กำจัดสกุลสวี่ 2

3226 Words
9 อีกไม่กี่ชั่วยามแสงอาทิตย์ก็จะลับขอบฟ้า องค์ฮ่องเต้ได้มีรับสั่งให้จัดเตรียมกองกำลังสำหรับคืนนี้ทั้งยังจะออกเดินทางไปด้วยตัวพระองค์เองโดยได้แต่งตั้งแม่ทัพหม่าเป็นผู้นำกองกำลังไปปราบปรามจับกุมขุนนางชั่ว ด้านเหยียนเป่าได้สั่งเสี่ยวอี้พาลู่เหมยเข้ามาในวังหลวง เพื่อให้เขาแฝงตัวเข้าตำหนักเสียนเฟยค้นหาทรัพย์สินยักยอกบางส่วนที่ยังสูญหายและไม่มีในคลังของเสนาบดีสวี่ เด็กหนุ่มถูกจับแต่งตัวเป็นนางกำนัลงามสะพรั่งสะดุดตาก็บังเกิดความอึดอัดใจ "องค์หญิง ให้ข้าปลอมเป็นขันทีหรือองค์รักษ์แทนมิได้หรือ?" เหยียนเป่าส่ายหน้ารีบอธิบายให้เขาเข้าใจ "เจ้ารูปร่างบอบบางเกินไปมิเหมาะเป็นองค์รักษ์ ส่วนขันทีใหม่ที่จะถูกส่งเข้าตำหนักพระสนมนั้นต้องเปลื้องผ้าให้ตรวจสอบก่อนถึงจะผ่านเข้าไปได้ เจ้าเองก็คงมิอยากให้ใครมาดูเจ้าเปลื้องผ้าหรอกกระมัง" เด็กหนุ่มถอนหายใจยาวมองตนเองผ่านภาพสะท้อนในคันฉ่องก็อดคิดมิได้ว่าตนนั้นเหมือนเด็กสาวมากกว่าเด็กหนุ่มเสียจริง "แล้วท่านจะให้ข้าทำสิ่งใดหรือ?" "ตอนนี้สวี่เสียนเฟยได้เดินทางขึ้นวัดหลวง หากภายในคืนนี้เจ้าหาที่ซุกซ่อนทรัพย์สินบรรณาการที่ถูกยักยอกได้ พรุ่งนี้เช้าก็จะมีทหารไปรับนางเอง เพราะฉะนั้นเจ้ามิต้องกังวลเพราะคนของข้าที่แฝงอยู่จะคอยช่วยเหลือเจ้าเอง" เด็กหนุ่มขมวดคิ้วงุนงงเอ่ยความด้วยความขัดข้องใจ "ในเมื่อนางเป็นคนของท่าน เเล้วเหตุใดท่านถึงมิให้นางเป็นคนหาเล่า?" "เพราะนางมิได้มีหน้าที่ที่จะทำให้เข้านอกออกในตำหนักได้ตามใจ ถึงต้องพึ่งพาเจ้าอย่างไรเล่า" หลังจากนั้นเหยียนเป่าก็ได้ใช้เวลาเตรียมตัวให้เด็กหนุ่มสักพักก่อนที่เขาจะถูกส่งไปยังตำหนักสวี่เสียนเฟยโดยมีคนของนางที่แฝงตัวอยู่ในนั้นมานานหลายปีคอยให้ความช่วยเหลือ "มิต้องกลัวลู่เหมย นางกำนัลและขันทีส่วนใหญ่ในตำหนักได้เดินทางไปพร้อมพระสนมเสียนเฟย ยามนี้จึงเหมาะนักที่จะลงมือ" หญิงสาวเอ่ยปลอบใจเด็กหนุ่มที่มีสีหน้าเป็นกังวล "...ข้าจะพยายามทำมันให้ได้" ในตำหนักเสียนเฟยลู่เหมยในคราบนางกำนัลเดินตามคนขององค์หญิงมิห่างโดยมีสายตาองค์รักษ์จ้องมองมิละสายตาเพราะความงดงามของเขา "เจ้าถือผ้ากับถังน้ำแล้วเข้าไปทำความสะอาดในห้องบรรทม ส่วนนางกำนัลที่มีหน้าที่นี้ข้าได้ให้นางดื่มยาจนหลับไหลไปแล้วอีกนานนักถึงจะฟื้น" ลู่เหมยถือถังไม้พร้อมผ้าเดินเข้ามาส่วนในของตำหนักแต่กว่าจะผ่านองค์รักษ์มาได้ก็นับว่าเปลืองเวลาไปไม่น้อยเพราะคนเหล่านี้ระแวดระวังเข้มงวดเป็นอย่างมาก เด็กหนุ่มเมื่อได้เข้ามาในห้องบรรทมทำทีเช็ดถูทำความสะอาดแต่สายตาสอดส่องไปทั่ว เขาเปิดตู้ดูหลายใบแต่ก็ยังมิพบสิ่งที่ตามหา ลู่เหมยได้ยินเสียงฝีเท้าด้านนอกจึงรีบผลักถังไม้ให้ล้มลงจนน้ำไหลเจิ่งนองเพื่อยืดยื้อเวลาในการทำความสะอาดออกไป เพราะเด็กหนุ่มใช้เวลาทำความสะอาดนานจนผิดปกติเหล่าองค์รักษ์จึงรีบเข้ามาดู "เจ้ายังทำความสะอาดมิเสร็จอีกหรือ?" ลู่เหมยช้อนสายตาขึ้นมองเหล่าบุรุษฉกรรจ์ก่อนแสร้งทำหน้าตาใสซื่อไร้เดียงสาพลางเอ่ยขึ้นเสียงอ่อน "ข้าเผลอทำน้ำหกเจ้าค่ะ" "เช่นนั้นก็รีบเช็ดให้แห้งแล้วออกไปได้แล้ว เจ้ามิควรอยู่ในนี้นาน หากพระสนมเสียนเฟยรู้เข้าอาจมิพอใจนัก" สวี่เสียนเฟยมิชอบให้ผู้ใดเข้ามาในนี้นอกเสียจากนางกำนัลคนสนิท ครั้งหนึ่งเคยมีนางกำนัลแอบเข้ามาโดยมิได้รับอนุญาตจึงถูกลากไปโบยจนตาย หลังเหล่าองค์รักษ์ออกไป ลู่เหมยก็ถอดใจด้วยกลัวถูกจับได้ เขารีบคว้าผ้าซับน้ำที่นองเป็นวงกว้างมีบางส่วนไหลเข้าไปใต้เตียงบรรทมที่ถูกคลุมปิดด้วยผ้าแพร ลู่เหมยเลิกผ้าตวัดขึ้นก่อนเบิกตาโพลงด้วยความตกใจรีบปัดผ้าปิดลงดังเดิมลุกยืนคว้าถังน้ำและผ้าเดินออกมาด้วยท่าทางปกติโดยได้เก็บซ่อนความตื่นตะหนกตกใจเอาไว้ภายใต้ใบหน้าที่เรียบนิ่ง "เสร็จแล้วหรือแม่นาง?" องค์รักษ์หนุ่มเอ่ยถาม "เสร็จแล้วเจ้าค่ะ ข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ" เด็กหนุ่มมิรอช้ารีบสาวเท้าออกมาจากตำหนักเสียนเฟยเดินอ้อมลัดเลาะสวนดอกไม้ด้านหลังตรงไปยังตำหนักองค์หญิงสาม เหยียนเป่าส่งองค์รักษ์ไปรับฮุ่ยซิ่วมาพบนางที่ตำหนักเพื่อบอกกล่าวถึงสถานการณ์สกุลสวี่ต่อเขา "เสนาบดีสวี่ยักยอกทรัพย์สินหลวงโทษของเขาคือประหาร" ชายหนุ่มชะงักแววตาวูบไหวคล้ายสับสนลังเล สกุลสวี่แม้โหดร้ายต่อครอบครัวเขาและบ่าวไพร่คนอื่นๆในจวนมากเพียงใดแต่ก็นับว่าเป็นผู้มีพระคุณ อดีตเสนาบดีกรมคลังสวี่เหว่ยบิดาเสนาบดีสวี่นั้นเป็นขุนนางที่ซื่อสัตย์ซื่อตรงมีเมตตา หากวิญญาณที่อยู่ในปรโลกรับรู้ว่าสิ่งที่เขาสร้างมาต้องพังทลายลงเพราะบุตรหลานคงได้ร่ำไห้เป็นสายเลือด นึกถึงตรงนี้แล้วฮุ่ยซิ่วก็เกิดความลังเลในใจขึ้นมา "องค์หญิงข้าเพียงขอร้องให้ท่านช่วยเหลือบิดาและน้องสาว มิได้..." เพราะเขามิเข้าใจในความเป็นจริงเหยียนเป่าจึงต้องเอ่ยสวนขึ้น "ครั้งหนึ่งข้าเคยส่งคนไปเจรจาขอซื้อตัวบิดาและน้องสาวเจ้า แต่สวี่ซิ่วมิยอมทั้งยังสั่งบ่าวไพร่ทำร้ายคนของข้าจนสาหัสเมื่อสองปีก่อน" คนของนางถูกสวี่ซิ่วและบ่าวไพร่ทำร้ายทุบตีก่อนคนพวกนั้นจะโยนเขาออกมาจากจวนในสภาพเลือดท่วมกาย สวี่ซิ่วอารมณ์ร้อนรุนแรงเพราะลุ่มหลงฉีฮุ่ยน่าเป็นอย่างมากเมื่อมีคนคิดพานางจากไปจึงบังเกิดโทสะยากระงับข่ม ถ้ามิเพราะถูกเสนาบดีสวี่ผู้เป็นท่านปู่กีดกันมิให้ยุ่มย่ามกับนาง เด็กสาวในยามนี้อาจต้องทุกข์ทนอยู่ในเงื้อมมือเขาไปเสียตั้งนานแล้ว ฮุ่ยซิ่วนิ่งเงียบเงยหน้ามองหญิงสาวก่อนเอ่ยขึ้น "สามปีก่อนข้าเคยลงมือคิดสังหารท่านหลายครั้งและทุกครั้งที่ข้าทำ ข้าก็มิเคยข่มตานอนลงได้อย่างเป็นสุข จนเวลายืดยื้อมานานถึงสามปีถึงได้รู้ว่าแท้จริงข้ามิอาจตัดใจลงมือสังหารท่านได้ ทั้งที่ข้าเคยคิดร้ายต่อท่านโดยมิได้ตั้งใจแต่ก็ยังกล้าบากหน้าขอความช่วยเหลือจากท่าน น่าละอายใจยิ่งนัก" "เจ้าตัดใจสังหารข้ามิได้ แต่ก็มิอาจตัดใจละทิ้งทอดทิ้งบิดาและน้องสาวได้เช่นกัน เจ้าถูกบังคับมิได้เต็มใจทำ ข้ามิถือโทษโกรธเคืองหรอก" บิดาและน้องสาวถูกกักอยู่ในจวนทำให้ตัวเขาถูกบีบบังคับต้องฝืนใจกระทำสิ่งที่มิต้องการ ตราบใดที่เขายังมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีเลือกเส้นทางที่ถูกที่ควร กล้าทิ้งศักดิ์ศรีเพื่อคนที่รัก นั่นก็เพียงพอเเล้วที่นางจะยอมอภัย "ศิษย์พี่! ลู่เหมยมาแล้ว" เสี่ยวอี้พาเด็กหนุ่มที่ยังอยู่ในคราบนางกำนัลเข้ามา ฮุ่ยซิ่วแม้ขึ้นชื่อว่านิ่งเฉยเย็นชาเมื่อเหลียวมองไปทางเด็กหนุ่มก็อดมิได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ ลู่เหมยใบหน้าหงิกงอมิสบอารมณ์แต่เพราะมีเรื่องใหญ่เพื่อแจ้งแก่องค์หญิงเขาจึงแสร้งมิสนใจชายหนุ่มตรงหน้า "ข้าเจอสิ่งของเหล่านั้นถูกซ่อนอยู่ใต้เตียงบรรทม" เหยียนเป่าขมวดคิ้วย้ำถาม "ใต้เตียงบรรทมงั้นหรือ?" ลู่เหมยพยักหน้าในขณะที่หญิงสาวแค่นหัวเราะเบาๆ พระสนมเสียนเฟยกล้าซุกซ่อนของสำคัญไว้ใต้เตียงบรรทมเช่นนี้เห็นทีคงเป็นทรัพย์สินที่เพิ่งยักยอกออกมาจากท้องพระคลังเป็นแน่ หากฝ่าบาทได้เสด็จมาเห็นด้วยพระเนตรของพระองค์เองเห็นทีคราวนี้สกุลสวี่คงมิรอดได้ถูกถอนรากถอนโคนจนหมดสิ้นเป็นแน่ "คืนนี้หลังเสนาบดีสวี่และสวี่ซิ่วได้เข้าไปอยู่ในคุกหลวงแล้ว พรุ่งนี้เช้าข้าจะรีบทูลฝ่าบาทให้ส่งคนไปตรวจค้นตำหนักเสียนเฟย" เพราะคืนนี้พระบิดาจะออกไปร่วมจับกุมขุนนางชั่วร่วมกับแม่ทัพหม่าด้วยตัวพระองค์เอง นางจึงคิดว่าควรเว้นระยะให้พระองค์ได้พักผ่อนสักเล็กน้อยก่อนต้องรับมือเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับพระสนมของพระองค์เอง... ในยามไฮ่หีบบรรจุทรัพย์สินบรรณาการนับร้อยถูกลำเลียงจากหอสุรามาวางเรียงไว้ที่ท่าเรือรอการขนย้ายขึ้นสำเภา เสนาบดีสวี่พูดคุยเจรจากับพ่อค้าต่างแดนอยู่ภายในเรือโดยมิได้สังหรณ์ใจสักนิดว่าขาข้างหนึ่งได้ก้าวข้ามไปปรโลกแล้ว ด้านสวี่ซิ่วนั่งดื่มสุราระหว่างรอท่านปู่เจรจาการค้าอย่างสบายอารมณ์ มินานนักเมื่อเริ่มรู้สึกมึนเมาได้ที่อารมณ์บุรุษก็ก่อเกิดจนต้องหาที่ระบาย คุณชายใหญ่สกุลสวี่ลุกขึ้นเดินโซซัดโซเซไปตามตรอกทิ้งหีบสมบัติทรัพย์สินที่กองเอาไว้ให้บ่าวรับใช้เฝ้าแทน เสียงฝีเท้าม้าดังขึ้นฝ่าความมืดตรงมายังท่าเรือ กองกำลังถูกแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งมุ่งตรงไปท่าเรือ อีกส่วนเข้าขวางคุณชายใหญ่สกุลสวี่เอาไว้ สวี่ซิ่วที่มึนเมาจากฤทธิ์สุราไร้ซึ่งสติเมื่อถูกทหารหยุดม้ากั้นขวางก็บังเกิดโทสะขึ้นมา "พวกเจ้ากล้าดีอย่างไรมาขวางทางข้า!" ร่างสูงเอนเอียงไปมาสายตาพร่ามัวยกนิ้วชี้กราดด่าทอทหารด้วยความโมโห แม่ทัพหม่าจ้องมองบุรุษตรงหน้าด้วยความสมเพชสั่งทหารเข้าคุมตัวส่งไปยังคุกหลวง "พวกเจ้าจะทำอะไร?! ปล่อยข้า! ปล่อยข้า!" ชายหนุ่มโวยวายดิ้นรนขัดขืนแต่มิอาจสู้เเรงทหารร่างใหญ่ที่มีสติครบถ้วนได้ อีกด้านองค์ฮ่องเต้และองค์หญิงสามได้ควบม้านำกองกำลังอีกส่วนตรงมายังท่าเรือ เหยียนเป่าบังคับม้าให้ชะลอฝีเท้าพลางเอ่ยขึ้น "เสด็จพ่อเพคะ ลูกมีความเห็นว่าควรให้ทหารกระจายตัวเป็นวงกว้างล้อมท่าเรือเอาไว้ ปิดกั้นช่องทางหลบหนีเพคะ" องค์ฮ่องเต้ขยับพระพักตร์เห็นด้วยกับสิ่งที่พระธิดาเสนอ ก่อนตรัสรับสั่งให้ทหารกระจายตัวเข้าล้อมท่าเรือโดยทันที เหยียนเป่าพาทหารอีกส่วนควบม้าฝ่าตรงเข้าไปยังบริเวณที่หีบทรัพย์สินวางเรียงก่อนชักกระบี่เข้าฟาดฟันกับคนของสกุลสวี่เพื่อเปิดทางให้พระบิดาพาทหารบางส่วนเข้าคุมตัวเสนาบดีสวี่ ระหว่างนั้นแม่ทัพหม่าได้ตามมาสมทบทันท่วงทีจึงได้คุ้มกันองค์ฮ่องเต้ตรงเข้าไปในเรือสำเภา เสนาบดีสวี่ที่มัวดื่มสุราชื่นชมนางรำร่วมกับคณะพ่อค้ามิทันสังเกตุเห็นโอรสมังกรที่ได้ย่างกายเข้ามาพร้อมทหารมากมาย พ่อค้าหลายคนที่เคยเข้าเฝ้าพลันจำได้รีบคุกเข่าลงโดยทันที ในขณะที่เสนาบดีสวี่ใบหน้าซีดเผือดมือไม้อ่อนแรงจนจอกสุราหลุดมือหล่นแตกกระจายบนพื้น "น่าแปลกเสียจริงที่เจ้ามาอยู่ที่นี่ ท่านเสนาบดีสวี่" ขุนนางใหญ่ทรุดตัวลงกับพื้นเรือ "ฝะ ฝ่าบาท เสด็จมาถึงที่นี่..." "ข้าได้ยินมาว่าเจ้าได้เจรจาเพื่อทำการค้ากับพ่อค้าต่างแดนเหล่านี้ จึงอยากจะมาดูสินค้าของเจ้าที่กำลังจะถูกส่งออกก็เท่านั้น" ขุนนางใหญ่ตัวชาวาบนิ่งงันครุ่นคิดหาทางรอด "กะ กระหม่อมมีสินค้าเพียงเล็กน้อย มิใช่ของมีราคามากมาย มิน่าดูหรอกพะย่ะค่ะ" "ขุนนางรักขยันขันแข็งรู้จักค้าขายหาเบี้ย ข้าในฐานะประมุขแผ่นดินย่อมต้องสนับสนุน" เพียงไม่นานทุกชีวิตก็ได้มารวมตัวกันบนท่าเรือ ทันทีที่หีบนับร้อยถูกไขเปิดออกองค์ฮ่องเต้ก็ตรัสรับสั่งเสียงกร้าว "เจ้าขุนนางชั่วกล้ายักยอกทรัพย์สินหลวงมากมายเช่นนี้เลยหรือ!!" เสนาบดีสวี่คุกเข่าโขกศรีษะพร่ำเอ่ยขอความเมตตาปากคอสั่นด้วยความกลัว "ฝะ ฝ่าบาท! กะ กระหม่อมผิดไปแล้ว! ขะ ขอฝ่าบาททรงเมตตาด้วย! กะ กระหม่อมผิดไปแล้ว" เลือดบนหน้าผากที่ไหลนองอาบครึ่งใบหน้าก็มิอาจเรียกร้องขอความเห็นใจชดใช้ความผิดได้ เหยียนเป่ามองขุนนางใหญ่คุกเข่าร่างสั่นไหวด้วยสายตาเรียบนิ่ง "เสด็จพ่อเพคะ ในเมื่อพบหลักฐานชัดเจนเพียงนี้ก็อย่ารั้งรอรีบคุมตัวเขาไปยังคุกหลวงเถิดเพคะ เสด็จพ่อจะได้เสด็จกลับไปพักผ่อนเสียที" ทันทีที่เหยียนเป่าเอ่ยจบองค์ฮ่องเต้ได้ตรัสรับสั่งให้ทหารรีบเข้าคุมตัวขุนนางใหญ่นำไปคุมขังรอการตัดสินโทษและนำหีบทรัพย์สินกลับเข้าท้องพระคลัง ส่วนพระองค์และพระธิดาคนโปรดก็ได้ขึ้นควบม้าคนละตัวตรงกลับเข้าวังหลวงโดยมีทหารคุ้มกันแน่นหนาทั้งด้านหน้าด้านหลัง เช้ารุ่งขึ้นในยามเฉินเหยียนเป่าที่ตื่นแต่เช้าตรู่ได้เดินทางไปเข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้เพื่อทูลเรื่องราวสำคัญที่หนึ่งเรื่องที่ยังค้างคา นางควบม้ามาหยุดหน้าท้องพระโรงที่ด้านหน้าคับคั่งไปด้วยขุนนางน้อยใหญ่ ข่าวลือเรื่ององค์หญิงสามออกหน้าสืบค้นขุดคุ้ยสกุลสวี่จนขุนนางใหญ่แห่งกรมคลังถูกล้มล้างสั่งประหารได้แพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นหัวข้อให้เหล่าขุนนางหยิบยกมาพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์ แต่ทันทีที่เหยียนเป่าปรากฏตัวความเงียบก็ครอบคลุมบริเวณนั้นโดยทันที ขุนนางทั้งหลายรีบเอ่ยคำนับนางเสียงดังพร้อมเพรียง เป็นเพราะผลงานนางในครั้งนี่เหี้ยมโหดเด็ดขาดทำให้เสนาบดีสวี่และสวี่ซิ่วต้องโทษประหาร ขุนนางอื่นๆจึงพากันเกรงกลัวขึ้นมา องค์รักษ์ประจำหน้าท้องพระโรงได้เปิดประตูให้แก่เหยียนเป่าเข้าไป บนบัลลังค์มังกรมีพระบิดาประทับนั่ง ด้านหลังที่ถูกปิดด้วยม่านมีองค์ไทเฮาร่วมออกว่าราชการในรอบสองปี "เหยียนเป่าถวายบังคมเสด็จพ่อ ไทเฮา" สตรีชราเดิมทีมิชื่นชอบหลานสาวผู้นี้เท่าใดนักด้วยลักษณะนิสัยแปลกแตกต่างจากสตรีในใต้หล้าทำให้พระนางรู้สึกอับอายบ่อยครั้ง "เป่าเอ๋อร์ มาหาข้าแต่เช้ามีสิ่งใดจะรายงานข้าอีกใช่หรือไม่?" หญิงสาวพยักหน้าเอ่ยเสียงเบาด้วยมิต้องการให้ผู้เป็นย่าได้ยิน องค์ไทเฮาทรงรักเหยียนซูเม่ยและทรงโปรดปรานสวี่เสียนเฟยเป็นอย่างมาก นางจึงมิต้องการให้พระนางรับรู้เรื่องนี้ "การตรวจสอบทรัพย์สินบรรณาการที่ถูกนำกลับมายังคงมีบางชิ้นที่หายไปเพคะ เสด็จพ่อคิดว่าอย่างไรหากลูกเสนอให้ตรวจค้นตำหนักสวี่เสียนเฟย" นางลอบสังเกตุสีพระพักตร์พระบิดาที่เรียบนิ่งมิอาจคาดเดาได้ พระองค์นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนตรัสขึ้น "เรื่องนี้ข้าขอมอบหมายให้เจ้าทำ หากนางมีความผิดจริงข้าก็มิอาจละเว้นให้กลายเป็นเยี่ยงอย่างได้" เหยียนเป่าน้อมรับพระบัญชาพร้อมทูลลาผู้เป็นใหญ่ทั้งสองก่อนย่างกายออกไป องค์ไทเฮามองตามแผ่นหลังบางที่สะท้อนความแข็งแกร่งเกินหญิงออกมาด้วยสีพระพักตร์หนักพระทัย "หานฮองเฮาเรียบร้อยอ่อนหวาน แต่ด้วยเหตุอันใดทำให้พระธิดาของนางเป็นเช่นนี้ไปได้?" อดีตสะใภ้หลวงหานรั่วหลานที่พระนางทั้งรักและเอ็นดูมิเคยลืมเลือนไปจากพระทัย เสียดายนางอายุสั้นสิ้นลมด้วยวัยยี่สิบเจ็ดปีเท่านั้น องค์ฮ่องเต้เมื่อได้ยินพระมารดาเอ่ยถึงสตรีที่รักยิ่งก็พลันเศร้าหมองสีพระพักตร์หม่นลงแววพระเนตรคล้ายถูกเคลือบด้วยหยาดน้ำตา "เป่าเอ๋อร์แม้มิเรียบร้อยอ่อนหวานดั่งที่เสด็จแม่คาดหวังให้นางเป็น แต่นางก็มีสติปัญญาเหนือกว่าองค์หญิงองค์ชายอื่นมากนัก ทั้งยังทำประโยชน์แก่บ้านเมืองช่วยงานในราชสำนักมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย" ในขณะที่พระโอรสพระธิดาคนอื่นมีพระมารดาเคียงข้าง เหยียนเป่ากลับเป็นพระธิดาเพียงคนเดียวที่สูญเสียมารดาตั้งแต่ยังเล็ก ทุกๆวันที่ต้องเห็นพระธิดาเศร้าซึมมิสดใสตามนิสัยของนางในพระทัยบิดาเช่นพระองค์มีหรือจะทานทนได้จำต้องส่งนางไปกุ้ยโจวฝากเป็นศิษย์สำนักวรยุทธสืออู่หมายให้นางจดจ่อกับการร่ำเรียนวิชาเพื่อช่วยลบเลือนความเศร้าหมองในจิตใจ เหยียนเป่าพาทหารเข้าตรวจค้นตำหนักเสียนเฟยโดยมีป้ายผู้แทนพระองค์จากฝ่าบาทติดตัวเอาไว้ ก่อนเข้าเฝ้าพระบิดานางได้ให้เสี่ยวอี้ติดตามไปกับทหารส่วนหนึ่งเพื่อควบคุมตัวพระสนมเสียนเฟยกลับมายังวังหลวง ทหารตรวจค้นทุกซอกทุกมุมของตำหนักโดยที่เหยียนเป่าทำเพียงยืนเฝ้าดูเท่านั้น ทหารนายหนึ่งเลิกผ้าคลุมเตียงบรรทมออกก้มลงมองใต้ล่างดึงหีบทองห้าใบออกมาอย่างทุลักทุเล ระหว่างการตรวจค้นจู่ๆองค์หญิงแปดเหยียนซูเม่ยได้พรวดพราดเข้ามาด้านในตำหนัก หลังได้รับข่าวร้ายว่าท่านตาและญาติหนุ่มถูกคุมขังอยู่ในคุกหลวงนางก็รีบเดินทางตรงมาที่นี่แต่กลับพบว่าตำหนักพระมารดาถูกปิดล้อมด้วยทหารหลายสิบชีวิต "พี่สาม! นี่มันเกิดอะไรขึ้น?!" เด็กสาวเอ่ยถามพลางกวาดสายตามองรอบห้องที่กระจัดกระจายพลันบังเกิดโทสะขึ้นมาตวาดเสียงแหลม "นี่! หยุดเดี๋ยวนี้! พวกเจ้ากล้าดีอย่างไรเข้ามารื้อค้นที่นี่!" นางพุ่งตัวตรงเข้าทุบตีทหารจนเหยียนเป่าต้องดึงแขนเอาไว้ เด็กสาวพยายามสะบัดออกแต่ถูกผู้เป็นพี่ออกแรงบีบไว้แน่น "ปล่อยข้า! ปล่อย!" เหยียนซูเม่ยดีดดิ้นโวยวายจนเหยียนเป่ารำคาญสะบัดแขนนางทิ้งเต็มแรงจนร่างเล็กเซถลาล้มลง "คนสกุลสวี่รวมทั้งมารดาเจ้ายักยอกทรัพย์สินบรรณาการ ข้าจึงต้องมาตรวจค้น!" "ข้ามิเชื่อ! ท่านใส่ความมารดาข้า! เพราะท่านเกลียดมารดาข้า!" เด็กสาวยังคงเถียงมิยอมแพ้ เหยียนเป่าจึงย่อกายลงตรงหน้าเด็กสาว "มารดาเจ้าส่งฮุ่ยซิ่วไปสังหารข้าถึงในจวน ถ้าข้าจะเกลียดนางถึงขั้นวาดหวังให้นางตายก็มิใช่เรื่องแปลกอะไร!" เหยียนซูเม่ยเข่นเขี้ยวด้วยความเเค้นเคืองสองมือกำแน่น สองพี่น้องต่างมารดามองหน้ากันอย่างมิยอมแพ้ หนึ่งสายตาดื้อรั้นหวังเอาชนะไร้ทางสู้ อีกหนึ่งสายตาดุดันกดข่มคนตรงหน้าให้รู้ซึ้งถึงอำนาจที่มิอาจล่วงล้ำ...
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD