Tee says…
ผมยืนงงเมื่อจู่ๆ พี่มิ้งก็วิ่งแบบสิบคูณร้อยหนีไปไกลลิบ ทั้งที่ในไลน์ก็คุยกันดี แต่พอมาเจอที่นี่ เขากลับทำตัวเหมือนหนีหน้าผมซะงั้น
“อีมิ้ง อะไรของแกเนี่ย!” ผู้ชายที่ร้องแซวเมื่อกี้ก็ลุกขึ้นวิ่งตามเธอไปด้วย ทำให้ที่ซุ้มคณะนิติเหลือแค่ผมกับไอ้พีท ผมไม่ได้เรียนที่นี่หรอก ผมแค่มาหาไอ้พีทเฉยๆ พวกเราเป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยมัธยม บวกกับผมทำงานแถวๆ นี้เลยนัดเจอกันตลอด
“มึงทำอะไรรุ่นพี่กูปะเนี่ย?” ไอ้พีทมองหน้าผมอย่างพลางตั้งข้อสงสัย ผมทำหน้าเหรอหราแล้วส่ายหัวงงๆ ผมทำอะไรอ่ะ ผมก็แค่จีบปะวะ มันต้องถึงขนาดวิ่งหนีผมเลยเหรอ หรือพี่แกจะไม่ชอบขี้หน้าผมรึเปล่า? ผมย่นคิ้วก่อนจะเทน้ำหนักตัวลงที่เก้าอี้ม้าหินอ่อนตรงข้ามไอ้พีท
“กูยังไม่ได้ทำอะไรเลย” ผมตอบแล้วทำหน้าสับสน แต่ผมคิดว่าเธออาจจะมีธุระหรือมีเหตุผลอื่น คงไม่ได้วิ่งหนีไปเพราะเกลียดขี้หน้าผมหรอกมั้ง ไอ้พีทยิ้มจนแก้มบุ๋มไปข้างนึง
“ยังไม่ได้ทำนี่หมายถึงต่อไปมึงจะทำใช่ปะ?” มันว่าอย่างรู้ทันทำให้ผมหัวเราะกับการคาดเดาทุเรศๆ ที่มันคิดอยู่ ผมดูเป็นคนแบบนั้นเหรอ?
“เห็นกูเป็นคนยังไงเนี่ย?”
“เหี้ย” มันกระแทกเสียงใส่หน้าผมทำเอาผมชะงักก่อนจะเบ้หน้าใส่มันเบาๆ ตรงไปมั้ยเพื่อน ไว้หน้ากันบ้างก็ดีนะ
“มึงไม่ต้องมาจีบรุ่นพี่กูเลยนะ คนนี้กูจอง” มันชี้หน้าผมคาดโทษ ผมแกล้งกลอกตาไม่รู้ไม่เห็น
“จองแต่ไม่จีบ มึงจะหวงทำไมเนี่ย” ผมบ่นไอ้พีท จริงๆ มันไม่ได้ชอบพี่เขาหรอก มันก็แค่กั๊กไว้ไม่อยากให้ผมวุ่นวายกับรุ่นพี่ที่คณะมันมากกว่า ถ้าเกิดมีปัญหาขึ้นมา เดี๋ยวมันจะปวดหัว
“เดี๋ยวกูก็ต้องมานั่งตามเช็ดล้างเรื่องของมึงอีก” มันบ่นกะปอดกะแปดทำให้ผมถอนหายใจยาว เช็ดล้างอะไรวะ ก็เว่อร์ไป ผมไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย
“เฮ้ย คนนี้กูจริงจัง” ผมว่าพลางทำหน้าซีเรียสทำให้ไอ้พีทงงเข้าไปอีก
“ปกติมึงก็หาแฟนสวยฉิบหายวายวอดเลยไม่ใช่เหรอวะ กูไม่เห็นว่ารุ่นพี่กูจะมีอะไรให้มึงรู้สึกจริงจังได้เลย” มันเอ่ยทำให้ผมหัวเราะร่า คนเรามันไม่ต้องหาคนสวยก็ได้ปะวะ พี่เขาก็น่ารักอยู่นะ
“จริงๆ กูว่าผู้หญิงแบบพี่เขาเหมาะจะเป็นแฟนกูนะ เค้ากับกูน่าจะคบกันได้นาน” ผมอธิบายให้ไอ้พีทฟังด้วยท่าทางจริงจังทำให้ไอ้พีทงงเข้าไปอีก
“ยังไงวะ?” มันเอียงคอสงสัยแล้วถามกลับมา ผมยิ้มนิดๆ ที่มุมปากพลางขยับหน้าเข้าไปหามันพร้อมช้อนสายตาหวานๆ ใส่ ตอบกลับด้วยน้ำเสียงกระซิบกระซาบ
“ก็ตรงที่... พี่เค้าตามกูไม่ทันไง”
Ming say…
อะไรของฉันวะ จะวิ่งหนีเพื่อ!
ฉันยืนงงหลังจากที่ฉันวิ่งๆๆๆ จนรู้ตัวอีกทีฉันก็อยู่ที่หอแล้ว ฉันเหล่ตามองไอ้ต้นพร้อมหอบหายใจเหนื่อย มันนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนเตียงที่มีผ้าปูที่นอนใหม่เอี่ยมลายริคุมะน่ารักไม่เข้ากับเบ้าหน้ามันเลยสักนิด ก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าจากเกม Hey Day ในมือถือขึ้นมามองฉันอย่างงงๆ ว่าเกิดมหาวิปโยคอะไรขึ้น ถึงได้ทำหน้าตาตื่นขนาดนี้
นั่นแหละ สิ่งที่ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าฉันเป็นบ้าอะไร ก็แค่น้องตี๋มองปะวะ ฉันต้องเวอร์ขนาดนี้เลยเหรอ?
“เป็นไรพี่มิ้ง วิ่งมาซะเร็วเลย ตกใจหน้าตัวเองในกระจกเหรอ?” มันถามฉันด้วยความเป็นห่วงแกมกวนตีนทำให้ฉันเบ้หน้าแล้วหยิบหนังสือใกล้มือฟาดหัวมันดังป๊าป
“เด็กเวร!” ฉันสบถ
“เฮ้ย ทำร้ายน้องอ๋อ ฟ้องแม่แน่” ไอ้ต้นชี้หน้าขู่เพื่อกวนประสาทให้ฉันสติแตกมากชึ้นไปอีก ฉันเบ้หน้าแล้วทิ้งตัวลงบนเตียง อ้าแขนอ้าขาร้อยยี่สิบองศาอย่างไม่เกรงใจคนที่นอนอยู่ก่อน
ไอ้ต้นมองหน้าฉันอย่างงงๆ เมื่อถูกเบียดให้ขยับไปอีกฝั่ง มันใช้นิ้วจิ้มแก้มฉันแล้วมองตาปริบๆ ในขณะที่ฉันกำลังสับสนว่าฉันจะวิ่งหนีมาเพื่อใคร แล้วทิ้งอีอาร์ตไว้ทำไม น้องตี๋ก็แค่พูดเล่น แต่ฉันแม่งเสือกเขินจริงอ่ะ ฮืออออออ
นอกจากพูดจาน่ารักแล้วน้องยังหล่ออีก มองยังไงก็แซ่บอ่ะ น้องคือคนที่เกิดมาเพื่อหล่อไปวันๆ บนโลกนี้จริงๆ ต่างจากไอ้ต้นนัก นอกจากมันจะไม่น่ารักแล้วยังปากหมา หน้าตาธรรมดา แถมเตี้ยอีก มันควรมีอะไรดีบ้างในชีวิตมัน
อ๋อ ลืมไป สิ่งดีๆ ในชีวิตมันก็คือฉันนั่นเอง แฮ่ ^O^~
Rrrr Rrrr…
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในตอนที่ฉันกำลังนั่งด่าไอ้ต้นอยู่ในใจ ฉันคิดว่าฉันตั้งสติได้แล้วแต่ไม่เลย พอฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูว่าใครโทรเข้าเท่านั้นแหละ…
[เพื่อนตุ๊ด is calling…]
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดด”
ฉันกรี๊ดเสียงแหลมแล้วดีดดิ้นอยู่บนเตียงประหนึ่งผีเข้าจนไอ้ต้นสะดุ้งโหยงแล้วตวัดสายตามามองฉันอย่างตกใจ แต่ฉันไม่แคร์นะ ณ จุดนี้บอกเลยว่าเห็นชื่ออีอาร์ตแล้วรู้สึกไม่สบายใจ เมื่อกี้มันแกล้งฉันด้วยอ่ะ ถ้ามันไม่สปอยให้ฉันคลั่ง ฉันอาจจะไม่บ้าจี้วิ่งหนีมาก็ได้
ฮืออออ ป่านนี้น้องตี๋มองฉันเป็นคนยังไงแล้วก็ไม่รู้ ไม่เตรียมเข้าศรีธัญญาก็คนบ้าระยะสุดท้ายอ่ะ T^T
[อีมิ้ง อะไรของแกเนี่ย! แกวิ่งทำไม เป็นบ้าเหรอ! แล้วนี่อยู่ไหน แกบังอาจทิ้งกระเทยไว้ที่ซุ้มคนเดียว อีชะนีใจร้าย]
มันด่าฉันยกใหญ่ด้วยน้ำเสียงงอนๆ ฉันหัวเราะแห้งๆ พลางเกาหัวแกรกๆ ก็นั่นน่ะสิ ฉันวิ่งทำไมวะ!
“ก็ไม่รู้อะแก แต่มันเขินอ่ะ น้องแม่งมาน่ารักใส่ ใครจะไปทนมองไหววะ”
[โอ๊ย สันดานแบบนี้ ชาตินี้จะมีผัวมั้ยเนี่ย!]
“ไม่รู้ว่ะ”
[กูประชดค่า อีนี่ก็จริงจังทุกเรื่องเลยเว้ย กะเทยเครียด!]
อ้าว จะไปรู้เหรอว่ามันประชด ก็ดูมันพูดน้ำเสียงจริงจังขนาดนั้น ฉันก็นึกว่าซีเรียสอ่ะดิ คนเราแม่งจะประชดกันไปทำไมวะ พูดตรงๆ ไม่เป็นเหรอ สงสารคนขี้งงอย่างฉันบ้าง ฉันไม่ได้ฉลาดขนาดที่จะเข้าใจว่าใครประชดฉันนะ แค่คุยให้รู้เรื่องก็เหนื่อยแล้วเนี่ย!
“อ้าวเหรอ ก็แกไม่บอกปะวะว่าประชด”
[โอ๊ย อีบ้า คนประชดใครเขาบอกกัน คุยกับแกแล้วเหนื่อยจริง! แล้วตกลงนี่อยู่ไหนเนี่ย]
“อยู่หอแล้ว” ฉันตอบมันก่อนจะได้ยินเสียงถอนหายใจยาวจากปลายสาย
[วิ่งหรือบินไปเนี่ย เร็วเหลือเกิน ติดล้อไว้ที่ตีนเหรอ?]
“วิ่งมาๆ” ฉันตอบก่อนจะได้ยินมันถอนหายใจอีก เอ่อ ฉันพูดอะไรผิดปะวะ ฉันก็ตอบตรงคำถามนะ อะไรเนี่ย มนุษย์ปกตินี่เข้าใจยากจริง!
[อีมิ้ง เรื่องนี้ฉันจริงจังนะ ฉันว่าแกจีบน้องตี๋เหอะว่ะ ฉันจะเสียสละนางให้แกเอง ด้วยรักจากเพื่อนตุ๊ด] อีอาร์ตเอ่ยออกมาทำเอาฉันชะงักตัวแข็งทันทีที่ฟังจบ แค่คิดก็รู้สึกวูบวาบไปทั้งร่างแล้ว มองหน้าฉันยังเขินเลย นับประสาอะไรกับไปจีบวะ ประสาท ไม่เอาหรอก!
“บ้าเหรอแก เป็นผู้หญิงจีบผู้ชายได้ไงวะ น่าเกลียด”
[แล้วยังไงคะ จะรอให้ใครเอาใส่พานถวายแกเหรอ! ดูสารรูปหน้าตัวเองด้วย ไม่สวยแล้วยังจะมาเยอะอีก]
“ก็ไม่ได้แย่นะ ก็ได้อยู่ ดูเป็นคนอ่ะ” ฉันว่าพลางหันหน้าเข้าหากระจก ส่องซ้าย ส่องขวา ก็น่ารักใช้ได้ ไม่เก๊ อยู่ในระดับพาไปวัดไปวาแล้วหมาไม่หอนอ่ะ
[คนบ้าอะนะ]
“อีอาร์ตนี่เพื่อนมะ?”
[อ้ะ ล้อเล่น]
“โว๊ะ”
[เชื่อสิ อีมิ้ง คนนี้แกอ่อยดีๆ ได้เป็นแฟนแน่]