวาเองก็มองมาอย่างลุ้น ๆ ต่างจากพี่ว่านที่ยังคงทำหน้านิ่ง ๆ แต่ฉันกลับรับรู้ได้ว่าพี่ชายกำลังเครียด
“กินอยู่ค่ะ” ฉันตอบแล้วพยักหน้าส่งให้พ่อ เพื่อยืนยันว่าฉันกินข้าวอยู่จริง ๆ
“ตักไปสิไข่เจียวตรงนั้นน่ะ” พ่อย้ำ แต่บรรยากาศทุกอย่างกลับนิ่งเงียบไปทันที
“น้องแพ้กุ้งพ่อไม่รู้เหรอ? ที่น้องกินแค่หมูมะนาวเพราะน้องกินอีกสามเมนูนั่นไม่ได้” กลายเป็นพี่ว่านที่เอ่ยแทรกขึ้นมา ฉันเม้มปากแน่นก่อนจะเงยหน้าส่งยิ้มให้พ่อราวกับไม่ได้รู้สึกอะไร
“แต่หนูกินได้ ทุกคนกินข้าวเลยค่ะ เดี๋ยวกับข้าวเย็นก่อนนะคะ” ฉันรีบเอ่ยบอกทุกคน มือก็ยื่นไปตักกับข้าวให้พี่หวาพลางบอกให้กินข้าวเยอะ ๆ
“พี่หวากินข้าวเยอะ ๆ นะคะ ทำงานเหนื่อยใช่ไหมล่ะหนูรู้ กินเยอะ ๆ เลยนะคะ” บอกพี่สาวพร้อมกับส่งยิ้มให้ พี่หวาฝืนส่งยิ้มให้ฉันบาง ๆ แต่แววตากลับไหววูบไปเล็กน้อย
“เอาละ ๆ กินข้าวกันต่อเถอะ เดี๋ยวกับข้าวเย็นไปก่อนนะ” แม่เองเมื่อเห็นว่าฉันไม่อยากให้ทุกคนอึดอัดใจก็รีบเอ่ยแก้ขัดและชวนทุกคนให้กินข้าวกันต่อ ฉันนั่งกินข้าวไปเงียบ ๆ โดยมีพี่ว่านคอยดูแลอย่างใส่ใจอยู่ตลอดกระทั่งถึงเวลาที่จะต้องแยกย้ายกันกลับ เราทั้งห้าคนเดินออกมาจนถึงหน้าร้านพ่อก็เอ่ยเรียกพี่หวาไว้เสียก่อน
“พี่หวาเดี๋ยวพ่อกับแม่ไปส่งเองลูก”
“ค่ะพ่อ” พี่หวาตอบรับเสียงแผ่วเบาทั้งยังหันมามองทางฉันอย่างไม่สบายใจ เห็นแบบนั้นก็รีบส่งยิ้มอ้อนพี่สาวไปทันทีเช่นเดียวกัน
“ว่างแล้วหนูจะไปเล่นด้วยนะคะ” โบกมือลาพี่สาวแต่รอยยิ้มที่ส่งให้พี่หวาก็ต้องหุบลงอีกครั้ง
“พี่เขาไม่ได้ว่างเล่นกับเด็กขนาดนั้น กลับไปตั้งใจเรียน” เฮ้อ เหนื่อยจัง รู้งี้มากินแค่กับพี่หวาพี่ว่านสามคนก็พอดีกว่า
“พ่อคะ” พี่หวาถึงกับปรามพ่อเสียงเข้ม
“เอาเถอะ ผมจะพาน้องกลับแล้วสวัสดีครับ”
“สวัสดีค่ะ” เมื่อพี่ว่านยกมือไหว้พ่อกับแม่รวมถึงพี่หวาฉันเองก็ยกมือไหว้ตามไปด้วย เราสองคนยืนรอกระทั่งทั้งสามคนเดินไปขึ้นรถ จู่ ๆ ก็มีพนักงานเดินถือถุงอาหารตามออกมา
“อาหารที่สั่งได้แล้วค่ะ”
“ขอบคุณครับ” พี่ว่านหันกลับไปรับถุงนั้นมาถือไว้ก่อนจะหันกลับมาส่งยิ้มให้ฉันอย่างให้กำลังใจ รวมถึงมือข้างที่ถือถุงอาหารชูขึ้นเล็กน้อยให้ฉันได้เห็น
“ไปกินไก่ทอดแสนอร่อยของเรากันเถอะ”
ไก่ทอดที่ถูกปัดตกไปตั้งแต่แรก ตอนนี้พี่ว่านกลับแอบซื้อให้ฉันหลังจากที่พ่อกับแม่ไม่อยู่แล้ว ทั้งที่ฉันตัดใจไปแล้วด้วยซ้ำว่าวันนี้คงจะไม่ได้กินไก่ทอดของโปรด
“ขอบคุณนะคะ ขอบคุณนะคะพี่”
“ไม่เป็นไรเลย เดี๋ยวไปนั่งกินแถวสวนสาธารณะใกล้คอนโดฯ ก็ได้ ไปนั่งเล่นด้วยกัน” พี่ว่านชวนด้วยรอยยิ้มใจดี ก่อนจะพาฉันเดินกลับไปขึ้นรถของเจ้าตัวที่จอดไว้ที่ลานจอดรถใกล้ร้าน
ขอบคุณพี่ว่านที่ทำให้หนูได้กินของโปรด