"อะไรของพ่อเนี่ย" สาลี่ที่ในตอนนี้ต้องลงมาจากรถเพื่อแจ้งให้ตำรวจจราจรที่กำลังทำหน้าที่อยู่บนท้องถนนได้รับรู้ว่าเธอกำลังรอให้คนขับรถมารับก็ได้แต่แอบบ่นถึงบิดาอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
ปึก!
"สาลี่ขอโทษค่ะ" สาลี่ร้องขอโทษบุคคลปริศนาคนหนึ่งที่เธอนั้นไม่ทันระวังจึงบังเอิญเดินไปชนเขาเสียจนเต็มแรง
"พูดเพราะดีนี่สาลี่" นาทีต่อมาสาลี่ก็ต้องตกใจจนแทบจะสิ้นสติเมื่อพบว่าชายคนดังกล่าวที่เธอเอ่ยปากขอโทษนั้นก็คือคนๆ เดียวกันกับที่เธอพยายามหลบลี้หนีหน้ามานานหลายวัน
"ไฟท์เตอร์..." หมื่นพันคำพูดที่เคยตระเตรียมเอาไว้เพื่อพูดออกมาในตอนที่ต้องเผชิญกับคนตรงหน้าถึงกับหล่นหายไปอยู่ในช่องท้องเมื่อสังเกตได้ว่าแววตาคู่นั้นไร้ซึ่งความแพรวพราวขี้เล่นดังเช่นที่ผ่านๆ มา
"ช่าย... ไฟทเตอร์คนดีคนเดิม" ไฟท์เตอร์ขานรับด้วยน้ำเสียงยานคาง "เธอกำลังจะไปเหรอครับสาลี่ บอกไฟท์เตอร์หน่อยได้ไหมเอ่ย?"
"ฉันจะไปหาแม่ของฉัน แม่ของฉันป่วยนอนอยู่โรงพยาบาล" แม้ความเป็นจริงแล้วคราแรกก่อนที่แม่ของเธอจะเป็นลมหมดสติไป เธอจะมีความตั้งใจไปดูแลคมสันต์ก็ตามที แต่สาลี่ก็มีความฉลาดมากพอที่จะไม่เอ่ยถึงชื่อคมสันต์ออกมาให้ไฟท์เตอร์ได้ยิน
"ตอแหล!" ไฟท์เตอร์ออกแรงกระชากแขนเล็กนั้นอย่างแรงด้วยความโมโหเมื่อได้รู้ว่าสาลี่นั้นมีความห่วงใยต่อคมสันต์มากมานเสียจนยอมยกเอาแม่ตัวเองขึ้นมากกล่าวอ้าง
"เธอกำลังจะไปหามันใช่ไหมสาลี่ ไอ้ชู้คนนั้นของเธอ!" เพราะความโมโหระคนหึงหวงจึงทำให้ไฟท์เตอร์เผลอปากพูดออกมาว่าตัวเขานั้นรู้เห็นในเรื่องที่คมสันต์ได้รับบาดเจ็บสาหัส
"แก! แกเป็นคนทำพี่สันต์อย่างนั้นนะเหรอ! ไอ้! ฉันจะด่าแกว่ายังไงดี ไอ้เลว ไอ้คนชั่วระยำ!" หญิงสาวแผดร้องออกมาดังลั่นเมื่อเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าต้นเหตุของการบาดเจ็บของคมสันต์นั้นมีไฟท์เตอร์ที่เป็นผู้ลงมือกระทำ
"ใช่! ฉันทำเอง จะบอกอะไรให้นะสาลี่ ว่าเรื่องไหนที่มันชั่วๆ ไว้ใจพี่ไฟท์เตอร์คนนี้ได้เลย เพราะความชั่วมันคืองานถนัดของฉันยังไงละสาลี่!" ไฟท์เตอร์หัวเราะออกมาอย่างสะใจ ขณะที่มือใหญ่นั้นก็ยังคงออกแรงบีบรัดต้นแขนเล็กของหญิงสาวจนมันเกิดเป็นรอยแดงเถือกน่าเกลียดน่ากลัว
"กรุณาหยุดการกระทำอันรุนแรงของคุณด้วยครับ ผมเจ้าหน้าที่ตำรวจ" ตำรวจจราจรที่เฝ้าสังเกตการณ์ความปลอดภัยให้กับประชาชนที่สัญจรไปมาอยู่บนถนนตรงเข้ามาแยกตัวไฟท์เตอร์ให้ออกห่างจากสาลี่ด้วยความรู้สึกเป็นห่วงเด็กสาว
"เป็นอะไรมากไหมครับคุณ ไม่ทราบว่าญาติของคุณใกล้จะมาถึงหรือยังครับ" ก่อนจะหันมาถามสาลี่ที่ยังคงยืนตัวสั่นเหมือนลูกนกเพราะความตระหนกไม่หาย
"กะ...ใกล้แล้วค่ะ นะ...นั่นไงคะเขามาถึงแล้วค่ะ" นับว่าใบบุญของสาลี่นั้นยังคงพอจะมีหลงเหลือออยู่ เมื่อเธอสังเกตเห็นได้ว่าเชิดกำลังวิ่งตรงมาที่เธออย่างพอดิบพอดี
"มีอะไรหรือเปล่าครับคุณหนู" เชิดเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นรอยแดงเถือกปรากฎอยู่บนต้นแขนของคุณหนูของเขา
"ไม่มีอะไรหรอกค่ะพี่เชิดไปหาคุณแม่กับคุณพ่อกันเถอะค่ะ ขอบคุณคุณตำรวจนะคะ สวัสดีค่ะ" สาลี่ที่แม้จะยังรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนไม่หาย แต่ถึงอย่างนั้นเธอยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจที่จะไปดูแลมารดาตามหน้าที่ของตัวเอง
"พี่เชิด"
"ครับ" เขิดขานรับสั้นๆ ขณะที่สองตาของเขาก็กำลังจดจ้องอยู่กับถนนลาดยางตรงหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจ
"เรื่องวันนี้ ไม่บอกคุณพ่อนะคะ" เพราะหญิงสาวรู้ดีว่าเชิดนั้นจงรักและภักดีต่อทรงวุฒิผู้เป็นพ่อมากแค่ไหน นั่นจึงทำให้หญิงสาวรู้สึกหวาดระแวงว่าเชิดจะบอกกล่าวถึงเรื่องของไฟท์เตอร์ให้คนเป็นพ่อได้รับรู้
"เขาเป็นคนทำแขนของคุณหนูแดงหรือเปล่าครับ" ตั้งแต่คุณหนูของเขาลืมตาดูโลกมา ไม่เคยมีสักครั้งที่ผู้เป็นนายทั้งสองจะลงมือทุบตีหญิงสาวเสียจนเป็นรอยแดงช้ำอย่างที่เธอกำลังเป็น และถ้าหากร่องรอยดังกล่าวมีเหตุมาจากการกระทำของผู้ชายคนที่สาลี่พยายามที่จะให้เขาปกปิดเอาไว้ เขาก็คงจะยอมไม่ได้จริงๆ...
"คือ... สาลี่สะดุดล้มแล้วเขาช่วยดึงแขนสาลี่นะคะพี่เชิด แขนสาลี่ก็เลยเป็นรอย" ความเจ็บร้าวตรงต้นแขนยังคงระบมขึ้นมาเป็นพักๆ แต่หญิงสาวก็พยายามอย่างหนักที่จะหักห้ามไม่ให้น้ำตาแห่งความเจ็บปวดหลั่งไหลอออกมาให้เชิดได้เห็น
"ครับ ผมจะไม่บอกคุณท่านครับ" ที่สุดเชิดก็ยินยอมที่จะขานรับต่อความตั้งใจแรกของหญิงสาว
โรงพยาบาล
"สวัสดีค่ะคุณแม่ สวัสดีค่ะคุณพ่อ" สาลี่มองสองสามีภรรยาที่ในตอนนี้มีใบหน้าง้ำงอไม่ต่างกันด้วยความสงสัยแต่สุดท้ายก็เลือกที่จะไม่พูดกล่าวอะไรออกมาให้เรื่องทุกอย่างมันแย่ไปกว่าที่มันกำลังเป็น
"เชิดพาหนูแวะทานข้าวหรือยังลูก สาลี่" วิไลแนมมองบุตรสาวเพียงคนเดียวด้วยความรัก มาถึงตอนนี้เธอก็รู้สึกว่าลูกสาวของเธอนั้นโชคดีอยู่ไม่น้อยที่ไม่ได้ล้มป่วยตั้งแต่กำเนิดเหมือนกันกับที่เธอต้องเผชิญมาตลอดชีวิต
"ยังค่ะคุณแม่ แล้วคุณแม่ทานอะไรหรือยังคะ อยากกินอะไรไหมสาลี่จะได้ไปหาซื้อมาให้ค่ะ" สาลี่กอบกุมมือเล็กๆ ของแม่มาแนบอกก่อนจะกดจูบลงไปบนหลังมือที่ซีดเซียวเพราะโรคภัยคอยรุมเร้านั้นเบาๆ
"แม่แกมันทานไม่ลงหรอก ถ้ายังไม่ได้เห็นหน้าลูกสาวของมัน"
"เรื่องนี้คุณผิดนะทรงวุฒิ คุณลืมโทรบอกเชิดให้ไปรับสาลี่ได้ยังไง คุณลืมลูกสาวของคุณได้ยังไงทรงวุฒิ!" วิไลพร่ำรำพันออกมาทั้งน้ำตาในความใจจืดใจดำของสามี แม้จะพยายามทำความเข้าใจอยู่หลายครั้งว่าสามีปรารถนาจะมีลูกชาย หากแต่สุดท้ายเธอก็ไม่เคยที่จะเข้าใจได้เสียที...
"ทุกอย่างมันก็เป็นเพราะคุณล้มลงพะงาบๆ เหมือนปลาขาดอ๊อกซิเจนไม่ใช่หรือไงวิไล ต้นเหตุทั้งหมดมันก็มาจากความขี้โรคของคุณนั่นแหละ!" ทรงวุฒิว่าอย่างไม่ยินยอมจะรับข้อกล่าวหาก่อนจะทรุดตัวลงนอนบนโซฟาและเสแสร้งแกล้งทำเป็นหลับเพื่อหลบหนีการปะทะคารมกับภรรยา
"ฉันเกลียดคุณทรงวุฒิ" วิไลร้องบอกก่อนจะกัดฟันกรอดอย่างรู้สึกหมั่นไส้สามี
"ไม่จริง" ทรงวุฒิผุดลุกขึ้นมาทันควันอย่างไม่เห็นด้วยกับประโยคดังกล่าวของวิไล "คุณรักผมวิไล คุณจะว่าอะไรผมก็ได้แต่คุณอย่าพูดว่าคุณไม่รักผม เพราะมันไม่จริง"
"ให้ตายเถอะพ่อ กลัวเขาไม่รักใช่ไหมตอบ" สาลี่ลอบกลอกตามองบนให้กับคนเป็นพ่อขณะที่เธอกำลังจัดเตรียมยามื้อเย็นให้กับผู้เป็นแม่
"พ่อกลับไปนอนบ้านเถอะค่ะ อยู่ไปก็มีแต่จะทำให้แม่อาการกำเริบเอาซะเปล่าๆ"
"ฉันไม่กลับ! แกนั่นแหละสาลี่ จะไปไหนก็ไป จะพูดอะไรก็หัดเกรงใจฉันด้วยเพราะถึงแกจะเป็นลูก แต่ฉันเป็นสามีของแม่แก"
"คุณเหนื่อยไหมทรงวุฒิ" วิไลเอ่ยถามสามีอย่างรู้สึกอ่อนใจ "แบกทิฐิเอาไว้บนบ่า คุณหนักบ้างไหม"
"หุบปากของคุณไปเถอะวิไล แล้วก็ทานยานอนไปซะ ส่วนแกสาลี่ จะไปไหนก็ไปไม่เห็หรือไงแม่แกมันต้องการพักผ่อน" ทรงวุฒิทรุดตัวลงนอนบนโซฟาอีกครั้งก่อนจะหมุนตัวหันหลังเพื่อหลบเลี่ยงสายตาจากภรรยากับลูกสาวที่กำลังจดจ้องมองมา
เกือบครึ่งชั่วโมงผ่านไปทั้งห้องพักพิเศษสำหรับผู้ป่วยก็กลับมาอยู่ในสภาวะปกติอีกครั้งหลังจากที่ทรงวุฒิหลับสนิท
"พยุงแม่หน่อยสาลี่ แม่จะห่มผ้าให้พ่อเขา" เพราะสามีของเธอนั้นเป็นโรคแปลกประหลาดที่ว่า ไม่มีใครที่จะสามารถเข้าใกล้เขาในตอนที่กำลังนอนหลับได้เว้นเสียแต่เธอคนเดียว จึงทำให้เธอออกปากลูกสาวให้ช่วยเหลือในเรื่องห่มผ้าให้กับคนเป็นพ่อไม่ได้
"งั้นสาลี่กลับก่อนนะคะคุณแม่ พรุ่งนี้สาลี่ต้องไปโรงเรียน" สาลี่ก้มลงหอมแก้มของมารดาซ้ายขวาเมื่อถึงเวลาที่เธอต้องเดินทางกลับบ้านแล้ว
"จ้ะ ดูแลตัวเองดีๆ นะลูก รักลูกจ้ะ"
"รักแม่ค่ะ"
ทรงวุฒิคือเจ้าของตำนานไอ้ผีบ้าผีบอสินะ 🥹🥹🥹🥹