เริ่มแรกครอบครัวก็ดูปกติดีทุกอย่าง ตั้งแต่คิรินและคาร์ลเกิดมา เพียงแต่ช่วงเวลาวัยเยาว์คาร์ลนั้นอ่อนแอและขี้แยกว่าคิรินเท่านั้นเอง เวลาเล่นสนุกน้องมักถูกพี่รังแกให้ได้ร้องไห้เสมอ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา จนกระทั่งเหตุเกิดเพราะอุบัติที่ไม่ได้ตั้งใจ ขณะที่กำลังปั่นจักรยานซ้อนท้ายเล่นภายในถนนหมู่บ้าน ซึ่งเป็นเนินเขาเล็กๆ คิรินเร่งปั่นด้วยความเร็วเพื่อจะได้สนุก แต่ทว่าจังหวะที่จะเลี้ยวนั้นดันไปสะดุดกับก้อนหิน จักรยานไม่ได้ทันได้เบรกจึงล้มไถลอย่างแรง โดยคาร์ลกระเด็นข้ามศีรษะคิรินไป ใบหน้าไถลไปกับพื้นถนนขรุขระและถูกหยุดด้วยกำแพงลวดหนามที่เกี่ยวใบหน้า ส่วนคิรินไถลไปกับจักรยาน บาดเจ็บตามแขนขาพอสมควร
เมื่อคนในหมู่บ้านมาเห็นเข้าจึงรีบบอกภูวนัยกับเจนน่า จากนั้นจึงนำส่งโรงพยาบาลทันที อุบัติเหตุเล็กน้อยจากจักรยานแต่รุนแรงเพราะความเร็วพอๆ กับมอเตอร์ไซค์ ทำให้คาร์ลเสียโฉม เพราะใบหน้าไถลกับพื้นอย่างแรง เนื้อที่แก้มและจมูกเปิดออกและหลุดจนบิดามารดาไม่อาจทนดูได้ แม้หมอจะรักษาเต็มความสามารถแต่ทำได้เพียงเย็บแผลที่จมูกและปิดแผลที่แก้ม ทว่าเนื้อต้องถูกคว้านออกเพราะมันละเอียดจากพื้นซีเมนต์ขรุขระ หมอต้องตัดเนื้อที่ต้นขามาเย็บใส่กับหน้าแทน แต่ทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้มากมาย เท่านั้นยังไม่พอ มันกลายเป็นแผลเป็นที่รุนแรงในหัวใจของเด็กน้อยวัยเก้าขวบอย่างคาร์ล ที่รักษายังไงรักษาไม่หาย
แต่ในขณะเดียวกันคิรินกลับรู้สึกผิดที่เป็นสาเหตุของอุบัติที่เขาไม่ได้ตั้งใจ เมื่อทุกอย่างกลับเป็นปกติ คาร์ลเปลี่ยนไปกลายเป็นเด็กขี้โมโห ทำลายข้าวของ เพียงเพราะทุกคนขัดใจ เขาโกรธเกลียดสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง เกลียดพี่ที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ บิดามารดาจากที่เคยโอ๋กลับเอาแต่ดุด่า ตำหนิว่าเขาเป็นเด็กก้าวร้าว เอาแต่ใจ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้เป็น ขณะที่คิรินกลับกลายเป็นคนสงบเสงี่ยมขึ้นมาทันทีเพราะเหตุการณ์สะเทือนใจครั้งนั้น บิดามารดาหันมาหาพี่เพื่อปลอบโยนให้รู้สึกดีขึ้น และพยายามบอกว่ามันคืออุบัติเหตุ
ทำให้คาร์ลกลับฝังใจว่าบิดามารดารักพี่เพียงคนเดียว เอาใจแต่พี่ ยิ่งเขาเสียโฉมก็ยิ่งไม่มีใครสนใจเขา กลายเป็นปมด้อยในหัวใจดวงเล็กๆ และนับจากนั้น ทุกครั้งที่มีคนขัดใจ คาร์ลจะโมโหร้ายรุนแรง โดยเฉพาะกับพี่ชาย คาร์ลจะทำทุกอย่างให้พี่ชายเจ็บปวด รังแกจนกระทั่งเข้าโรงพยาบาลก็มี หนักเข้าบิดามารดาต้องหันหน้าไปปรึกษากับจิตแพทย์
“มันเป็นอาการทางจิตแล้วล่ะครับ อาการเรียกร้องความรักความสนใจ เด็กรู้สึกว่าตัวเองขาดความรัก เขามีความกลัวและความเกลียดที่ฝังใจ เขารู้สึกอย่างนั้นเท่าที่ผมคุย ลูกคุณต้องการความรักมากกว่าปกติ จนไม่อาจจะให้ใครแย่งความรักไปจากเขาได้ และอย่าให้เขาผิดหวังเป็นอันขาด ที่สำคัญยิ่งพ่อกับแม่ดุด่าเขาเท่าไหร่ เขาก็จะยิ่งคิดว่าไม่รักเขา และก็จะยิ่งทำลายข้าวของ ทำร้ายพี่ชาย”
“ผมไม่เข้าใจที่หมอพูดนะครับ”
“ตามที่หมอเห็น จากอุบัติเหตุที่คุณเล่าให้ฟัง เขาเสียโฉมแต่พี่ของเขาไม่มีเลย เขาคงคิดว่าเป็นความผิดของพี่ จึงทำให้ทำร้ายพี่เวลาโกรธ พ่อแม่ก็ดุด่านี่ครับ” หมอให้ความเห็น
“แล้วเราต้องแก้ไขยังไงครับ ทำยังไงถึงจะรักษาหาย”
“ความรักครับ ความรักบำบัดได้ทุกอย่าง ถ้าเขาโตขึ้นและมีความรักแบบหนุ่มสาวละก็ เขาจะอกหักไม่ได้ เพราะไม่อย่างนั้นอาการมันจะแสดงออกมาทางอารมณ์รุนแรง อย่างที่เราเคยเห็นผ่านตาบ้าง ต้องใช้เวลาครับ ต้องใช้ความรัก อย่างที่บอกก็คืออย่าให้อยู่ใกล้กัน แต่ถ้าโตขึ้นได้รับความรักจากใครสักคนมาบำบัดเขา เขาก็คงหาย จริงแล้วจิตใต้สำนึกเขาเป็นเด็กดีมากเลยนะ แต่เขาจะแสดงมันออกมาให้ใครต่อใครได้เห็นหรือเปล่าเท่านั้นเอง”
“ขอบคุณครับหมอ เอาเป็นว่าผมจะทำตามอย่างที่หมอบอกทุกอย่าง แล้วจะพาเขามาหาคุณหมอบ่อยๆ” ภูวนัยบอกอย่างขอบคุณ
“ยินดีครับ”
จากนั้นภูวนัยต้องทำใจอย่างมากที่จะแยกกันอยู่กับภรรยาและลูกอีกคนที่เขาเองก็รักเช่นกัน แต่เพื่อที่จะคอยรักษาลูกชายคนเล็กให้หายเป็นปกติหรืออีกนัยหนึ่งคือ คาร์ลจะได้ไม่ต้องคอยรังแกคิรินอีก
จนกระทั่งตอนนี้ ตามที่หมอบอกว่าจิตใต้สำนึกหรือตัวต้นที่แท้จริงของคาร์ลเป็นเด็กดีและอ่อนโยน แต่จนป่านนี้ภูวนัยก็ยังไม่สามารถสัมผัสได้เลย ว่าลูกชายตัวเองมันดีตรงไหน มีก็แต่อารมณ์รุนแรง ใจคอโหดร้าย แถมยังวางตัวเป็นเจ้าพ่อซะอีก กระทั่งเวลานี้อายุสามสิบเข้าไปแล้ว คาร์ลยิ่งดูน่ากลัวมากขึ้น จะว่าร้ายลึกก็ได้ เพราะแววตาของเขาไร้ซึ่งความอ่อนโยน มีก็แต่รังสีอำมหิตที่ทุกคนต่างกลัว ภูวนัยเห็นเพียงเท่านั้นจริงๆ แล้วจะหาใครที่ไหนมาช่วยบำบัดความรักให้กับคาร์ลได้เล่า ในเมื่อเขามีนิสัยดุร้ายราวกับสัตว์ป่าก็ไม่ปาน ภูวนัยคิดพลางกุมขมับ อดนึกถึงตอนที่คาร์ลจะมีอาการผิดหวังไม่ได้ เขาจะมีอารมณ์อย่างไรนะ จะโหดร้ายแค่ไหน