บันทึกจอมยุทธ์ ฉบับที่ ๑ ส่วนที่ ๑๐
ฝนบนฟ้าไม่มีท่าว่าจะหยุดตก อากาศภายในห้องนอนเย็นสบายเสียจนชวนให้ซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม หลังจากอาบน้ำเสร็จข้าก็รีบจ้ำเข้าห้องทันทีโดยไม่หยุดพูดกับอาจารย์ในครัว อาการเมื่อยขบและอ่อนล้าทำให้ทั้งเนื้อทั้งตัวคล้ายกำลังประท้วงอย่างหนัก กล้ามเนื้อที่ขา ข้อเท้า และบ่าข้างที่แบกจินตี้ปวดระบมราวกับจะหลุดออกจากกัน
ขนาดว่าข้าออกกำลังทุกวันตามที่ท่านอาจารย์บอก แต่กระนั้นก็ยังต้องพ่ายแพ้ให้ฝนและลมบนยอดเขาอวิ๋นซานจริงๆ
ครั้นหางตาเหลือบเห็นฟูกนุ่มบนเตียงข้าก็รีบถลาตัวเข้าหาพวกมันอย่างเร็วรี่ประหนึ่งชายฉกรรจ์วิ่งเข้าหาหญิงสาวในหอนางโลมอย่างไรอย่างนั้น สัมผัสแรกที่แตะผ้านวมผืนหนาทำให้ข้าละแล้วซึ่งความปรารถนาทั้งมวลในโลกนี้ นี่เป็นข้อดีเดียวของสำนักอู่สิง อย่างน้อยก็มีคนเปลี่ยนผ้าปูที่นอนกับผ้าห่ม หมอน และมุ้งให้ใหม่ทุกเดือน มิเช่นนั้นอี้หลิงอาจจะคิดว่ากำลังนอนกับซากศพก็ได้
มารดามันเถอะ! ข้าไม่เห็นรู้สึกว่าตัวเหม็นอะไร สูดดมก็แล้ว ชิมก็แล้ว ไม่เห็นจะผิดแปลกไปจากคนอื่นสักนิด เฮอะ!
ในห้องนอนมืดมิด ข้านอนซุกตัวอยู่ในผ้าห่มนิ่ง เงี่ยฟังเสียงฝนซัดสาดนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าแลบแปลบปลาบเป็นครั้งคราวเผยให้เห็นในห้องนอนโล่งๆ ของข้า โชคดีที่เสียงฟ้าร้องไม่ดังมากนัก มิเช่นนั้นแล้วคงมิอาจข่มตาได้ในเวลาที่ร่างกายอ่อนล้าเหลือแสนในตอนนี้
ประตูห้องแง้มออก เงาร่างสูงโปร่งคุ้นตาเดินเข้ามา อี้หลิงวางกระบี่ประจำตัวลงบนโต๊ะ หันไปยังมุมหนึ่งของตู้เสื้อผ้า แสงสว่างวาบเป็นระยะของท้องฟ้าทำให้เห็นแผ่นหลังแน่นตึงของอี้หลิงชัดเจน
อา…เมื่อไรนะข้าจะมีรูปร่างแบบคนผู้นี้บ้าง สูงโปร่งทว่าแข็งแกร่ง เขาแก่กว่าข้าสามปีทว่าบุคลิกนั้นราวกับอายุมากกว่าข้านับสิบปี บางครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่าตาเฒ่าได้สลับตัวกับอาจารย์อาผู้นี้หรือไม่ เหตุใดอี้หลิงจึงไม่มีความขี้เล่นเอาเสียเลย
จิตใจของข้าได้แต่สงสัยวนเวียนอยู่อย่างนั้น รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงฟ้าผ่าดังลั่น ข้าสะดุ้งตื่น เหงื่อแตกพลั่ก ไม่ใช่เพราะตกใจ แต่เพราะเจ้าอี้หลิงเล่นก่ายขาพาดคอข้าจนหายใจไม่ออก ผ้าห่มนวมทับลงบนตัวข้าประหนึ่งผ้าห่อศพ
ฮือๆๆ เจ้านี่คราวตื่นนั้นนิ่งขึงเงียบเชียบ สำรวมสุขุม แต่ตอนนอนบิดามันคงสั่งสอนให้นอนดิ้นถึงเพียงนี้ ช่วงแรกๆ ข้าก็คิดว่าเพราะต่างที่ แต่ตอนนี้คงเป็นที่นิสัยของมันแล้วละ
มิน่าเล่า ตาเฒ่าจึงขอบตาคล้ำ ไม่สบายอยู่ร่ำไป ต่อให้เป็นเทียนจวินสูงสุดบนสวรรค์มานอนข้างคนผู้นี้ก็คงไม่ได้นอนดีๆ
ข้าถอนหายใจพรืด ผลักขาอี้หลิงลงพื้นเตียงแรงๆ เฮอะ! ไม่ตื่น
ไม่ตื่นก็ต้องใช้วิธีดาบนั้นคืนสนอง เพราะเกรงว่าเขาจะป่วยเพราะอากาศเย็นข้าจึงพันผ้าห่มรอบตัวเขา มัดหัวมัดท้ายให้เหลือแต่ศีรษะของเขา จากนั้นข้าก็ขยับตัวเข้าไปด้านในสุด กลับตัวนอนขวาง วางขาพาดบนท้องของอี้หลิงแรงๆ หนึ่งที เมื่อเขาไม่สะทกสะท้านข้าก็หลับตาลงอย่างสบายใจ
“เป็นอะไร หน้าเขียวคล้ำเช่นนี้”
“ข้าก็ไม่เข้าใจ ตอนสู้กับสุ่ยเซวียนหยวน นางแทบจะไม่ได้แตะต้องตัวข้า เหตุใดจึงรู้สึกปวดเมื่อยที่ท้องนัก”
ข้าแทบสำลักชา ส่งยิ้มแห้งๆ ให้เขาแล้วก้มหน้าก้มตาพุ้ยข้าวต่อ อาจารย์ออกไปข้างนอกตั้งแต่เช้าแล้ว วันนี้แม้จะมีหยาดฝนเกาะยอดหญ้าบ้าง ทว่าท้องฟ้าแจ่มใส
ข้าแสร้งหัวเราะ เติมน้ำชาให้อี้หลิง ไม่แสดงพิรุธใดๆ ให้เขาจับได้ “กินเยอะๆ นะ วันนี้รอบที่สองแล้ว หากแพ้ไปคงน่าเสียดายมาก”
“อืม”
การประลองรอบที่สองกำลังจะเริ่มขึ้น คู่แข่งของข้ารอบนี้เป็นศิษย์พี่จากหน่วยพฤกษา หน่วยพฤกษาไม่มีวิชาจู่โจม อาศัยการใช้สมุนไพรหลายชนิดประกอบกับเข็มที่ใช้ฝังตามร่างกาย แต่กระนั้นก็มิอาจดูเบา เพราะยังมีไม้ตายที่เป็นท่าลับของหน่วยพฤกษาอยู่ หน่วยพฤกษาขึ้นชื่อว่าเป็นแพทย์ประจำสำนัก แน่นอนว่าพวกเขาย่อมรู้ดีเกี่ยวกับจุดตายของมนุษย์
น่าเสียดายที่เขามาเจอข้า ปรมาจารย์แห่งการแพทย์ผู้นี้ หึๆๆ
“หัวเราะอะไรคนเดียว”
“หา?” ข้าอ้าปากค้าง กลอกตามองซ้ายมองขวา “พูดกับข้ารึ”
อี้หลิงย่นคิ้ว “แล้วที่นี่มีสุนัขตัวอื่นรึ”
หน็อย ตัวบัดซบนี่หลอกด่าข้าว่าเป็นสุนัขอยู่หรือเปล่านะ แต่ช่างเถอะ วันนี้ข้าอารมณ์ดี
เราสองคนถูกพามายังที่นั่งข้างลานประลอง เก้าอี้ไม้ตามจำนวนผู้เข้ารอบถูกติดป้ายชื่อเอาไว้พร้อมแล้ว วันนี้อากาศแจ่มใส การประลองจะเริ่มตั้งแต่เช้า ผู้อาวุโสทั้งหลายนั่งรวมกันอยู่อีกฝั่ง ส่วนศิษย์สำนักที่เหลือต่างก็กระจัดกระจายคละเคล้ากันไปรอบลานประลองคล้ายกับสายรุ้ง
รอบที่สองนี้เหลือผู้ลงสมัครทั้งสิ้นสิบหกคน ดูเหมือนว่าจะน้อย ทว่าทุกคนที่มีสิทธิ์เข้าร่วมการประลองต้องมีคุณสมบัติประจำธาตุอย่างน้อยสองธาตุ ซึ่งหาได้ยากยิ่งนักในหมู่คนทั่วไป อีกทั้งการประลองในแต่ละรอบมีความเสี่ยงสูง ผู้อาวุโสบางคนจึงไม่คิดเสี่ยงส่งศิษย์รักมาลงสนามนี้
ข้าตื่นเต้นจนปลายนิ้วมือเย็นเฉียบ หันซ้ายหันขวามองสำรวจผู้เข้าแข่งขันทุกคน แต่ละคนหากไม่ใช่ศิษย์เอกของหน่วยทั้งห้าก็เป็นศิษย์ของผู้คุมกฎทั้งหลายที่นานๆ ครั้งจะส่งตัวแทนออกมา
ในครรลองสายตาของข้าเหลือบเห็นชุดสีแดงโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของหน่วยอัคคี คนผู้นี้ข้าคุ้นหน้าอยู่บ้าง เขาเป็นศิษย์พี่รองของหน่วยอัคคี
“ฉีกวนหั่ว เฉียนเหวินหลาง”
สิ้นเสียงแรก คนชุดแดงกับชุดสีน้ำตาลในกลุ่มพวกเราก็ลุกขึ้น ฉีกวนหั่วคือศิษย์พี่รองหน่วยอัคคี คนผู้นี้นานๆ จะได้พบเจอกันสักครั้ง เขาเป็นคนจำพวกไม่สนับสนุนและไม่ห้ามปรามเฉินเจิ้งหยา ด้วยใบหน้าที่เรียกว่าคมคายค่อนไปทางหล่อเหลาในแบบเรียบๆ บุคลิกเรียบง่ายแบบนั้นทำให้ข้าแยกไม่ออกว่าเขาเป็นมิตรหรือศัตรู แต่สัญชาตญาณบางอย่างบอกข้าว่าไม่ควรจะหาเรื่องคนผู้นี้
เฉียนเหวินหลางเป็นศิษย์รุ่นใหม่ของหน่วยดิน องคาพยพทั้งห้าคมเข้มเด่นชัด อายุห่างจากข้าราวสองปี อุปนิสัยซื่อตรงและซื่อสัตย์ทว่ารักสันโดษ ไม่ค่อยสุงสิงกับผู้ใด
หากให้ข้าเปรียบเทียบความสามารถของคนทั้งสองแล้ว วรยุทธ์ของหน่วยอัคคีนั้นพบเห็นได้บ่อยยิ่งกว่า อย่างที่รู้กันว่าหน่วยดินไม่ชอบออกหน้า หากไม่ใช่การประลองอย่างเป็นทางการก็ยากจะได้พบเห็นฝีไม้ลายมือพวกเขา
เสียงกลองดังระรัว กระตุ้นเลือดลมในกายได้ดียิ่ง หนึ่งแดงหนึ่งน้ำตาลยืนตระหง่านกลางลานประลองขนาดใหญ่ รอจนกระทั่งผู้ควบคุมการประลองตะโกนก้องให้สัญญาณเริ่มการประลอง
ฉีกวนหั่วดีดตัวถอยหลัง พื้นลานประลองชื้นแฉะไปด้วยน้ำฝนจนเผลอลื่นไถลไปไกลกว่าเดิมเล็กน้อย ผู้ที่ตาไวหน่อยเมื่อเห็นดังนั้นก็ลอบหันหน้าไปหัวเราะ แม้แต่เฉียนเหวินหลางก็ยังกระตุกยิ้มบางๆ ที่มุมปาก
ด้วยอุปนิสัยของหน่วยอัคคี ถือคติที่ว่า เสียแรงไม่ว่า เสียหน้าไม่ได้ หน้าบางๆ ของฉีกวนหั่วจึงแดงก่ำด้วยความอับอาย เขากางแขนออกทั้งสองข้างเพื่อรวบรวมลมปราณ หมัดทั้งสองสั่นไหวเล็กน้อย เสียงคำรามของฉีกวนหั่วดังลั่น ด้วยความรุนแรงของปราณอัคคีทำให้บรรยากาศบริเวณรอบๆ ร้อนระอุ น้ำที่เจิ่งนองบนพื้นเริ่มแห้งเหือดคล้ายกับได้ยินเสียงฉ่าดังมาจากพื้นหิน
“รบกวนด้วยพี่ฉี”
“เช่นกันน้องเฉียน”
เฉียนเหวินหลางกระตุกยิ้ม กระทืบเท้าขวากวาดไปด้านหลัง แขนซ้ายงองุ้มเสมอสายตาระนาบเดียวกับพื้น แขนขวาทำแบบเดียวกันแล้วไขว้ประสาน กระบวนท่าตั้งรับ ภูผาค้ำนภา
ฉีกวนหั่วสบถในลำคอ ไม่คิดจะรอช้าอีกต่อไป เพราะความอับอายน้อยๆ ทำให้คนผู้นี้ใจร้อนยิ่งขึ้น กระโดดลอยตัวสูงขึ้นพร้อมทั้งกำหมัดแน่น พลังปราณอัคคีในกายดุดันแผดเผาอากาศเสียจนได้ยินเสียงเผาไหม้
คนผู้นี้สำเร็จพลังเบญจธาตุสายอัคคีในระดับสุดยอดแล้ว เมื่อคืบใกล้เฉียนเหวินหลางก็ระดมหมัดรัวเร็วใส่ทันที กระบวนท่า กลิ่นบุปผา ใช้หลอกล่อจู่โจมเป้าหมายที่มีจิตใจไม่เข้มแข็ง น่าเสียดายที่เฉียนเหวินหลางตั้งรับในท่าภูผาค้ำนภา ความแข็งแกร่งของพลังปราณเบญจธาตุสายดินจึงดูดซับพิษความร้อนจากกลิ่นบุปผาเสียสิ้น
ผู้คนโห่ร้องด้วยความลุ้นระทึก เมื่อจู่โจมไม่ได้ผลฉีกวนหั่วก็ถอยกรูดอีกครั้ง เฉียนเหวินหลางได้ทีก็ระดมฝ่ามือเข้าปะทะ ผลัดกันรุกรับอยู่นาน ศิษย์หน่วยดินได้ทีก็โห่ร้องเสียงดัง เมื่อเฉียนเหวินหลางเริ่มใช้กระบวนท่าจู่โจมอย่างจริงจังบ้างแล้ว
ข้าลุ้นจนตัวเกร็ง ไม่เคยเห็นการปะทะดุเดือดเช่นนี้มาก่อน เฉียนเหวินหลางเกร็งฝ่ามือ ได้ยินเสียงกระดูกของเขาลั่นกรอบแกรบ จากนั้นก็ใช้สันมือต่างอาวุธในท่าหลู่ปันจามขวานจู่โจมฉีกวนหั่วอย่างดุดันรุนแรงจนคนผู้นั้นถอยกรูด
“น้องเฉียน ฝีมือเจ้ารุดหน้าอีกขั้นแล้ว” ฉีกวนหั่วพูดเสียงต่ำ
เสี้ยวเวลาหนึ่ง สันมือของเฉียนเหวินหลางก็เฉียดใบหน้าของฉีกวนหั่วในเส้นยาแดงผ่าแปด โชคดีที่ฉีกวนหั่วเอนกายหลบ อาศัยความยืดหยุ่นของร่างกายและแรงจากฝ่ามือของเฉียนเหวินหลาง ใช้สองมือจับฝ่ามือของอีกฝ่ายแน่น กวาดเท้าลัดขาพร้อมกับใช้แรงเหวี่ยงบิดตัวหนึ่งรอบเหวี่ยงเฉียนเหวินหลางให้ลอยไปยังขอบลานประลอง เฉียนเหวินหลางพลิกตัวกลางอากาศ ทว่าก็สายเกินไปเสียแล้ว
เสียงโห่ร้องดังกระหึ่มเมื่อเท้าข้างหนึ่งของเฉียนเหวินหลางหลุดออกจากขอบลานประลองไปเพียงสองชุ่น
ฉีกวนหั่วระบายลมหายใจพลางยิ้มน้อยๆ ประสานมือคารวะเฉียนเหวินหลาง “ต้องขอบคุณน้องเฉียนที่ออมมือแล้ว”
เฉียนเหวินหลางก้มมองข้อเท้าตัวเอง เมื่อเห็นผลลัพธ์ก็ได้แต่ทอดถอนใจ ประสานมือกลับ “พี่ฉียังมีฝีมือไม่เปลี่ยน”
ฉีกวนหั่วชนะอย่างงดงาม หัวใจข้าแทบจะหลุดออกจากอกเมื่อเห็นว่าการต่อสู้เมื่อครู่ดุเดือดและรวดเร็วเพียงไหน แค่เวลาไม่ถึงครึ่งก้านธูปก็รู้ผลแพ้ชนะแล้ว
มาตระหนักถึงพลังฝีมือของตนเองแล้วได้แต่คร่ำครวญในใจ เริ่มไม่มั่นใจเสียแล้วว่าหากผ่านเข้ารอบต่อไป ข้าจะมีโอกาสชนะไหม
สายลมวสันต์พัดเอากลิ่นดอกไม้หอมโชยมาชั่วขณะหนึ่ง ข้ามองเห็นสตรีในชุดเขียวอ่อนเดินตรงมา ใบหน้ารูปผลแตงมีสีชมพูระเรื่อตรงแก้มทั้งสอง ริมฝีปากอวบอิ่มสีหวานแย้มยิ้ม ดวงตาดุจกวางน้อย ใต้คิ้วเรียวงามโค้งเป็นจันทร์เสี้ยว
ที่แท้กลิ่นดอกไม้มาจากสตรีนางนี้ ช่างเป็นแม่นางที่งดงามยิ่งนัก น่าเสียดายที่นางแก่กว่าข้า ดังนั้นข้าจึงทำได้เพียงส่งยิ้มแห้งๆ ให้นาง ร่างหอมกรุ่นของนางทรุดกายนั่งด้านข้าง มือเรียวงามยกขึ้นทัดปอยผม ท่าทางบอบบางน่าทะนุถนอมยิ่งนัก อีกทั้งกลิ่นกายก็หอมยวนใจเหลือเกิน
ข้าลองก้มลงสูดกลิ่นกายตัวเองบ้างก็แทบสิ้นสติ ขนาดอาบน้ำเมื่อวานแล้ว ครั้งนี้กลับยิ่งได้รู้ว่ากลิ่นกายบุรุษเหม็นสาบถึงเพียงไหน
คิดถึงคำพูดของอาจารย์ ที่แท้แล้วพอได้กลิ่นกายหอมของสตรีแล้ว กลิ่นบุรุษใดก็ล้วนแต่น่ารังเกียจ เพื่อความมั่นใจข้าจึงดมกลิ่นตัวของอี้หลิงเข้าเต็มปอด เจ้าหมอนี่พอข้าจะสูดดมกลิ่นตัวกลับตกใจจนจะบีบคอข้าอยู่รอมร่อ คิดว่าข้าจะลอบจู่โจมหรืออย่างไรกัน
อืม…กลิ่นคล้ายกับไม้จันทน์ชนิดหนึ่ง ทว่าก็ยังไม่หอมเท่ากลิ่นสตรีข้างกายข้าอยู่ดี แต่ก็ไม่เหม็นรุนแรงเท่ากลิ่นกายข้า โฮ่! อาจารย์กับอี้หลิงต้องเคยคบค้ากับสตรีเป็นแน่แท้ พวกเขาอาจจะขอสูตรลับกลิ่นตัวหอมจากพวกนางมาเป็นแน่
ที่แท้แล้วบุรุษใกล้ชิดสตรีเพราะสูตรกลิ่นตัวหอมกรุ่นนี่กระมัง เห็นทีว่าข้าควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง
อา…พี่สาวในหอคณิกาจะมีกลิ่นอะไรกันบ้างนะ แค่คิดก็ตื่นเต้นเสียแล้ว
“ตงฟางหย่งหมิง ถังเย่าหรง”
ผู้ควบคุมการประลองตะโกนขึ้นพอดี ข้าจึงลุกขึ้น พลันพี่สาวชุดเขียวด้านข้างก็ลุกขึ้นตาม ข้าจึงอดหันไปถามไม่ได้ “พี่สาว ท่านจะไปไหนรึ”
สตรีนางนั้นอมยิ้มกระชากวิญญาณ ปรายตามองข้าด้วยจริตอันพึงมีของสตรีอย่างเต็มเปี่ยม “ข้าก็ต้องไปกับเจ้าสิ หนุ่มน้อย”
“หือ? มากับข้าทำไม ท่านนั่งรอไปเถิดขอรับ ตัวข้าไม่ได้มีอะไรดีขนาดให้ท่านติดตามหรอก”
เสียงหัวเราะดังครืนจนข้างุนงง ต้องหันไปขอความเห็นจากอี้หลิง คนผู้นั้นกลอกตาระบายลมหายใจด้วยความระอา ชี้นิ้วไปยังเก้าอี้ตัวที่ตั้งอยู่ข้างเก้าอี้ของข้า ป้ายเขียนไว้ว่า ถังเย่าหรง
“ถังเย่าหรง?” ข้าปราดเข้าไปกระซิบถามอี้หลิง
เขาพยักหนาเนิบช้า “อืม”
“ถังเย่าหรงที่จะแข่งกับข้าน่ะรึ”
“ข้าอยู่ใกล้เพียงนี้ จะนินทากันซึ่งๆ หน้าไปไย มิสู้ถามข้าดีกว่าหรือไม่” สตรีชุดเขียวยืนเท้าสะเอว ใบหน้าเริ่มขุ่นมัว
ข้ายิ้มแห้งๆ ในใจร่ำร้องหาอาจารย์ “ข้าต้องประลองกับพี่สาวหรือ”
นางพยักหน้า หรี่ตายิ้มชั่วร้าย ทำเอาข้าขนกายสะท้านเยือก ฮือๆๆ อยากกลับบ้านแล้วไปขุดศพท่านแม่ขึ้นมากอด พลางร่ำไห้ประดุจทารก เหตุใดข้าต้องมาสู้กับสตรีด้วย!
“ไม่ต้องทำหน้าเศร้าถึงเพียงนั้น...น้องชาย” ถังเย่าหรงคลี่ยิ้มอีกครั้ง หิ้วคอเสื้อข้าเข้าไปในลานประลอง
หากเป็นไปได้ข้าคงขอหลั่งน้ำตาสักหยด ไม่น่าคิดสมน้ำหน้าอี้หลิงเมื่อวานเลย มาวันนี้กลับเป็นกรรมสนองข้า ข้าได้แต่เดินหน้าม่อยคอตกตามแรงลากของถังเย่าหรง ไม่กล้าสบตากับผู้คน ในใจของกรีดร้องประหนึ่งคนบ้าที่ไร้สติ
‘ท่านแม่!!!’