บันทึกจอมยุทธ์ ฉบับที่ ๑ ส่วนที่ ๗

2265 Words
บันทึกจอมยุทธ์ ฉบับที่ ๑ ส่วนที่ ๗ ตาเฒ่าสะดุ้งโหยง ดีดตัวขึ้นฝั่งในทันที ส่วนอี้หลิงหน้าซีดทว่ายังประคองสติเอาไว้ได้ ประหนึ่งว่าสิ่งที่ข้าถามไปเป็นเพียงผายลมระลอกหนึ่ง ตาเฒ่าถลึงตาแล้วตะโกนด่า “ตัวบัดซบ! เจ้าฉี่ลงในน้ำทำไมไม่บอกอาจารย์ปู่ให้เร็วกว่านี้” คราแรกข้าก็ไม่เข้าใจที่เขาพูด แต่พอนึกถึงคำถามที่ข้าถามเมื่อครู่ก็ต้องหัวเราะเสียงใส ตาเฒ่านี่ยิ่งแก่ยิ่งตื่นตูม น่าแกล้งเสียจริง “อาจารย์ปู่ ถ้าข้าฉี่ลงไปแล้วจะกล้าวักน้ำล้างหน้าหรือขอรับ อีกอย่าง น้ำพุร้อนบ่อนี้ไม่ได้ไหลสู่ที่อื่น หากจะฉี่ลงไปเกรงว่าจะร้ายมากกว่าดี” ตาเฒ่าคลึงอกด้วยความโล่งใจ สีหน้าของทั้งเขาและอี้หลิงผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด ทว่ายังมิวายเดินลงน้ำมาดีดหน้าผากข้าแรงๆ ทีหนึ่ง “เจ้าตัวบัดซบน้อยนี่! ทำข้าผู้เฒ่าตกอกตกใจหมด” ข้าคลำหน้าผากตัวเอง เคลื่อนตัวไปยังโขดหินที่อยู่ใกล้ๆ เพื่อหาที่นั่งพิง ตีสีหน้าใสซื่อให้ตาเฒ่าด้วยรอยยิ้มบริสุทธิ์ “ข้าแค่ถาม เพราะไม่รู้จึงได้ถาม พอถามเสร็จจะได้ไม่โง่อย่างที่ท่านอาจารย์สอนอย่างไรเล่า” ตาเฒ่าสีหน้าบัดเดี๋ยวซีดบัดเดี๋ยวคล้ำ หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก จำใจต้องนั่งทุบอกตัวเองด้วยความคับแค้นใจพลางร่ำร้องกับอาจารย์อา “อี้หลิง หากเจ้าจะรับศิษย์ให้เลือกคนที่ว่านอนสอนง่าย อย่าเอาอย่างเจ้าเซียวเหยามันที่คลำลูกลิงมาได้ตัวหนึ่ง สอนคนน่ะสอนง่าย แต่สอนเดรัจฉานน้อยน่ะยากนัก” ข้าหูผึ่ง ทว่ามิได้มีโทสะนัก อาจารย์อายังคงหุบปากนิ่ง อย่างน้อยก็ดีหน่อยที่เขาไม่ใช่คนชอบซ้ำเติมผู้ใด ตาเฒ่าก็ไม่ได้สนใจสีหน้าอาจารย์อาเท่าใดนัก ท่าทางของอาจารย์ปู่ราวกับว่าได้ระบายออกมาก็เพียงพอแล้ว “อาจารย์ปู่ ท่านพาข้ามาที่นี่เพื่ออะไรรึ” อาจารย์ปู่ลอยตัวบนน้ำร้อน กล่าวด้วยน้ำเสียงกึ่งประชด “เจ้าฝึกหนักเกินไปจนเส้นเอ็นชีพจรเครียดเกร็ง หากเป็นแบบนี้อีกไม่นานจะต้องบาดเจ็บสาหัสจนไม่อาจใช้วรยุทธ์ได้อีก” ข้าขนลุกชัน อาจารย์ปู่รู้ได้อย่างไรกัน ขนาดอาจารย์ข้ายังไม่สังเกตเห็นเลย ทุกเที่ยงคืนข้าจำต้องตื่นมาโคจรลมปราณไปยังจุดซ่าวหยาง[1] และเจี๋ยยิน[2] อดหลับอดนอนจนถึงยามอิ๋น[3] เมื่อก่อนนอนแต่หัวค่ำจะมีเวลาที่ไหนมานั่งฝึกเล่า ข้าไม่ใช่นักพรตที่จะต้องมานั่งโคจรลมปราณทั้งวันทั้งคืน ตาเฒ่าหัวเราะเยาะก่อนจะกล่าว “ขอบตาคล้ำถึงเพียงนั้น ไม่ใช่คนปัญญาอ่อนย่อมดูออก อาจารย์เจ้าไม่พูด เพราะรู้ว่าพูดไปเจ้าก็ไม่ฟัง” ข้าละหมดคำพูด เรื่องแบบนี้กลับทันคนนักนะอาจารย์ปู่ คิดไม่ถึงว่าเมื่อก่อนอุตส่าห์เป็นห่วงตาเฒ่าผู้นี้ เพราะฝืนอยู่ในที่ชื้นจนเจ็บป่วยเรื้อรัง “ท่านจะบอกว่าน้ำร้อนนี่ช่วยข้าได้รึ อย่างนั้นก็เหมือนกับบ่อน้ำร้อนตรงหน่วยวารีสิ” ตาเฒ่าระบายลมหายใจ ลอยตัววนไปมาบนน้ำ “น้ำร้อนที่มีการระบายน้ำทีละน้อยๆ เช่นนี้ คุณสมบัติวิเศษบางอย่างจะมีมากกว่าธารน้ำร้อน ช่วยให้ทวารทั้งเจ็ดเปิดโล่ง จะคิดมากไปไย นั่งปรับลมปราณไปเถอะ ดูอี้หลิงสิ หลายปีมานี้ได้น้ำร้อนที่นี่ช่วยเอาไว้ ฝีมือรุดหน้าขึ้นมาก” อยากจะหัวเราะนัก ตาเฒ่านี่อวดว่าน้ำพุร้อนนี้มีสรรพคุณดีเลิศ แต่ตัวเองกลับปล่อยให้ป่วยเรื้อรังไปได้ ข้ามองท่อนบนของอาจารย์อาที่อยู่ในน้ำ มัดกล้ามดูแน่นตึงขึ้น ผิวที่ขาวละเอียดของเจ้านั่นขึ้นสีแดงนิดๆ เพราะความร้อนในน้ำ ทว่าก็ไม่แดงเท่าผิวของข้าในตอนนี้ ที่น่าแปลกคือองคาพยพทั้งห้ากลับดูห้าวหาญขึ้นมาก คิดมากไปก็เหนื่อยเปล่า เรื่องบางเรื่องข้าไม่อยากสิ้นเปลืองความคิดนัก แช่น้ำร้อนในตอนนี้ก็ผ่อนคลายลงไปไม่น้อย เมื่อวางความคิดสับสนวุ่นวายต่างๆ ในจิตใจลงแล้วเริ่มนอนลอยตัวเหมือนอาจารย์ปู่ก็รู้สึกว่าตัวเบาหวิว ร่างกายประหนึ่งกำลังถูกพลังลึกลับทะลุทะลวงให้ปลอดโปร่งโล่งสบาย โป๊ก! “เจ้าเด็กบัดซบ ช่วยควบคุมทิศทางบนน้ำด้วย วิชาตัวเบาเจ้าเรียนไปเพื่อเล่นปาหี่รึ” ตาเฒ่าโวยวาย ดีดหน้าผากข้าโดยแรงจนน้ำตาเล็ด ฮือๆ ลอยตัวไปลอยตัวมา ตาเฒ่าก็ลอยมาโขกหัวกับข้าได้อย่างไรก็ไม่รู้ ให้ผ่อนคลายข้าก็ผ่อนคลายเต็มที่ จะรู้ได้อย่างไรเล่า ข้าทำปากเบ้ ลุกขึ้นเดินในน้ำแล้วมองหาเถาไม้บริเวณนั้นมามัดเอวผูกเข้ากับโขดหิน คราวนี้จะได้ไม่ลอยไปชนกับตาเฒ่าอีก “อาจารย์ปู่ ถ้าท่านชนกับข้าอีกแสดงว่าท่านข้ามเขตแดนมา คราวนี้จะดีดหน้าผากข้าไม่ได้แล้ว” ตาเฒ่าปรายตามองข้า แค่นเสียงในลำคอจึ๊กจั๊ก “เวรกรรมอะไรของเซียวเหยามันนะ” โฮ่! ตาเฒ่านี่ อาจารย์ได้ศิษย์อย่างข้านับว่าประเสริฐแล้ว อาจารย์ปู่จากไปพร้อมกับทิ้งอาจารย์อาเอาไว้ อี้หลิงขึ้นเขามาตั้งแต่เด็ก ช่วงเวลานั้นอาจารย์ข้าเดินทางทั่วแผ่นดินพอดี อาจารย์ปู่จึงรับเขาเอาไว้แก้เบื่อ กะว่ารอให้อาจารย์กลับมาแล้วค่อยยกให้อี้หลิงเป็นศิษย์ของอาจารย์ ทว่าตอนนั้นอาจารย์กลับไม่กล้ารับอี้หลิงเอาไว้เพราะเขาเป็นที่ต้องการของหน่วยต่างๆ และรองเจ้าสำนัก ด้วยความอาวุโสของอาจารย์ปู่จึงต้องรับอี้หลิงเข้ามาเป็นศิษย์ของตนด้วยความเสียดาย ข้าไม่อยากเรียกเขาว่าอาจารย์อาหรอกนะ เขาแก่กว่าข้าสามปีก็จริงทว่าอายุยังน้อยเกินกว่าจะเป็นอาจารย์อาของข้า อีกอย่าง อาจารย์ปู่อยากให้เขาเข้าร่วมการประลองปัญจธาตุ จึงจะไม่เป็นการปิดกั้นความสามารถของเขา อี้หลิงมีความเป็นมาไม่แน่ชัด รู้เพียงว่าขึ้นเขามาตอนเก้าขวบโดยไม่เป็นอันตรายใดๆ คุกเข่าขอร้องอาจารย์ปู่ด้วยความเงียบงันเจ็ดวันเจ็ดคืน เมื่อทำการทดสอบพื้นฐานก็พบว่าเขาเป็นคนธาตุทองบริสุทธิ์ มีโอกาสพัฒนาได้อีกสองธาตุเป็นอย่างน้อย อีกทั้งสติปัญญาและมารยาทยังสูงกว่าเด็กทั่วไปจึงรับเอาไว้ อาจารย์หน่วยต่างๆ พยายามส่งเทียบเชิญมาขอร้องอาจารย์ปู่ ทว่าก็ไม่เป็นผล น่าแปลกนักที่ครั้งนี้อาจารย์ปู่กลับให้เขาเข้าร่วมงานประลอง เหตุเพราะเรื่องนี้ อาจารย์หน่วยอื่นๆ จึงไม่เข้ามาแวะเวียนในเรือนของอาจารย์ข้าอีกเลย น่าหมั่นไส้นักที่พอเป็นข้า ทุกคนกลับผลักไส เฮอะ! หากข้าไม่กลัวว่าจะต้องไปเป็นหน่วยแพทย์อีก ป่านนี้คงก้าวหน้าในหน่วยพฤกษาแล้ว ข้ากับอี้หลิงต้องเดินไปลงทะเบียนกับศิษย์ของรองเจ้าสำนัก เขาเป็นบุรุษรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าหล่อเหลาสุขุมคัมภีรภาพ ทุกอากัปกิริยาเต็มเปี่ยมไปด้วยความนุ่มนวลชวนให้รู้สึกผ่อนคลายและเคลิบเคลิ้ม เขาเป็นศิษย์ของรองเจ้าสำนักฮวาไป๋เฟิ่ง ท่าทางละมุนละไมและกิริยามารยาทล้วนถอดแบบความสง่างามมาจากเทพธิดาประจำสำนักอู่สิง ปรมาจารย์ฮวาไป๋เฟิ่งเป็นสตรีวัยกลางคนที่หน้าตางดงามราวกับสตรีอายุยี่สิบต้นๆ เล่ากันว่าผู้ใดที่จะเป็นศิษย์นางได้จะต้องมีความงดงามครบถ้วนทั้งรูปลักษณ์และลักษณะนิสัย วิชาประจำสายของนางล้วนเป็นวิชาที่ทำให้ผู้คนดูอ่อนเยาว์กว่าวัย บุรุษผู้นี้ก็เช่นกัน เขาชื่อเถาฮวา อายุได้สามสิบเศษแล้วทว่าใบหน้ายังดูหนุ่มแน่นพอๆ กับอี้หลิง หากเทียบว่าอี้หลิงหล่อเหลาสง่างามแบบบุรุษที่มีพลังอำนาจน่าเกรงขาม เถาฮวาก็หล่อเหลาติดอันดับชายงามในแดนจงหยวนเช่นกัน เขาเป็นบุรุษที่ดูสุภาพเรียบร้อยราวกับบัณฑิต เราสองคนต่อแถวรอลงชื่อ ประสาทหูของอี้หลิงเฉียบไวกว่าคนปกตินัก อยู่ดีๆ เขาก็จับไหล่ข้าเบี่ยงหลบเปลือกกล้วยที่ลอยมา “โฮ่! อี้หลิง เจ้ายังว่องไวเหมือนเดิมเลยนะ” เสียงดังขนาดนี้มีเพียงคนเดียว นั่นก็คือเฉิงเจิ้งหยา ฟันเข้าที่แล้วหรือถึงได้ปากดีเช่นนี้ ข้าหันไปมองก็พบว่าเขายืนอยู่กับพวกศิษย์ของหน่วยอัคคี ใบหน้าที่พอโอ้อวดได้ฉายแววหยิ่งผยอง ฟันหน้าที่ถูกข้าซัดจนร่วงกลับมาเข้าที่ดังเดิมแล้ว อดนับถือปรมาจารย์เนี่ยไม่ได้ที่ฝีมือยอดเยี่ยมจนสามารถใส่ฟันกลับเข้าที่ให้เขา อี้หลิงนิ่งเงียบ ไม่ได้ให้ความสนใจกับอันธพาลประจำหน่วยอัคคีผู้นี้ ข้าอดหัวเราะในลำคอไม่ได้ เจ้าหมอนั่นต้องเจอกับคนแบบนี้สิ ข้าส่งยิ้มให้ศิษย์พี่หน่วยอัคคีทั้งหลาย จางเยว่ยังมองข้าด้วยแววตาลึกล้ำ ส่วนเฉินเจิ้งหยานั้นแม้จะหาเรื่องข้า ทว่าเมื่อข้าจ้องกลับมันก็ไม่กล้าสบตากับข้าตรงๆ คนพวกนี้พอพวกมากก็ชอบข่มเหงผู้คน แต่พอโดนของจริงเข้าก็ทำตัวไม่ถูก ชาติสุนัขโดยแท้ ประกายตาของศิษย์หน่วยอัคคีหลายคนมองข้าด้วยความคับแค้นราวกับข้าไปด่าบิดามารดาของพวกมัน แต่คิดไปคิดมาแล้วคงเป็นเจ้าเฉินโก่ว[4] นั่นละที่ใส่ไคล้ข้า เรียกมันว่าเฉินโก่วยังถือว่าให้เกียรติมันเกินไปด้วยซ้ำ เฉินโก่วเดินเตะฝุ่นเข้ามาหาข้า มันแทรกแถวของศิษย์หน่วยทองคนหนึ่ง จับบ่าข้าแล้วส่งยิ้มเหี้ยมเกรียมให้พลางก้มลงกระซิบข้างหูข้า “เดี๋ยวนี้หัดเชิดหน้า มีพรรคพวกแล้วคอยืดเชียวนะน้องตงฟาง” มันบีบไหล่ข้าโดยแรงจนแสบร้อนราวกับถูกถ่านนาบ ข้าหลับตานับถอยหลัง ดึงความสามารถดูดซับไอพลังจากปราณเบญจธาตุเข้ามาหน่วงความร้อนเอาไว้ เจ้านี่มันฝึกฝ่ามืออัคคีสำเร็จแล้ว! ผ่านไปไม่ถึงถ้วยชา กลับมีความเย็นสายหนึ่งมาปัดมือเฉินเจิ้งหยาออกไป เป็นอี้หลิง “ทำร้ายผู้อื่นก่อนงานประลองเช่นนี้ ไม่ใช่เดรัจฉานก็ต่ำตมกว่าอาจม” โฮ่! ข้าใจชื้นราวกลับปลาได้น้ำ อี้หลิงด่าคนก็เป็นด้วย อีกทั้งคำพูดเสียดสีนี่ก็มิใช่ธรรมดา อาจารย์ปู่คงปลาบปลื้มแทบสิ้นสติถ้ารู้ว่าเขารู้จักจิกกัดคนเป็นแล้ว เฉินเจิ้งหยาถลึงตาดุดัน ไอความร้อนจากตัวของเจ้านั่นแผดเผาจนหลังข้าแสบๆ ร้อนๆ “ปากดีนักนะเจ้าอี้หลิง ข้าแค่มาทักทายศิษย์น้อง ทำไมรึ! เจ้าเดือดร้อนอันใด” อี้หลิงเพ้ยปรายตามองเฉินเจิ้งหยา เขาสูงกว่ามันราวสามชุ่น เทียบความสง่างามแล้วเฉินโก่วเทียบไม่ได้เลยแม้แต่น้อย แถวเลื่อนมาถึงอี้หลิงแล้ว เขาจึงหันไปลงชื่อ ลงเสร็จก็ถึงคราวข้า ก่อนเราเดินจากไปอี้หลิงก็หันไปพูดกับเฉินเจิ้งหยา “สุนัขชั่วมันก็รู้จักหวาดกลัวพยัคฆ์ ทำอะไรไม่รู้สถานการณ์ ชีวิตของเจ้าจึงทำได้เพียงข่มเหงผู้อื่นอยู่ร่ำไป สายลมวสันต์พัดหวิว กลีบดอกไม้ปลิวว่อน ทว่าเฉินเจิ้งหยากลับหน้าเปลี่ยนสี ตัวสั่นเทิ้มด้วยความคับแค้นใจจนแทบกระอัก โชคดีที่จางเยว่เห็นท่าไม่ดีจึงเดินมาดึงแขนคนผู้นั้นเพื่อเรียกสติ ข้าเห็นเถาฮวาที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะลงชื่อนั่งส่ายหน้าไปมา ดวงตาที่มองเฉินเจิ้งหยาเต็มไปด้วยความยุ่งยากใจ เฉินเจิ้งหยาเป็นถึงนายน้อยสำนักบู๊ บิดาของมันเป็นผู้มีชื่อเสียงในยุทธภพ เมื่อบิดามีชื่อ บุตรจึงหยิ่งผยองลำพองว่าเป็นหนึ่งในสำนัก ตอนนั้นข้าไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างคนสองคน แต่พอได้รู้แล้วก็ได้แต่ส่ายหัว ผู้ที่เป็นอันดับหนึ่งมาโดยตลอดเมื่อมีคนที่โดดเด่นกว่าตนจึงอดไม่ได้ที่จะร้อนรน อี้หลิงถือว่าโชคดีที่ตามติดอาจารย์ปู่ออกท่องไปยังแดนต่างๆ มิเช่นนั้นคนที่ไม่ค่อยพูดแบบเขาคงได้แต่นิ่งเงียบไม่ใส่ใจ แต่พอคิดไปคิดมาแล้วคงต่างกับข้านัก คนผู้นี้มีความสามารถพอๆ กับเฉินเจิ้งหยา ยิ่งผ่านการอบรมจากอาจารย์ปู่ ไม่แน่ว่าอาจเหนือล้ำกว่า ครั้นมาลองเปรียบเทียบกับตัวข้าแล้ว หากข้าไม่รู้จักร่างกายมนุษย์ดีพอ อีกสิบปีก็คงไม่อาจรุดหน้าเร็วถึงเพียงนี้ ยิ่งข้าฝืนแบบนั้นแล้ว... ผู้ฉลาดย่อมรู้ประมาณฝีมือตน คนที่ไม่ประมาณตนมีสองประเภท หนึ่งคือโง่ สองคือไม่มีทางถอยอีกต่อไปแล้ว ข้าเป็นอย่างหลัง แต่บอกไม่ได้ว่าเฉินโก่วนั้นเป็นอย่างไร [1] จุดซ่าวหยาง คือเส้นลมปราณถุงน้ำดี [2] จุดเจี๋ยยิน คือเส้นลมปราณตับ [3] ยามอิ๋นคือช่วงเวลา ๓.๐๐ น – ๔.๕๙ น. [4] เฉินโก่ว (**โก่วแปลว่า สุนัข)
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD