“หมอกเป็นยังไงบ้างลูก” เดินเข้าไปเอาหลังมืออังศีรษะลูกชาย
“ผมไม่ได้เป็นอะไรมากครับแม่” บอกแม่เสียงเรียบ
“กินข้าวเยอะๆหน่อยนะลูกจะได้หายเร็วๆ พักหลายวันหน่อยก็ดี ไม่ต้องห่วงเรื่องงานหรอก ให้น่านดูแลไปก่อนก็ได้” กมลพรรณรู้ว่าลูกทั้งสามของเธอชอบทำงานหนักแค่ไหน แต่ก็ไม่อยากให้ม่านหมอกหักโหมในช่วงที่เขาป่วยเช่นนี้ อย่างน้อยน่านฟ้าก็มีกรรวีภรรยาคนเก่งคอยช่วยงานอยู่เสมอ
“ครับแม่ ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกันครับ” ช่วงนี้เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังหมดไฟในการทำงาน มองไปทางไหนก็ดูน่าเบื่อ สมบัติมีตั้งมากมายก็ไม่รู้จะทำไปเพื่อใคร
กมลพรรณปล่อยให้ลูกชายได้พักผ่อน ส่วนตัวเธอเดินออกไปอ่านหนังสือที่ระเบียงของบ้านอีกด้านหนึ่ง ซึ่งบรรยากาศเย็นร่มรื่นดี บ้านม่านหมอกเป็นบ้านชั้นเดียวไสตล์คล้ายกับรีสอร์ต รอบบ้านมีการจัดสวนสวยงาม และมีน้ำตกจำลองด้วย อารมณ์แบบนั่งอยู่ในป่าย่อมๆเลยก็ว่าได้
ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการสอบไฟนอลเทอมสองปีสี่ของกัลยา
“ขิมได้ข่าวว่าเธอได้งานแล้วเหรอ” เพื่อนของเธอเอ่ยถาม ขณะที่ทั้งสองเดินออกมาจากตึกคณะวิศวกรรมศาสตร์
“ได้แล้วจ้ะ พ่อเราหาให้”
“ที่ไหนเหรอ”
“โรงงานน้ำตาลประกายฤกษ์ที่อีสาน”
“โชคดีจังอ่า เรายังหาไม่ได้เลย” ใครๆก็อยากทำงานกับบริษัทประกายฤกษ์
“ค่อยๆหาเดี๋ยวก็ได้เอง ที่จริงของเราพ่อเลี้ยงเป็นคนฝากเราเข้าทำงานเองแหละ” เพื่อนสนิทของเธอรู้ว่าพ่อเลี้ยงของเธอเป็นใคร แต่แค่ไม่เคยเจอหน้าเขา
“แต่เธอก็เก่งจริงๆนี่นา ถึงเป็นเด็กฝากก็ไม่ใช่ปัญหา” ที่จริงที่บ้านกัลยาก็ทำธุรกิจ แต่เธออยากลองทำงานกับบริษัทอื่นดูบ้าง ถ้าเบื่องานค่อยกลับไปทำช่วยพ่อก็ได้
“การทำงานถึงเก่งแค่ไหนยังไงก็ต้องเริ่มจากศูนย์ทั้งนั้นแหละ” กัลยาบอกเพื่อน
ครืด ครืด เสียงโทรศัพท์ของกัลยาดังขึ้น เธอเห็นพ่อเธอโทรมาหลายสาย ว่าจะโทรกลับแต่ก็ติดคุยกับเพื่อนเสียก่อน
“เรากลับห้องก่อนนะขิม” เพื่อนบอกแล้วโบกมือให้ กัลยายิ้มให้และโบกมือตอบ
“ค่ะพ่อ”
“ไปเยี่ยมพ่อเลี้ยงให้พ่อหน่อยสิ เห็นคุณย่าบอกว่าพ่อเลี้ยงไม่ค่อยสบาย” บอกลูกสาวน้ำเสียงอ่อนโยน
“งั้นเหรอคะ โอเคค่ะขิมสอบเสร็จพอดี เดี๋ยวขิมไปเยี่ยมคุณปู่คุณย่าด้วยเลยค่ะ” เจ็ดปีแล้วสินะที่เธอไม่ได้เจอหน้าพ่อเลี้ยงของเธอเลย แต่พ่อของเธอก็คอยเล่าความเป็นไปของพ่อเลี้ยงให้ฟังอยู่บ่อยๆ
“โอเค ได้เรื่องยังไงแล้วบอกพ่อด้วยนะ”
“ได้ค่ะพ่อ”
“แล้วขิมจะกลับวันไหนเดี๋ยวพ่อจะไปรับ” ปกติถ้ากัลยากลับบ้านเธอจะต้องนั่งเครื่องบินกลับตลอด
“คงอีกสองสามวันค่ะพ่อ แต่พ่อไม่ต้องมารับก็ได้ค่ะ หนุ่ยเขาบอกจะมารับขิมน่ะค่ะ” กัลยาหมายถึงคู่หมั้นของเธอ
“เห็นผู้ชายดีกว่าพ่อ” แกล้งทำเสียงเหมือนงอน
“ไม่ใช่อย่างนั้นค่า พ่ออ่า”
“หึ หึ พ่อล้อเล่น แค่นี้แหละรีบไปดูใจพ่อเลี้ยงเราหน่อย ป่านนี้ลงแดงแล้วมั้ง”
“ค่ะพ่อ แท็กซี่มาพอดีเลยค่ะ จุ๊บ ๆ ค่ะพ่อ” วางสายเสร็จก็โบกแท็กซี่ทันที
กัลยามาถึงบ้านประกายฤกษ์เกือบหกโมงครึ่ง เพราะรถค่อนข้างติด เธอเดินไปทักทายคุณปู่กับคุณย่าก่อนที่จะเข้าไปหาม่านหมอก
“คุณปู่คุณย่าสวัสดีค่ะ” กัลยากระพุ่มมือไหว้ท่านทั้งสอง กัมปนาทและกมลพรรณเงยหน้าขึ้นมาตามเสียง และรับไหว้ มองเธออยู่สักพักเหมือนกำลังคิด เด็กสาวผิวขาวผ่อง หน้าตาจิ้มลิ้ม แก้มป่องนิด ๆ จมูกหน่อย ๆ ผมสีน้ำตาลประกายทองยาวสลวยคนนี้คือใคร แถมสวมชุดนักศึกษา
“คุณปู่ คุณย่าคะ ขิมเองค่ะ” เธอทำท่ากลั้นขำเมื่อเห็นสีหน้าปู่กับย่า
“หนูขิมเองเหรอลูก ทำไมถึงสวยขึ้นมากมายเพียงนี้ โถๆๆ ถ้าไปเจอข้างนอกย่าคงจำไม่ได้” กมลพรรณมองลูกสาวเพื่อนรักของลูกชายอย่างชื่นชม เธอสวยมากจริงๆ
“มาให้ปู่กับย่ากอดหน่อยเร็ว โตเป็นสาวแล้วเนี่ย” กัลยาเดินเข้าไปนั่งข้างท่านทั้งสอง ทั้งปู่ทั้งย่ากอดเธอด้วยความคิดถึง
ถามสารทุกข์สุกดิบสักพักกัลยาจึงเอ่ยถึงม่านหมอก
“พ่อเลี้ยงเป็นยังไงบ้างคะ”
“ขิมไปดูเองเถอะลูก” กมลพรรณบอกหลาน
“ได้ค่ะ งั้นขิมไปบ้านพ่อเลี้ยงก่อนนะคะ”
“จ้ะ”
พูดจบเธอก็เดินไปบ้านของม่านหมอก ที่อยู่ห่างจากบ้านใหญ่เกือบสามร้อยเมตร ในใจรู้สึกตื่นเต้นและประหม่านิดๆที่จะได้เจอกับพ่อเลี้ยง นานมากแล้วที่เธอไม่ได้เจอเขา ครั้งล่าสุดที่เจอคือตอนพ่อเลี้ยงไปดูงานที่อีสาน ตอนนั้นเธอเรียนอยู่มอสามเตรียมจะเข้ามอสี่พอดี และตั้งแต่วันนั้นเธอก็รู้สึกว่าในใจลึกๆเธอนึกถึงพ่อเลี้ยงอยู่เสมอ และคอยเป็นห่วงเขาตลอดว่าเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง หลังจากที่ชีวิตเขาไม่มีแม่เลี้ยงแล้ว