เมืองนวร์ก (Newark) รัฐนิวเจอร์ซีย์ สหรัฐอเมริกา
พั่บๆๆๆ…
ตู้ม!!!
ปังๆๆๆ…
เสียงใบพัดขนาดเท่าปีกนกยักษ์ของเฮลิคอปเตอร์ลำใหญ่ดังลั่นไปทั่วทั้งบริเวณ สลับกับเสียงปาระเบิดและกราดกระสุนยิงต่อสู้ระหว่างเหล่าตำรวจกับกลุ่มผู้ก่อการร้าย ในขณะเดียวกันนั้นก็มีควันไฟพวยพุ่งออกมาจากการเผาทำลายตึกรามบ้านช่อง ร้านค้า รถยนต์และข้าวของที่อยู่ริมสองฟากฝั่งของถนนสายหลัก ประชาชนที่อยู่ในละแวกนั้นต่างพากันวิ่งหาที่หลบภัยจ้าละหวั่น ถนนใจกลางเมืองทั้งสายมืดมิด ไร้ผู้คนสัญจรไปมาประหนึ่งว่าเป็นเมืองร้าง นั่นก็เป็นเพราะว่าขณะนี้กำลังเกิดเหตุจราจลในเมืองนวร์ก เมืองที่ใหญ่ที่สุดในรัฐนิวเจอร์ซีย์ ประเทศสหรัฐอเมริกา
“ทุกคนวางอาวุธลง แล้วยกมือขึ้น” เสียงประกาศที่ดังออกมาจากเฮลิคอปเตอร์ส่งผลให้ผู้ก่อการจราจลที่อยู่เบื้องล่างหยุดชะงักการกระทำอันชั่วช้าลง แต่เพียงแค่เสี้ยวนาทีคนเหล่านั้นก็เข้าโจมตีและฝ่าวงล้อมของกองกำลังตำรวจเพื่อหวังจะออกไปก่อความวุ่นวายโกลาหลในจุดอื่นๆ ของเมือง
“เราจะนับหนึ่งถึงสาม หากทุกคนยังไม่อยู่ในความสงบ เราจะใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด” เสียงเข้มของสาวปริศนาที่อยู่บนเฮลิคอปเตอร์ไม่ทำให้คนชั่วนับสามสิบชีวิตรู้สึกครั่นคร้ามเลยสักนิด ยังคงทำเป็นหูทวนลมและสาดกระสุนเข้าหาตำรวจไม่ยั้ง
“เราขอเตือนว่าจะใช้มาตรการ…ขั้นเด็ดขาด!” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดูไม่แยแสกับคำที่เธอส่งไปกล่าวตักเตือนในตอนแรก สารวัตรสาวขาโหดก็ขู่สำทับอีกครั้ง ก่อนจะส่งสัญญาณให้หน่วยปฏิบัติการหลายสิบนายที่อยู่เบื้องล่างเตรียมพร้อมในการตีวงเข้าโอบล้อม
“ถ้ากูยอมฟังคำสั่งจากตำรวจกระจอกๆ อย่างพวกมึงก็บ้าแล้ว” หนึ่งในนั้นแหงนหน้าขึ้นไปมองยังเฮลิคอปเตอร์ พร้อมโต้ตอบด้วยวาจาโอหัง
“ใช่ มันจะดูถูกกันเกินไปแล้วที่เอาผู้หญิงมาข่มขู่พวกเรา” ชายหน้าเหี้ยมสนับสนุนในทุกคำพูดของเพื่อน แล้วกราดยิงท้าทายคำข่มขู่ของตำรวจอย่างไม่หวั่นเกรง อยากจะสอยเฮลิคอปเตอร์ที่บินว่อนอยู่เหนือศีรษะให้ร่วงหล่นแต่เสียดายไม่ได้เอาปืนไรเฟิลมา
คนบนเฮลิคอปเตอร์จะไม่อาจล่วงรู้ทุกคำที่หลุดออกมาจากปากหัวหน้ากลุ่มผู้ก่อจราจล หากไม่มีลูกน้องคอยส่งสารขึ้นไปรายงานอีกที หลังจากที่ทวิชาได้ฟังคำจากปากของลูกน้องก็ถึงกับสบถออกมาอย่างอดใจไม่ไหว
“ไอ้พวกเศษสวะเอ๊ย ดูถูกเพศแม่อย่างไม่นึกแยแส ว่าถ้าไม่มีผู้หญิงบนโลกใบนี้ มันก็คงไม่มีวันได้ลืมตาขึ้นมาดูโลก และมาสร้างความเลวระยำแบบนี้หรอก” ท้ายประโยคตำรวจสาวใจหาญเค้นเสียงห้วนจัดอย่างขุ่นเคือง
“ใจเย็นน่า แม่สาวขาโหด” ไมเคิล ดีแลน สารวัตรหนุ่มจากหน่วยปฏิบัติการพิเศษ (SWAT: Special Weapons and Tactics) ที่ได้รับเชิญให้มาเจรจาต่อรองกับกลุ่มผู้ก่อจราจลทอดเสียงกลั้วหัวเราะทั้งแซวและเตือนสติ พลางยกมือขึ้นตบบ่าน้อยเบาๆ หญิงสาวสลัดมือใหญ่ให้หลุดออกจากบ่าของตัวเอง ก่อนจะหันไปตวัดตาค้อนให้คนช่างแหย่
“ไมเคิลก็ดูมันพูดเข้าสิ ใครจะไปใจเย็นได้เล่า” ทวิชาค้านหน้าตึง ก่อนจะกระแทกลมหายใจฟืดฟาดออกมาด้วยความหงุดหงิดระคนฉุนเฉียว
“แล้วนั่นคิดจะทำอะไรน่ะนก” สารวัตรหนุ่มถามทันทีที่เห็นเพื่อนรักยกหน้าที่เกลี้ยกล่อมผู้ร้ายสมองหนาปัญญาทึบ ที่ไม่ชอบวิธีประนีประนอมมากไปกว่าการใช้กำลังและอาวุธทำลายล้าง ให้เป็นหน้าที่ของเขา
“ก็ลงไปลุยข้างล่างน่ะสิ” แม่สาวขาโหดออกอาการคันไม้คันมืออย่างเห็นได้ชัด จนไมเคิลต้องส่ายหัวและอยากจะคารวะให้กับความบ้าดีเดือดของเพื่อนรัก
“จะลงไปทั้งที่คนร้ายยังอยู่ข้างล่างแบบนี้น่ะนะ” ถามเสียงหลงเมื่อมองลงไปข้างล่างแล้วเห็นถึงความวุ่นวายที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงได้
“กัปตันขับวนไปทางขวานะ ฉันจะลง” ทวิชาไม่ได้ตอบคำถามแต่หันไปสั่งนักบินทันทีที่เห็นว่าหัวถนนทางฝั่งขวาปลอดผู้ก่อการร้าย ก่อนจะหันมาสนใจเพื่อนหนุ่มอีกครั้ง
“เอาจริงเหรอนก” เสียงเครียดเขม็งของไมเคิลถามด้วยความเป็นห่วง ถึงแม้เขาจะเป็นคนยิงคุ้มกันให้ในระหว่างที่แม่สาวฮีโร่เลือดร้อนจะโรยตัวลงไปกับสลิง แต่ก็ยังอดที่จะกังวลใจในความปลอดภัยของเธอไม่ได้
“อือฮึ…สนใจจะลงไปมันด้วยกันไหมล่ะ?” ทวิชาชักชวนอย่างกระตือรือร้นพลางบุ้ยปากไปยังเบื้องล่าง ดวงตากลมโตเป็นประกายพราวระยับ เพราะรู้สึกคึกคักจนแทบเนื้อเต้นที่จะได้ลงมือปราบคนชั่วด้วยตัวเอง
“ไปได้ไง เรามาทำหน้าที่เจรจาต่อรองนะ ไม่ได้มาเป็นขาบู๊เหมือนนก” สัพยอกเพื่อนสาวอย่างหมั่นไส้นิดๆ
ด้วยความเป็นห่วงคนเลือดร้อนทำให้ไมเคิลอยากลงไปข้างล่างกับแม่สาวนักบู๊ใจจะขาด หากแต่บนเครื่องหามีคนที่จะสามารถเกลี้ยกล่อมผู้ร้ายให้คล้อยตามไม่ อำนาจของลมปากคนเราไม่เท่ากัน บางคนพูดจนลิงหลับ พูดชนิดน้ำไหลไฟดับ พูดอะไรมาคนก็ให้ความเชื่อถือและคล้อยตาม แต่บางคนพูดแล้วไม่มีใครแยแส ซึ่งในปฏิบัติการทุกครั้งไมเคิลจะต้องถูกเชิญให้มาทำหน้าที่นี้ เพราะมีความรู้ทางด้านจิตวิทยากอปรกับได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีจากหน่วยSWAT จนเป็นผู้ชำนาญการและย่อมรู้ดีว่าจะต้องทำยังไงให้เกิดการประนีประนอม จากนี้เขาคงจะต้องทำหน้าที่ของตัวเองอย่างสุดความสามารถ หลังจากที่โดนทวิชาปล้นมันไปพักใหญ่
ในระหว่างที่ทวิชาโหนสลิงลงมาด้วยมือเดียวนั้น มืออีกข้างก็กระชับปืนเตรียมพร้อมอย่างมีสติอยู่ตลอดเวลา ด้วยเกรงว่าจะโดนสอยร่วงลงมากองกับพื้นเสียก่อนจะได้บู๊ล้างผลาญ แม่สาวใจเด็ดจำเป็นต้องโรยตัวลงมาด้วยลวดสลิงเพราะบริเวณนี้ไม่มีพื้นที่มากพอให้นำเฮลิคอปเตอร์ลงจอด หลังจากยืนบนพื้นอย่างมั่นคงด้วยขาเรียวเล็กทั้งสองข้างได้สำเร็จ หญิงสาวก็ไม่รอช้าที่จะเข้าไปสมทบกับนายตำรวจอีกหลายสิบชีวิต
ทวิชานำกองกำลังเข้าโจมตีและสลายกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบด้วยการยิงแก๊สน้ำตา และใช้กระสุนยางในการยิงสกัดกั้น แต่อนุญาตให้ลูกน้องยิงโต้ตอบได้ในกรณีที่ลูกกระสุนของผู้ร้ายพุ่งเข้ามาจวนตัว ถือว่าเป็นการป้องกันตัวเอง พร้อมกันนั้นก็กำชับอย่างหนักแน่นว่าให้เสียเลือดเสียเนื้อน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะยังต้องการสอบสวนจนสาวไปถึงตัวการใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังความหายนะในครั้งนี้
กว่าสองชั่วโมงเจ้าหน้าที่ตำรวจถึงสามารถควบคุมสถานการณ์ให้สงบลงได้ กลุ่มผู้ก่อจราจลส่วนใหญ่ถูกตำรวจจับตัว บ้างก็นอนจมกองเลือด แต่กลับไร้วี่แววของหัวโจกเหมือนเช่นครั้งก่อนๆ ที่ผ่านมา ทวิชาสบถด้วยความแค้นใจอยู่คนเดียว ก่อนจะเดินไปหาจ่าวัยกลางคนที่กำลังคุยกับนายตำรวจคนอื่นอยู่
“จ่าพรุ่งนี้ส่งภาพจากกล้องวงจรปิดของทุกหัวมุมเมืองมาให้ฉันด่วนเลยนะคะ” หญิงสาวเอ่ยปากสั่งลูกน้อง เพราะต้องการที่จะสืบเสาะหาเป้าประสงค์ในการก่อเหตุจราจลอย่างเร่งด่วน
“ได้เลยครับสารวัตร ผมจะทำเรื่องให้แต่เช้าเลยนะครับ” จ่าร่างอ้วนกลมรับคำผู้บังคับบัญชาสาวอย่างแข็งขัน พร้อมทำความเคารพเมื่อหญิงสาวปลีกตัวออกมา
“เฮ้อ…หมดเรื่องไปอีกวัน” เจ้าของร่างสง่างามกระแทกลมหายใจออกมาอย่างหน่วงหนัก
นัยน์ตาสีน้ำผึ้งกวาดไปทั่วบริเวณถนนอันเปล่าเปลี่ยวอย่างหนักใจ ปัญหาที่เกิดขึ้นยังไม่คลี่คลายไปในทางที่ดี หนำซ้ำยิ่งโหมกระหน่ำทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเช้ามืดกลุ่มอาชญากรระเบิดสถานีรถไฟปลายทางที่อยู่ทางตอนเหนือของนิวเจอร์ซีย์ ทำให้ผู้โดยสารที่มารอขึ้นรถไฟในชานชาลาได้รับบาดเจ็บและล้มตายไปหลายชีวิต แต่ยังไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงคนชั่วเหล่านั้นก็มาก่อเหตุจราจลที่ใจกลางเมืองนวร์ก เลือกถนนเส้นหลักที่มีผู้คนพลุกพล่าน รถยนต์วิ่งขวักไขว่ ทำลายชีวิต ข้าวของ ทรัพย์สินและสร้างความเสียหายอย่างมหาศาล จากเมืองสวยงามน่าอยู่กลายสภาพเป็นเหมือนเมืองร้างอันแสนสกปรกและเสื่อมโทรม เต็มไปด้วยซากปรักหักพังและเศษขยะในชั่วพริบตา หนำซ้ำไฟยังดับทำให้มืดสนิทไปทั้งเมืองเหมือนถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ถนนที่เคยคราคร่ำไปด้วยยวดยานพาหนะในช่วงเวลาอาหารค่ำมาบัดนี้กลับไร้ซึ่งสรรพสิ่ง
สามอาทิตย์ที่แล้วพวกก่ออาชญากรรมก็เผาย่านที่คนยากจนอาศัยอยู่ พวกเขาเหมือนโดนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด จากที่ไม่มีอันจะกินอยู่แล้วกลับต้องมาไร้ซึ่งที่ซุกหัวนอน กลายเป็นคนเร่ร่อน จนต้องรวมตัวกันไปประท้วงหน้าทำเนียบเรียกร้องให้รัฐบาลออกมารับผิดชอบ ที่สุดทางรัฐก็จัดหาเงินกู้ราคาถูกให้แก่ผู้มีรายได้น้อยกู้เอาไปซื้อบ้านเอกชน ซึ่งเจ้าหน้าที่ของรัฐจะต้องเป็นผู้จัดหาและคัดสรรบริษัทเอกชนที่จะเข้าร่วมโครงการเพียงหนึ่งบริษัทในการก่อสร้างบ้านให้คนเหล่านี้ซื้อ เพื่อที่รัฐจะสามารถควบคุมให้ค่าใช้จ่ายอยู่ในวงเงินที่แต่ละคนกู้ยืมไป และนั่นก็หมายความว่าเอกชนทั้งหลายจะต้องแข่งขันกันโดยการยื่นซองประมูล
ความปั่นป่วนทั่วทุกหย่อมหญ้ามาจากน้ำมือของคนเพียงกลุ่มเดียว หากแต่ที่จับได้ก็มักจะเป็นกลุ่มวัยรุ่นที่ถูกจ้างวานและชักจูงมาใช้เป็นเครื่องมือ พอสอบปากคำก็จะไม่ยอมปริปากพูดความจริง อ้างแต่เพียงว่าโกรธเคือง เจ็บปวดและรับไม่ได้กับการวิสามัญผู้ร้ายของตำรวจเมื่อสองเดือนที่แล้ว จึงออกมาป่วนเมืองเป็นการตอบแทน ซึ่งแน่นอนว่าทวิชาไม่เชื่อคำให้การเหล่านั้น เพราะทุกครั้งที่จับได้คนร้ายก็มักจะหาข้ออ้างมาปกป้องหัวหน้าใหญ่เสมอ
ถึงทวิชาจะยังไม่รู้แน่ชัดว่าพวกมันเป็นใคร แต่ก็พยายามตามล่า ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจ ทว่าความตั้งใจจริงเหล่านั้นกลับล้มไม่เป็นท่า ทุกครั้งที่ได้เบาะแสมาพอลงมือกวาดล้างก็มักจะคว้าน้ำเหลว นั่นก็เป็นเพราะว่าคนเลวพวกนี้มีผู้มีอิทธิพลหนุนหลังอยู่ แต่ยังไม่สามารถสาวไปถึงตัวบุคคลปริศนานั้นได้ คิดจะถอดใจอยู่หลายครั้ง แต่ก็นึกขึ้นมาได้ว่าหากผู้ถือกฎหมายและความถูกต้องอย่างเธอยอมแพ้ให้กับปัญหา แล้วประชาชนตาดำๆ จะฝากความหวังและชีวิตไว้กับใคร หลายคนแนะนำให้เธอย้ายเข้าไปสังกัดหน่วยสืบสวนคดีพิเศษในนิวยอร์ก แต่หญิงสาวก็ปฏิเสธเพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่ท้าทาย การนั่งจมอยู่กับกองเอกสารทั้งวันคงน่าเบื่อจะตายชัก
“เมื่อไรบ้านเมืองจะสงบสุขสักทีนะ” ขยับกลีบปากสีกุหลาบรำพันกับตัวเองแผ่วเบา เมื่อเกิดเหตุความไม่สงบขึ้นทีไรเธอก็มักจะนึกถึงหน้าผู้เป็นบิดาที่จากไปทุกที
“ก็เมื่อตำรวจอย่างพวกเรา กำจัดคนชั่วให้สิ้นซากยังไงล่ะ” น้ำเสียงนุ่มหูอันคุ้นเคยที่ดังมากข้างหลังทำให้ทวิชาแย้มยิ้มที่มุมปาก แต่ยังไม่ได้หันกลับไปหาอีกฝ่าย
“เฮ้อ…นั่นสิเนอะ” ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัดกลุ้ม ปัญหาที่เกิดขึ้นทำให้ผู้พิทักษ์สันติราษฎ์ที่ผดุงคุณธรรมอย่างเธอแทบทำอะไรไม่ได้
“อะไรกัน สารวัตรสาวขาโหด แค่นี้ก็ท้อแล้วเหรอ” คำพูดหยั่งเชิงทั้งที่รู้นิสัยใจคอแม่สาวขาโหดดีกว่าใคร ทำให้เจ้าของร่างเพรียวระหงหันกลับมาจ้องใบหน้าหล่อเหลาทันที
“อาจจะมีท้อกันบ้าง แต่รับรองว่าทวิชาคนนี้ไม่ถอยอย่างแน่นอน” เชิดหน้าพร้อมยืดอกตอบกลับอย่างแน่วแน่ แววตาสีน้ำผึ้งเต็มไปด้วยประกายของความเด็ดเดี่ยว คำตอบที่ได้ยินทำให้ไมเคิลยิ้มอย่างภูมิใจ
“ดีมากเพื่อน” มือหนาตบบ่าน้อยแรงๆ เป็นการชมและให้กำลังใจไปในตัว
ไม่นานไฟทั่วทั้งเมืองก็กลับมาสว่างไสวอีกครั้ง แล้วไมเคิลก็ต้องก้าวเดินตามหลังเจ้าของร่างเพรียวระหงที่เพิ่งหมุนปลายเท้าลิ่วไปยังบริเวณที่มีคราบเลือดเกรอะกรัง ก่อนที่หญิงสาวจะย่อตัวลงมองปลอกกระสุนปืนขนาด 9 มิลลิเมตรที่ตกอยู่บนพื้นถนน