บันทึกจอมยุทธ์ ฉบับที่ ๑ ส่วนที่ ๕

2956 Words
บันทึกจอมยุทธ์ ฉบับที่ ๑ ส่วนที่ ๕ พอได้เอาคืนสักครั้งอารมณ์ข้าก็ดีขึ้นไม่น้อย นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าสามารถล้างอายให้ตัวเองได้หลังจากถูกกลั่นแกล้งเหยียดหยามมานานปี อีกทั้งยังเชื่อได้ว่าจางเยว่จะไม่ปากโป้งให้พี่ใหญ่ที่เคารพรักต้องมัวหมองแน่นอน “อารมณ์ดีเช่นนี้ ทำเรื่องไม่ดีมาละสิ” อาจารย์หรี่ตาจับผิด พัดไม้ถงในมือร่ำร่ำจะฟาดลงบนศีรษะข้า โชคดีที่ข้าไหวตัวทันจึงหลบไปเกาะแขนอาจารย์พลางยิ้มประจบ ใช้มือไม้ช่วยบีบนวดให้ผู้อาวุโสผ่อนคลาย “อาจารย์ หย่งหมิงทำงานเสร็จแล้วก็ย่อมอารมณ์ดีสิขอรับ” อาจารย์กำลังจะเคลิบเคลิ้มอยู่ดีๆ ก็พลันดึงหูข้างหนึ่งของข้า สบถคำหยาบคายสั้นๆ ก่อนจะพูด “เจ้าศิษย์ไม่ได้เรื่อง ไปทำใครเลือดตกยางออกมา” “ข้า…ข้าเปล่านะท่านอาจารย์” “ยัง! ยังจะปากแข็ง ข้าได้กลิ่นคาวเลือดจากตัวเจ้า นี่ไง! เจ้านี่ หน้าเจ้ามีรอยเลือดติดอยู่” “หา!” ข้าเบิกตากว้าง ลูบใบหน้าของตนเอง มีรอยเลือดจางๆ ติดมือมาจริงๆ บัดซบ! ข้ากำลังจะอ้าปากอธิบาย ทว่าอาจารย์กลับคลี่พัดห้ามไว้ สีหน้าพลันเงียบขรึมขึ้นมาทันที เขาปล่อยมือจากหูของข้าแล้วบุ้ยปากให้ข้าเดินเข้าไปในห้องครัว พลันขนกายของข้าก็ลุกชัน รู้สึกราวกับว่ามีคนคอยจับจ้องอยู่ จึงรีบสาวเท้าเร่งตามอาจารย์ไป อาจารย์ดึงจดหมายออกมาจากมีดบินที่จู่ๆ ก็ถูกซัดเข้ามาในครัว เขาคลี่อ่านรอบหนึ่ง ดวงตาที่เคยนิ่งสงบดุจผืนน้ำกลางทะเลสาบสั่นไหวระลอกหนึ่ง มือสั่นเทาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ข้ากำลังจะอ้าปากถาม ทว่าผู้อาวุโสยกนิ้วชี้แตะปาก ข้าจึงหุบปากเงียบมองนิ้วมือของอาจารย์ที่จุ่มน้ำชาแล้วเขียนประโยคลงบนโต๊ะไม้ ‘อ่านจดหมายแล้วห้ามพูดแม้แต่ครึ่งคำ’ เมื่อเห็นข้อความสั้นๆ ที่อาจารย์เขียน กายของข้าพลันหนาวเยือก ข้ารับจดหมายมาคลี่อ่าน เพียงมองเห็นตัวอักษรแรก...เลือดทั้งกายก็เดือดพล่าน ในใจพลันกรีดร้องจนแทบเสียสติ หัวตารุ่มร้อน ในที่สุดน้ำตาก็หยาดรินอย่างไม่อาจห้ามได้ ‘พี่รองเจ้า ตงฟางเหมยเสินร่วมมือกับคนนอกขึ้นเป็นผู้นำตระกูล เขายืมมือผู้อื่นฆ่าล้างตระกูลตงฟาง ท่านปู่ บิดา มารดาและคนในครอบครัวของเราล้วนตายหมด ตอนนี้ข้ากับพี่ใหญ่หนีรอดออกมาได้ พี่ใหญ่บาดเจ็บสาหัส เหมยเสินส่งคนออกตามล่าตัวเจ้า อย่าทำอะไรผลีผลาม ตอนนี้พวกเราทำได้เพียงหลบซ่อนตัว’ ราวกับพลังชีวิตทั้งหมดถูกสูบหายไปกับข้อความทั้งหมดที่ได้อ่าน ข้าอ่านย้ำซ้ำๆ พยายามหาข้อความหยอกล้อดังเช่นทุกครั้งที่พี่สามมักจะกลั่นแกล้งข้า มองหาร่องรอยของการโกหก ไม่มี...นอกจากลายมือรีบร้อนที่เป็นของพี่สามแล้วนั้น กลับมีคราบเลือดและร่องรอยของหยดน้ำซึ่งไม่อาจทราบได้ว่ามันเป็นหยดน้ำตาหรืออะไร ทว่ามือของข้าสั่นเทาเหลือเกิน ความหดหู่หม่นเศร้าก่อตัวขึ้นในความคิด กระนั้นแล้วแม้จะอยากกรีดร้องอาละวาด...ก็แทบไร้เรี่ยวแรง ท่านพ่อที่คอยจ้ำจี้จำไชข้า บัดนี้ไม่เหลือแม้ลมหายใจ ท่านปู่ที่คอยให้ท้ายข้า บัดนี้ร่างกายสูญสลาย ท่านย่า ท่านแม่ ท่านอา พวกเขาล้วนแล้วแต่จากข้าไปอย่างกะทันหัน ลายมือพี่สามสั่นไหว บ่งบอกว่าจิตใจไม่มั่นคงนัก ข้าพลันรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าคนร้องไห้ยากอย่างพี่สามอาจถึงกับหลั่งน้ำตา ตระกูลตงฟางที่เคยเป็นตระกูลหมอหลวงอันดับหนึ่งแห่งฉางอานซึ่งเปรียบเสมือนพยัคฆ์ติดปีกเมื่อพ่อของข้าขึ้นเป็นหัวหน้าหมอหลวง กลับพังพินาศลงเพราะเกลือเป็นหนอน ตัวข้าเกิดมาเป็นบุตรชายคนเล็ก ผู้คนล้วนเอาใจจนเสียนิสัย อยากได้อะไรก็ต้องได้ มาบัดนี้แม้กระทั่งสีหน้าสุดท้ายของคนในครอบครัวก็ไม่อาจได้เห็น อาจารย์เอื้อมมือมากุมมือที่สั่นเทาของข้าแน่น ถ่ายเทความอบอุ่นมาให้ข้า สีหน้าที่เคยเข้มงวดบัดนี้อ่อนลงหลายส่วน ความเคร่งขรึมแต่เดิมหายไป เหลือไว้เพียงดวงตาที่แดงก่ำ เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “หย่งหมิง บิดาเจ้าเคยเป็นสหายรักของข้า มารดาของเจ้าคือน้องสาวที่ข้ารักที่สุด ยามข้ากลับมาหลังจากที่เขาขึ้นเป็นหัวหน้าหมอหลวง เจ้าก็เกิดขึ้นมาพอดี ตงฟางอวี้ยกให้ข้าเป็นบิดาบุญธรรมของเจ้า ตลอดเวลาที่ข้าอยู่บนเขาอวิ๋นซาน เราสองคนส่งจดหมายสื่อสารกันอยู่ตลอด เมื่อได้ทราบข่าวคราวของเจ้า ข้าจึงส่งเทียบเชิญเพื่อเรียกตัวเจ้าขึ้นเขา ปรารถนาเพียงว่าจะได้มีโอกาสอบรมสั่งสอนเจ้าบ้าง” ข้าสะอึกสะอื้น ทำได้เพียงฟังถ้อยคำของอาจารย์โดยไม่อาจเอื้อนเอ่ย ท่านพ่อเคยเล่าถึงสหายชาวยุทธ์ แต่เขาไม่เคยกล่าวถึงรายละเอียด ท่านแม่เคยพูดถึงพี่ชายของนาง ทว่ากลับไม่เคยรู้เลยว่าเขาคือเจ้าของเทียบเชิญ ข้ารู้สาเหตุดี...ทุกคนต่างไม่อยากให้ข้าห่างจากครอบครัว ความจริงข้อนี้ยิ่งทำให้ข้าหลั่งน้ำตาด้วยความปวดใจ ตั้งแต่ได้ฝึกวิชา ความใฝ่ฝันของข้าทำให้ข้าค่อยๆ ลืมเลือนเรื่องราวที่บ้าน คิดแต่เพียงว่าตนเองต้องฝึกยุทธ์ให้สำเร็จ จึงจะกลับบ้านได้ กลับกลายเป็นว่า เพื่ออุดมการณ์ของตัวเองข้ากลับลืมเลือนครอบครัวที่เลี้ยงดู ไม่เคยนึกอยากกลับไปเยี่ยมเยียนบิดามารดาเลยสักครั้ง ข้าพลันอยากให้โลกของข้านั้นเป็นเพียงความฝันตื่นหนึ่ง ได้แต่คาดหวังว่าหากลืมตาตื่นขึ้นมาก็จะพบกับพวกเขาที่ยืนยิ้มให้ข้าอย่างเป็นสุข อ้าแขนรับ กอดและหยอกเย้าข้าว่า จอมยุทธ์น้อย...เป็นอย่างไรบ้าง แต่เปล่าเลย...ข้าฟุบหน้าลงกับโต๊ะ ไม่อาจกลั้นก้อนสะอื้นที่จุกอยู่ตรงลำคอได้ อาจารย์ลูบหัวข้าเบาๆ กระซิบเพียง “ร้องไห้เถิด ร้องออกมาให้หมด ลูกผู้ชายร้องไห้เพื่อครอบครัวไม่ใช่เรื่องผิดอันใด อย่าโทษตัวเอง แม้เจ้าจะอยู่ที่นั่นก็ไม่อาจพาพวกเขาหลีกพ้นชะตากรรม หย่งหมิงเอ๋ย…ต่อจากนี้เจ้าคงจะมีเป้าหมายในใจบ้างแล้ว อาจารย์ไม่อาจกักขังความคิดที่จะโบยบินของเจ้าได้” สิ้นคำนั้นของอาจารย์ ข้าก็ร้องไห้อยู่เนิ่นนาน เขานั่งนิ่งอยู่ใกล้ๆ มือหยาบกระด้างยังคงกุมมือของข้าเอาไว้เพื่อถ่ายทอดความอบอุ่น ข้าได้ยินเสียงเขาสูดน้ำมูกอยู่สองสามครั้งและเข้าใจเป็นอย่างดี เราสองคนต่างคนต่างร้องไห้ล่วงเลยจนย่ำเช้า จึงรู้สึกอ่อนเพลีย กลิ่นอายสังหารที่สัมผัสได้ก่อนหน้านี้จางไปแล้ว อาจารย์ต้มโจ๊กอย่างง่ายให้ข้ากิน เขาไม่ได้ถามข้าสักคำว่าอยากแก้แค้นหรือไม่ บอกเพียงว่าให้ข้ารักษาตัวเองให้ดี ร่างกายที่บิดามารดาให้มาหากรักษาไม่ดีก็เหมือนกับเป็นการอกตัญญูต่อผู้ให้กำเนิด เขาช่างสรรหาคำพูดนัก แม้ข้าจะอยากอดข้าวขนาดไหน เมื่อคิดถึงบิดามารดาแล้วก็ได้แต่จำใจกลืนโจ๊กลงท้องอย่างไร้รสชาติ เหลือพี่ใหญ่กับพี่สามที่ยังมีชีวิตอยู่ ข้าจะต้องตามหาพวกเขาให้พบ “เจ้าคิดจะทำเช่นไรต่อไป” อาจารย์ถามขึ้น แม้ว่าเขาจะรู้แล้วว่าข้าทำอะไรเฉินเจิ้งหยา ทว่าในตอนนี้กลับละเลยการทำโทษ สายตาที่มองมามีแต่ความเข้าอกเข้าใจ ผิดแผกจากอาจารย์ในยามปกตินัก เป็นสายตาที่ชวนให้ข้าอุ่นใจยิ่ง ข้ายิ้มเฝื่อนมองหน้าอาจารย์ ก่อนจะกล้ำกลืนโจ๊กและน้ำตาพลางพูด “พี่สามให้ข้ารอ ข้าก็จะรอ ความสามารถของข้าตอนนี้ไม่อาจทำอะไรใครได้” อาจารย์ยิ้มบางๆ “ดี ข้ารู้ว่าเนื้อแท้แล้วเจ้าไม่ใช่คนไม่รู้จักประมาณตน เพียงแต่เจ้าใจร้อนวู่วามนัก ชวนให้ข้าคิดถึงตัวเองยามเป็นเด็กหนุ่ม ที่ข้าเข้มงวดกับเจ้าเพราะอยากให้เจ้าคิดให้มาก” ข้าเข้าใจดี ชีวิตของข้าคิดอยากจะทำอะไรก็ทำ ไม่อยากทำก็ไม่ทำ บิดามารดาตามใจข้ามาตั้งแต่เด็ก แม้บิดาจะเข้มงวดบ้าง ทว่าพอข้าออดอ้อนก็เลิกบังคับ เป็นนิสัยเสียของคุณชายโดยแท้ มาบัดนี้แล้ว ตระกูลของข้าล่มสลาย ครอบครัวตายจาก เหลือแต่เจ้าคนทรยศกับมารดาและน้องสาวของมัน พี่ใหญ่กับพี่สามของข้าหลบลี้หนีหาย ตอนนี้สิ่งที่ข้าทำได้ก็คือตั้งใจฝึกปรือฝีมือของตนเองให้รุดหน้า ในใจข้าพลันบังเกิดไฟร้อนรุ่มขุมหนึ่ง “อาจารย์ ข้าต้องทำอย่างไรถึงจะสามารถแก้แค้นมันได้” อาจารย์มองหน้าข้า วางช้อนลงกระแทกกับชามแล้วใช้พัดเคาะกระหม่อมข้าจนน้ำตาเล็ด “เจ้าเด็กโง่! อย่าเพิ่งคิดไปถึงเรื่องนั้น เรื่องราวยังมีอีกมากที่เจ้าไม่รู้ ต้องสืบสาวให้แน่ชัดก่อนจึงจะสามารถตัดสินใจได้ ข้ารู้ว่าตอนนี้เจ้าอยากจะฆ่าพี่รองของเจ้าแทบขาดใจ อาศัยแค่ฝีมือกระจอกเช่นนี้ ถูกนักฆ่าพวกนั้นฟันดาบเดียวก็ไปเป็นผีในนรกแล้ว” “อาจารย์! ข้าถึงได้อยากจะรุดหน้ากว่านี้ แข็งแกร่งกว่านี้” โป๊ก! “เจ้านี่! หยุดขึ้นเสียงใส่ข้าได้แล้ว ตอนนี้ปราณเบญจธาตุของเจ้ารุดหน้าไปมาก ทว่าจุดชีพจรยังกรุยไม่หมด ต้องกรุยชีพจรจนสำเร็จถึงแปดชีพจรพิเศษ จึงจะสามารถเรียนวิชาขั้นสูงกว่านี้ได้” ข้าคลำศีรษะตัวเอง ในใจพลันห่อเหี่ยว กรุยชีพจรใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆ ยิ่งชีพจรพิเศษยิ่งต้องใช้เวลา การฝังเข็มช่วยได้แค่ชีพจรปกติเท่านั้น อีกอย่าง ปราณเบญจธาตุมีขั้นสูงกว่านี้ด้วยรึ “อาจารย์ วิชาของสำนักเรามีขั้นสูงกว่านี้ด้วยรึ” ผู้อาวุโสมีท่าทีอึกอักเล็กน้อยคล้ายกับจะตำหนิตัวเองที่พลั้งปาก ข้าหรี่ตาจับสังเกตก็รู้แล้วว่าเขามีอะไรปิดบัง “อาจารย์ หากท่านไม่พูดข้าจะลงเขาไปฆ่าตงฟางเหมยเสินตอนนี้เลย” ข้าทะลึ่งพรวด ตั้งใจจะไปจริงๆ “เพ้ย! หยุดก่อน เจ้านี่วู่วามเหมือนบิดาเจ้าไม่ผิด เอาละ นั่งลงแล้วฟังข้าให้ดีๆ ปราณเบญจธาตุเป็นวิชาขั้นพื้นฐาน ฝึกเพื่อปรับสมดุลในร่างกาย เจ้าจะสังเกตเห็นว่าศิษย์แต่ละสังกัดจะคัดแยกตามธาตุหลักในร่างกาย ทว่าศิษย์ผู้อาวุโสและศิษย์ของผู้คุมกฎจะมีธาตุหลักที่โดดเด่นอยู่ไม่ต่ำกว่าสองธาตุ ทุกๆ สามปี ศิษย์พี่เจ้าสำนักจะรับศิษย์เพิ่มสามคนเพื่อฝึกปราณเบญจธาตุขั้นเหนือกว่านั้น หากใครมีพลังธาตุมากกว่าหนึ่งธาตุขึ้นไปก็จะสามารถเข้าร่วมการประลองเพื่อเป็นศิษย์เจ้าสำนักได้ ที่ทำการคัดเลือกทุกๆ สามปีก็เพราะตั้งแต่ศิษย์พี่รับศิษย์มายังไม่มีใครสามารถก้าวข้ามขั้นทวิธาตุไปสู่ไตรธาตุ จตุธาตุ และเบญจธาตุได้เลย” “แล้วข้าพอจะทำได้หรือไม่อาจารย์” อาจารย์ตวัดดวงตาคมกริบมองข้าด้วยสีหน้าที่เรียกได้ว่าเกือบจะดูถูก ทว่านัยที่แฝงจากแววตาของอาจารย์นั้นรู้ได้ว่าข้าพอมีสิทธิ์ “เจ้าเกิดมาบนพื้นฐานของธาตุน้ำ ซึ่งส่วนมากจะพบในสตรี ทว่าเมื่อผ่านไปได้หนึ่งสัปดาห์ก็มีพลังของธาตุไม้มาเกื้อหนุน อาจจะเพราะเจ้าเกิดในตระกูลหมอหลวง เกิดมากับกลิ่นสมุนไพร พลังการฟื้นตัวจึงรวดเร็วยิ่ง ข้าจึงยิ่งสนใจในตัวเจ้ามากขึ้น เลยส่งจดหมายเทียบเชิญให้บิดาของเจ้า ในตอนแรกคิดว่าเขาคงจะให้เจ้าเป็นหมอหลวงสืบทอดหน้าที่ของตระกูล เมื่อเห็นเจ้าที่โตขึ้นแล้วยังขึ้นเขามาในตอนนั้น ข้าจึงทั้งแปลกใจและดีใจไม่น้อย” “ถ้าอย่างนั้นข้าก็มีสิทธิ์น่ะสิ” ในใจของข้าลิงโลด โป๊ก! ฮือๆ อาจารย์ฟาดศีรษะข้าอีกแล้ว ข้ายังร้องไห้ไม่พอใช่หรือไม่ถึงได้โหดร้ายกับข้าเช่นนี้! “กำลังภายในของเจ้าเข้าขั้นก็จริง แต่ความแข็งแกร่งภายนอกและความว่องไวยังต่ำเตี้ย แค่คิดจะไปสู้กับศิษย์เอกหน่วยอื่นก็แพ้ตั้งแต่พละกำลังแล้ว” “อาจารย์ สมมุตินะ ถ้าเกิดว่าข้าได้เป็นศิษย์ของเจ้าสำนัก ท่านจะไม่เหงารึ แล้วเราสามารถข้ามขั้นได้ด้วยรึ” คราวนี้อาจารย์หน้ายับย่น ตีนกาคล้ายจะปรากฏขึ้นอีกครั้งจนข้าเริ่มจะหวาดๆ ในใจ “การรับศิษย์ของเจ้าสำนักมีข้อยกเว้น ศิษย์ทุกคนมีความสามารถพอจะข้ามขั้นได้ เจ้าน่ะเอาชนะคนพวกนั้นให้ได้ก่อนเถอะ เดิมทีข้าคิดว่าอีกสามปีจะส่งเจ้าไปร่วมการประลอง ตอนนี้ก็…” เขานับนิ้ว “อีกสองเดือนการประลองจะเริ่มขึ้น ยังมีเวลาฝึกหนักอยู่เล็กน้อย ที่เหลือก็แล้วแต่วาสนาเจ้าแล้ว” “เดี๋ยวนะอาจารย์! เหตุใดข้าถึงเพิ่งรู้เรื่องการประลอง” อยู่มาสามปีแล้ว ข้ายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีการประลองแบบนี้ “เจ้าโง่! ตอนนั้นอายุเจ้าเท่าไร แค่โดนผู้อื่นเอาเท้าเขี่ยๆ ก็ล้มแล้ว ข้าจะส่งเจ้าเพื่อไปตายรึ” อาจารย์ถลึงตาดุใส่ ข้าจึงได้แต่ก้มหนาก้มตาไม่กล้ายั่วโมโหเขาอีก “แล้วท่านจะไม่เหงารึถ้าข้าไป” “เพ้ย! เจ้าเอาตัวรอดให้ครบสามปีก่อนเถิด ข้าไม่ได้หายไปไหนสักหน่อย” แม้อาจารย์จะแสร้งโวยวาย ทว่าแววตากลับพิกลนัก คล้ายว่ามีอะไรที่เก็บงำอยู่ในใจ กระนั้นแล้วข้าก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นถลันกายไปเกาะแขนอาจารย์ ซาบซึ้งจนน้ำตาจะไหล “อาจารย์ แม้ว่าข้าจะได้เป็นศิษย์เจ้าสำนักในอีกไม่นาน ทว่าท่านก็คืออาจารย์คนแรกของข้านะ” อาจารย์มีท่าทีขนลุกขนพอง เขาดีดหน้าผากของข้าทีหนึ่ง เจ็บจนน้ำตาเล็ด “อย่ามั่นใจให้มากนัก การประลองครั้งนี้อันตรายถึงชีวิต ประมาทไม่ได้แม้แต่ก้าวเดียว เฮ้อ…ข้าว่าอีกสามปีค่อยไปเถิด” “ไม่ได้นะอาจารย์” ข้าจับแขนเขาแน่น บีบน้ำตาออกมาได้หนึ่งหยด “ชีวิตของพี่ใหญ่กับพี่สามของข้าตกอยู่ในอันตราย หากชักช้าข้าอาจจะต้องตายทั้งเป็นเลยนะอาจารย์!” “เจ้าเด็กโง่งม! น่ารำคาญฉิบ” อาจารย์ถอนหายใจ “พรุ่งนี้เป็นต้นไปเจ้าต้องตื่นก่อนข้า วิ่งขึ้นวิ่งลงยอดดอยโดยไม่ใช้วิชาตัวเบาวันละสิบรอบ จากนั้นผ่าฟืนโดยกระบี่ไม้เล่มนั้น เมื่อไรที่สามารถทำไม้จิ้มฟันจากกระบี่ไม้ได้ เมื่อนั้นข้าจะสอนพื้นฐานอื่นของกระบี่ให้ จากนั้นทุกเย็นต้องท่องตำราในห้องนั้นให้ได้อย่างน้อยวันละเล่ม” “เดี๋ยวก่อนอาจารย์” ข้าขัดคอขึ้น อาจารย์หยุดพูดพลางเหลือบตามอง “ท่องตำราเกี่ยวอะไรกับการประลองแล้วก็แก้แค้นเล่า” อาจารย์อ้าปากค้าง ลูบอกตนเองเพื่อให้ใจเย็นลง เขาตวัดสายตาคมกริบมองข้าพร้อมกับพูดเสียดแทงใจดำ “ข้าไม่ต้องการวัวจอมพลัง แต่ต้องการพยัคฆ์ที่สามารถทะยานรับศึกรอบด้าน ศิษย์โง่งมที่มีแต่พละกำลังจะไปทำอะไรได้! เพียงแค่เจ้าถามคำถามนี้ก็กลายเป็นคนโง่งมไปแล้ว” พูดจบเขาก็เขี่ยมือของข้าออกจากแขน ลุกขึ้นเดินสะบัดตูดจากไปอย่างไร้เยื่อใย แว่วเสียงดังลอยมาตามลมอีกว่า “วันนี้กลับไปอ่านตำราให้จบหนึ่งเล่ม!” ความโศกศัลย์ของข้าพลันเลือนหายไปในพริบตา เติมเต็มไปด้วยความมุ่งมาดที่ลุกโชนในใจคล้ายกับเตาหลอมยาที่เพิ่งติดไฟ คนในครอบครัวของข้ายังเหลือพี่ใหญ่กับพี่สาม พวกเขาล้วนเป็นพี่น้องร่วมอุทร คนได้ตายจากไปแล้ว ไม่อาจทำอะไรได้ ทว่าข้าในวันนี้ยังมีชีวิตอยู่ มลทินที่ตงฟางเหมยเสินสร้างไว้ ข้าจะต้องชำระให้จงได้! ในห้วงคำนึงของข้าพลันปรากฏภาพอันคุ้นตาขึ้น เป็นภาพสุดท้ายของข้าก่อนตายในชาติก่อนนั้น ข้านอนแน่นิ่งอยู่บนทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ไพศาล ดวงตาพร่าเลือนมองเห็นแต่กระบี่หยกที่อาบไปด้วยเลือดสีแดงฉาน ความรู้สึกในตอนนั้นของข้าแจ่มชัด ได้ยินเสียงกรีดร้องของผู้คนรอบกายพร้อมกับเสียงล้มลงของผู้คนทีละคน ในใจของข้าตอนนั้นพลันบังเกิดความคิดเพียง ‘เป็นหมอเทวดาแล้วอย่างไร สุดท้ายแล้วก็ไม่อาจปกป้องคนในครอบครัวตนเองได้’ พอมาชาตินี้จึงได้รู้ซึ้งว่าเป็นจอมยุทธ์แล้วอย่างไร เพื่อเป้าหมายแล้วถึงกับต้องสูญเสียครอบครัวอันอบอุ่น ที่แท้แล้วข้าควรทำเช่นไร ควรจะเข้มแข็งถึงเพียงไหน เหตุใดการทดสอบทางจิตใจของข้าจึงได้เจ็บปวดปานนี้…ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านปู่…ข้าควรจะล้างแค้นใช่หรือไม่ ข้าควรจะทำเช่นไรต่อไปดี
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD