ตอนที่1 ไม่มีทางเลือก
ฤดูหนาวท้องฟ้าขมุกขมัว เมฆสีขาวขุ่นดั่งหมอกควันกระจายปกคลุมเป็นริ้วหยุดนิ่งอยู่กับที่
นับจากวันนี้ไปอีกห้าเดือนก็จะถึงพิธีจบการศึกษา ทว่าโต๊ะนักเรียนว่างเปล่าทางด้านหลังสุด ยังคงไม่ปรากฏเงาของใครบางคนอีกเช่นเคย แม้แต่คุณครูที่ปรึกษาซึ่งใส่ใจถามไถ่สารทุกข์สุขของนักเรียนในชั้นอยู่เสมอ เวลานี้ก็ข้ามการขานชื่อที่ไม่เคยตอบกลับไป ราวกับยิ่งผ่านไปนาน การมีตัวตนอยู่ของเขายิ่งลดน้อยลง
ออดพักเที่ยงดังกังวานก้องไปทั่วอาณาบริเวณ นักเรียนชายกรูกันออกจากห้องเหมือนมดแตกรัง ส่วนนักเรียนหญิงบางกลุ่มหยิบแป้งกระป๋องยี่ห้อยอดนิยมออกมาผัดหน้าคุมความมันระหว่างวัน แต้มลิปสติกสีสันสดใสเสร็จค่อยทยอยพากันลงไป
“เมลลิน”
เจ้าของชื่อหมุนศีรษะหันไปตามเสียงเรียก ใบหน้าจิ้มลิ้มรับกับจมูกปลายเชิดทรงสวย เสริมให้อิริยาบถเหม่อลอยเมื่อครู่น่าชมราวกับนางเอกมิวสิกวิดีโอ
ในห้องเหลือเธอนั่งอยู่คนเดียว ไม่ใช่เพราะต้องแต่งหน้าทาแป้งเหมือนกับเพื่อนนักเรียนคนอื่น เพียงแต่เมื่อเข้าสู่ภวังค์ครุ่นคิดเกี่ยวกับเจ้าของโต๊ะที่ว่างเปล่าทีไร ก็มักจะปลงไม่ตกจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวทุกที
เมลลินถอนหายใจยาวค่อยจัดการพับเก็บหนังสือลงไปซุกไว้ใต้โต๊ะ จากนั้นเดินไปหาเด็กสาวหน้าตาน่ารักและเด็กหนุ่มส่วนสูงชะลูดท่วมศีรษะเธอ
พวกเขาทั้งสามเป็นเพื่อนกลุ่มก้อนเดียวกัน หากแต่อยู่กันคนละห้องด้วยเหตุผลบางอย่าง และแม้จะเป็นแบบนั้นก็ไม่ใช่ปัญหา พนัสกับฟองดาวไม่ได้ถือตัวว่าดีเลิศเช่นนักเรียนห้องคิงส่วนใหญ่ของโรงแห่งนี้ กลับปฏิบัติกับเมลลินดีจนใครต่อใครต่างก็อิจฉามิตรภาพแน่นเหนียวของพวกเขา
“มหาวิทยาลัยใกล้ปิดรอบโควต้าแล้วนะ อย่าบอกว่ายังไม่ยื่นเอกสารจนถึงตอนนี้ เมลคงไม่ได้รอเพื่อนคนนั้นอยู่หรอกใช่ไหม”
ฟองดาวถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกล้วนหาที่ทางไปต่อกันตั้งแต่เมื่อเทอมก่อน เกรดเฉลี่ยและผลงานสะสมด้านวิทยาศาสตร์ของเมลลินสามารถทำให้เธอชิงที่นั่งในรั้วมหาวิทยาลัยดังได้สบาย แต่จนป่านนี้คนยังไม่ยื่นใบสมัคร เก่งแค่ไหนก็มีสิทธิ์พลาดโอกาสดีๆ สูง
“เราจะยื่นอาทิตย์นี้แหละ” เมลลินตอบเสียงอ่อย ไม่สมกับนิสัยที่ตรงไปตรงมาของเธอ นั่นทำให้เพื่อนยิ่งร้อนรนแทน
“กับคนไม่สนใจอนาคตตัวเอง เมลเลิกให้ความสำคัญได้แล้ว สัญญาสิว่าจะยื่นใบสมัครภายในสัปดาห์นี้จริงๆ” พนัสวางมือลงบนไหล่ของเพื่อนสาวขอความชัดเจนอีกเสียง
สัมผัสจากฝ่ามือของเขาทำให้บริเวณไหล่ของเธออบอุ่น เมลลินสบตากับเด็กหนุ่มแวบหนึ่งจากนั้นรีบมองไปทางอื่นทันที สุดท้ายหาข้ออ้างมาบ่ายเบี่ยงไม่ได้จึงจำต้องพยักหน้าให้สัญญา ส่วนคนบางคน ไม่สมควรเสียเวลาเคี่ยวเข็ญจริงๆ
หลังออดคาบเรียนสุดท้ายดัง เมลลินปฏิเสธไปติวหนังสือกับเพื่อนแล้วนั่งรถรับส่งสองแถวของโรงเรียนตรงกลับบ้าน
เกือบจะถึงรั้วไม้แซมเครือตำลึงแดงปลั่งแนวยาว รถรับส่งคันเก่าชะลอเตรียมเบรก ทว่าล้อยังไม่หยุดหมุนดีเด็กสาวผมสลวยมัดโบว์กรมท่าก็กระโดดพรวดลงไป ร่างเพรียวบางโงนเงนหยุดทรงตัวบนถนนชั่วอึดใจหนึ่ง จากนั้นรีบสาวฝีเท้าฉับๆ ลัดเลาะผ่านสวนดอกไม้สีสันสดใสไปส่องหน้าต่างห้องของเพื่อนบ้าน
เมลลินอังมือป้องแสงแดดกวาดสายตาผ่านกระจกกั้นเข้าไปด้านใน ไล่ดูตั้งแต่เตียงนอนไปจนทั่วไม่เห็นเงาคนก็ก้าวขาข้ามรั้วสีขาวเตี้ยกลับไปยังเขตบ้านตัวเอง
เธอยัดกระเป๋าเรียนใส่ตะกร้าหน้ารถจักรยานแล้วปั่นไหลลงเนินลาดไป พอมาถึงสถานที่แห่งหนึ่งก็ปล่อยคว่ำทิ้งไว้ เวลานี้เด็กสาวใจร้อนเกินกว่าจะสนเรื่องขี้ปะติ๋วแล้ว
“อยู่นี่จริงด้วย ทำไมวันนี้ไม่ไปเรียน ใบสมัครมหาวิทยาลัยล่ะ เอาให้กรอกรายละเอียดตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว เสร็จหรือยัง”
“เพื่อนหรือเมีย บ่นอยู่ได้” เด็กหนุ่มน้ำเสียงเบื่อหน่าย แสงแดดอ่อนรำไรตกกระทบผืนน้ำอาบลงบนตัวเขา คิ้วดกเข้มรับกับดวงตาประกายหม่นวาว บุคลิกโดยรวมดูไม่ยินดียินร้ายกับความเป็นไปใดๆ
หากแต่พอฟังเด็กสาววัยใสเท้าสะเอวโก่งคอตะเบ็งเสียงบ่นซ้ำๆ ดวงตานิ่งเฉยคู่นั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นแฝงกลิ่นอายอ่อนโยน ท่าทียังคงรำคาญคล้ายไม่สนเธอ ทว่ามุมปากกดลงเป็นรอยยิ้มจางๆ รู้สึกดีใจที่จนป่านนี้แล้วยัยเต่าน้อยก็ไม่เคยล้มเลิกจะตะล่อมกล่อมให้เขาไปเรียนเมืองกรุงด้วย
เมลลินหย่อนตัวนั่งปุ๊กลงบนก้อนหินใหญ่ข้างเด็กหนุ่ม อารมณ์ขุ่นข้องทั้งหลายมลายสิ้น น้ำเสียงแข็งกระด้างปรับเปลี่ยนเป็นนุ่มหูน่าฟัง
“ก็สมควรบ่นปะ…ใบสมัครกรอกเสร็จยังจะไปส่งให้ อย่าขาดเรียนอีกไม่งั้นครูจะไม่ให้สอบ”
เด็กหนุ่มเด็ดไฟที่ปลายบุหรี่ หยิบก้อนหินขนาดเท่าไข่ไก่หนึ่งฟองขึ้นมาโยนลงไปในน้ำ “ก็ขาดมาเป็นเดือนแล้วไหมวะ กลับไปก็ไม่สิทธิ์สอบเหมือนเดิม เมลไปตั้งใจเรียนให้จบเถอะ ไม่ต้องมาเสียเวลากับคนไร้อนาคตอย่างเรา”
“เออ!…ก็ถ้าไม่ใช่เพื่อนกัน เมลไม่โผล่หน้ามาให้ปราบรำคาญหรอก ไร้อนาคตอะไร บอกแล้วไงว่าโควต้านักกีฬาไม่ต้องจ่ายค่าเทอม ปราบไปสอบสัมภาษณ์คัดตัวให้ผ่าน ระหว่างเรียนทำงานไปด้วยก็ได้แล้วนี่”
“มันง่ายขนาดนั้นจริงเหรอวะเมล เธอโลกสวยเกินไปเปล่า ตอนนี้แม่เราต้องใช้เงินผ่าตัดครึ่งล้าน พ่อก็ขี้เหล้าเมาไม่เว้นวันสร้างแต่หนี้ เธอจะให้เราเอาตัวรอดคนเดียวแล้วใครจะหาเงินรักษาแม่เราล่ะ”
เขาทราบว่าเธอหวังดี ไม่คลางแคลงสงสัยสักนิดเพราะตั้งแต่จำความได้จนทุกวันนี้ เมลลินก็คือเพื่อนที่ดีที่สุดของเขา
พวกเรามีบ้านอยู่ข้างกัน หน้าต่างห้องนอนตรงกัน ช่วงยังเรียนประถมเวลาพ่อเมาอาละวาด เด็กสาวมักจะแอบย่องข้ามรั้วมาเคาะหน้าต่างพาเขาหลบออกไปซ่อนตัวที่ห้องนอนเธอเสมอ ใส่ชั้นในครั้งแรกก็เอามาอวด แอบชอบไอ้หนุ่มหน้ามนคนไหนก็เล่าให้ฟัง ป้อมปราบจึงไม่ปิดบังพูดจาอ้อมค้อม ปัญหาของครอบครัวเขาเมลลินรู้เห็นตลอดอยู่แล้ว
“ถ้ามีเงินรักษาน้าปุ้ม ปราบจะไปเรียนต่อกับเราใช่ไหม”
ป้อมปราบไม่อยากรับปากส่งๆ จึงหยิบก้อนหินอีกก้อนมาขว้างลงน้ำเบี่ยงความสนใจ เมลลินเองยังคงไม่รามือยอมถอย ความเงียบของเพื่อนสนิทยามนี้ทำให้เธอนึกกลัว
อยากให้เขาไปเรียนต่อที่อื่นด้วยกัน เหตุผลหลักๆ ไม่ใช่เพราะมีแนวความคิดว่าใบปริญญาเท่านั้นที่จะทำให้คนมีคุณค่า แต่เป็นเพราะต้องการช่วยป้อมปราบให้เลิกยุ่งเกี่ยวทำงานผิดกฎหมายกับพวกเจ้าพ่ออิทธิพลเถื่อนในพื้นที่
ยิ่งน้าปุ้มล้มป่วย เธอยิ่งแน่ใจเลยว่าเขาจะหวนกลับไปเดินสายรับส่งของให้พวกมันอีก
การเจรจาหาข้อสรุปไม่ลงอย่างเคย พระอาทิตย์อัสดงใกล้ลับหลังภูเขาแล้ว ป้อมปราบจึงปั่นจักรยานพาเมลลินกลับบ้าน เขากรอกใบสมัครเรียนมหาวิทยาลัยตามใจเธอจนเสร็จ ประมาณห้าทุ่มของวันนั้นก็แต่งตัวกลมกลืนกับความมืดปีนออกทางหน้าต่างเงียบเชียบ
ไม่ให้แม่ที่พักรักษาตัวอยู่ห้องข้างๆ เห็น และไม่ให้แม่ทูนหัวอีกคนซึ่งขณะนี้ปิดไฟนอนไปแล้วรับรู้ด้วย
“ดึกดื่นป่านนี้จะไปไหนของเขา”
ไม่ออกประตูแต่ปีนหน้าต่าง ทำตัวน่าสงสัยเชียว เมลลินเงี่ยหูฟังว่านอกห้องนอนของเธอยังมีคนอยู่หรือเปล่า ครั้นได้ยินเสียงบิดาก่นด่านักมวยในโทรทัศน์จึงได้จัดเตียงวางหมอนข้างให้เหมือนว่าเธอยังนอนอยู่ใต้ผ้าห่ม
สามสิบนาทีต่อมาที่บ้านร้างชั้นเดียวลึกเข้าไปในป่าท้ายหมู่บ้าน เมื่อมองจากด้านนอกจะเห็นรถกระบะสีมะเมื่อมคันหนึ่งจอดนิ่งอยู่ แสงสว่างเล็ดรอดออกมาจากสิ่งปลูกสร้างบ่งบอกว่าด้านในมีคนมากกว่าสองคนกำลังทำบางอย่าง เมลลินสอดส่ายสายตาระวัง ซ่อนจักรยานไว้ข้างถนนป่ารกชัฏ แล้วดึงหมวกฮูดด้านหลังขึ้นมาคลุมปิดศีรษะเอาไว้
เด็กสาวลัดเลาะอำพรางตามเงามืดเข้าไปใกล้ ฟังว่าขณะนี้พวกคนข้างในกำลังคุยธุระอะไรกัน
“ถ้ารอบนี้ส่งของราบรื่นไม่มีปัญหา เสี่ยฝากมาบอกว่าค่ารักษาพยาบาลแม่เอ็ง เสี่ยจะช่วยทั้งหมด”
ป้อมปราบชะงักมือที่กำลังตรวจเช็คสินค้าผิดกฎหมาย ไม่ได้กล่าวอะไรตอบเพราะทราบดีว่าอีกฝ่ายยังพูดไม่จบ
“หลังจากนั้นเอ็งต้องมาทำงานให้เสี่ยเต็มตัว เสี่ยประทับใจที่โดนจับคราวที่แล้วเอ็งไม่ซัดทอดถึงเสี่ย”
เด็กหนุ่มในหมู่บ้านส่งของให้พวกเขาสิบกว่าคน พอโดนตำรวจลงจับไปสอบก็ใจเสาะสารภาพหมด ป้อมปราบเป็นเพียงคนเดียวที่ปากแข็งไม่ยอมรับ ต่อให้ถูกซ้อมตอนสอบปากคำหนักแทบตายก็ทนจนวินาทีสุดท้าย
เดิมพวกเขาคิดว่าเด็กหนุ่มไม่รอดแน่ ทว่าเวลาต่อมากลับถูกปล่อยตัวเนื่องจากหลักฐานไม่เพียงพอ ภายหลังมีการติดต่อเข้ามาขอทำงานอีกครั้งเจ้านายใหญ่จึงมอบโอกาสนี้ให้พิสูจน์ตัวเอง
“บอกเสี่ยว่าขอบคุณ”
ป้อมปราบน้ำเสียงเยียบเย็นไม่ได้แสดงออกว่ายินดี บางทีลึกๆ แล้วเขาคงอยากละทิ้งชีวิตแบบนี้แล้วหนีไปเรียนกับเด็กสาวตาหวานมากกว่า แต่ไม่ได้ แม่คือผู้หญิงอีกคนที่สำคัญกับเขา จะปล่อยให้ท่านเป็นอะไรไปไม่ได้เด็ดขาด
“โอ๊ย!”
“ลูกพี่ผมได้ของดีมาฝาก” ชายหน้าบากแววตากระหายหื่นผลักผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาด้านใน หล่อนมีใบหน้าสะสวยไร้เดียงสา ดูนุ่มขาวราวกับกระต่ายตัวน้อย ทว่าไม่ได้อ่อนแอเปราะบางอย่างรูปลักษณ์ กลับกระด้างกระเดื่องจะโต้กลับ ทำให้ชายโฉดสามคนด้านในชอบใจไม่น้อย
“อู้ว!…ลมอะไรหอบมาจ๊ะคนสวย ไอ้หน่องมึงเบามือกับน้องเมลลินของกูหน่อย เดี๋ยวจะช้ำก่อน” หัวหน้าใหญ่สุดเดินมาหาเมลลินพร้อมรอยยิ้มสื่อเจตนาไม่ดี มือหยาบสากยื่นไปหวังสัมผัสแก้มของเธอ แต่ไม่ทันได้ทำก็มีคนมาหยุดไว้
เมลลินถอยไปหลบอยู่ข้างหลังเขา นิ้วมือเกาะเสื้อคนที่ปกป้องไว้แน่น และใช่…เธอถูกจับได้ ไม่น่าประมาทเลย
“พี่รู้จักพ่อครูเฉลิมนี่ เสี่ยเอาเด็กมาเรียนมวยกับครูเฉลิม ทางที่ดีอย่ายุ่งกับเธอ”
“ฮึ!…แล้วไงวะ ถ้าน้องเมลลินเป็นเมียกูตอนนี้ ครูเฉลิมกลายเป็นพ่อตาก็คงไม่พูดมาก มึงหลบไปดีกว่าไอ้ปราบ ไม่งั้นอย่าหาว่ากูไม่เตือน”
“ก็ลองดู” ป้อมปราบเปลี่ยนไปจากก่อนหน้าสิ้นเชิง เขาค่อนข้างนิยมสันติไม่ชกต่อยกับใครง่ายๆ แต่หากเป็นเรื่องของคนที่เขารัก ต่อให้ต้องเผชิญกับความตายก็ไม่รู้สึกกลัว
สามชายโฉดมองหน้ากันไปมา ประเมินแล้วป้อมปราบน่าจะไม่ยอมถอยก็จำต้องใคร่ครวญให้ดี อายุเด็กหนุ่มแค่นี้แต่เป็นถึงศิษย์เอกของยอดครูมวยเฉลิม ทั้งเสี่ยก็อยากให้มาทำงานด้วย แลกกันสุดทางย่อมได้ไม่คุ้มเสียพวกเขา
ป้อมปราบพาเมลลินกลับไปส่งที่บ้านก่อนค่อยไปทำงานตามคำสั่ง เด็กสาวเหนี่ยวรั้งดึงตัวเขาเอาไว้ ไม่ว่ายังไงก็ไม่ยอมให้ไปไหนเด็ดขาด
“เมล เธอรู้ว่าเราทำไปเพราะอะไร ขอล่ะ อย่าห้าม”
ใช่สิ เธอย่อมรู้ว่ายังไงป้อมปราบก็ไม่มีทางหยุด เด็กสาวอดกลั้นยอมปล่อยมือ กล่าวด้วยน้ำเสียงเจือสะอื้นเบาๆ
“แค่ครั้งนี้เท่านั้นนะปราบ ต่อไปค่ารักษาน้าปุ้มเราจะช่วยปราบเอง อย่าด่วนตัดสินใจทำเรื่องสิ้นคิด ห้ามปฏิเสธเรา ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องมาเป็นเพื่อนกันอีก”