บทที่ 6
ตอนแรกก็คิดว่าเธอเสแสร้งแกล้งทำดีกับบิดา แต่มันไม่ใช่ สายตาของเธอไม่ได้แสดงความหงุดหงิดน่ารำคาญ แต่มันเปล่งประกายสุกสกาวเหมือนตากวาง มีรอยยิ้มอยู่ในแววตาตลอดเวลา
“พี ลูกไปเที่ยวอังกฤษสักครั้งดีไหม จะได้ไปดูกิจการของเมียด้วยไง” ประมาณเอ่ยกับลูกชายหลังจากสั่งอาหารไปเรียบร้อยแล้ว
“ผมไม่ชอบนั่งเครื่องบินนาน ๆ คุณพ่อก็รู้ เอาไว้ถ้ามีงานทางนั้น เราค่อยถือโอกาสแวะไปดูกิจการของหนูเล็กก็ได้นี่ครับ”
“กิจการของเมียก็เหมือนกิจการของผัวนั่นแหละ”
“ของเขาก็ของเขาสิครับ จะเป็นของผมได้ยังไง”
“ผัวเมียก็เหมือนคนคนเดียวกัน แกควรไปดูกิจการของเมียแกบ้าง ดูแล้วไม่ดีหรือควรปรับเสริมอะไรก็ได้แนะนำกันไง”
“ผมไม่ถนัดงานด้านนั้นหรอกครับคุณพ่อ” เธอออกแบบชุดชั้นในและชุดนอนของสตรีบิดาเขาลืมไปหรือเปล่า
“ก็ควรศึกษาไว้บ้างสิ” ไอ้ลูกชายคนนี้มันเคยเป็นคนฉลาดหลักแหลมมาก แต่วันนี้ทำไมมันถึงโง่นักนะ ไม่เข้าใจสิ่งที่เขาต้องการสื่อเลยหรือไง เขาก็แค่อยากให้มันมีเวลาอยู่กับเมียให้มากขึ้น จะได้มีหลานให้เขาเชยชมสักคนสองคนเร็ว ๆ
“อาหารมาแล้วค่ะ.. ทอดมันค่ะคุณพ่อ” สุทธิดาตักทอดมันใส่จานของพ่อสามีอย่างเอาใจ เมื่อเห็นท่านมองลูกชายอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์
“ขอบใจจ้ะหนู” ประมาณหันไปคุยกับลูกสะใภ้แทนลูกชาย มีความสุขกับการใส่ใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเธอ
“บอสคะ..”
ทุกคนที่กำลังนั่งรับประทานอาหาร สลับกับการพูดคุยอยู่ในซุ้มส่วนตัว หันไปทางต้นเสียง
“อ้าว! บังเอิญจังนะต่าย” ปฐพีทักเลขาของตัวเองที่ยกมือไหว้
“ค่ะ” นันทวันรับคำ แล้วไหว้บุรุษสูงวัยที่เป็นประธานใหญ่และภรรยาของบอส
“เลขาของผมเอง” บอกกับภรรยา
“อ๋อ มาทานข้าวเหรอคะ” สุทธิดาถามเลขาสาววัยประมาณสามสิบกลาง ๆ
“ค่ะ”
“แล้วมาคนเดียวเหรอคะ”
“มากับน้องสาวแล้วก็เพื่อน ๆ ของเธอค่ะ พวกเรานั่งอยู่ซุ้มท้ายสุด ต่ายผ่านมาเข้าห้องน้ำ เห็นบอสนั่งอยู่ก็เลยแวะมาทักทายค่ะ”
คำว่าเพื่อน ๆ ทำให้เขาหูผึ่ง เผลอมองไปที่ซุ้มสุดท้ายซึ่งห่างกันประมาณห้าซุ้ม.. รู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจที่ไม่รู้จักใครสักคน
“ต่ายไปก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ” นันทวันยกมือไหว้ลาทุกคนแล้วเดินจากไป
หลังจากที่เลขาสาวเดินจากไปแล้ว พวกเขาทั้งสามก็กลับมาสนใจอาหารบนโต๊ะกับเรื่องที่คุยค้างกันไว้ต่อ
ผ่านไปสักพักใหญ่ ๆ สุทธิดาก็รู้สึกเหมือนกำลังถูกจ้องมอง สัญชาตญาณทำให้เธอกวาดสายตาไปยังด้านนั้น.. เห็นหญิงสาวคนหนึ่งมองอยู่จริง ๆ ก่อนที่ฝ่ายนั้นจะเมินหน้าหนีและเดินจากไป..
ใครกัน ทำไมมองเหมือนไม่พอใจแบบนั้น
“มีอะไรเหรอ” สามีเห็นอาการของภรรยาก็ถามด้วยความสงสัยและมองตามบ้าง
“เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร”
“อยากได้ของหวานหรือเปล่า ลอดช่องวัดเจษไหม”
“ไม่ดีกว่าค่ะคุณพี ตอนนี้หนูเล็กอิ่มมากเลย”
“ถ้าอิ่มกันหมดแล้วก็เรียกคิดเงินเลยสิ ลูกสองคนจะได้กลับไปพักผ่อน ทำงานเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”
“ครับคุณพ่อ” ปฐพีหันไปบอกเด็กเสิร์ฟที่เดินมาพอดี
ไม่ถึงสิบนาทีก็พากันเดินออกจากร้านอาหาร
“หนูเล็กขอเข้าห้องน้ำก่อนนะคะคุณพี” สุทธิดาบอกกับสามีในนามที่โอบเอวเธอตลอดทางเดิน
“ผมพาไปนะ” ชายหนุ่มเสนอตัวและตั้งใจจะส่งเธอถึงหน้าทางเข้าห้องน้ำด้วยความเป็นห่วง
“ไม่ต้องหรอกค่ะ รออยู่ตรงนี้ก็พอ หนูเล็กช่วยตัวเองได้” เธอปฏิเสธแล้วเดินจากไป
ภายในห้องน้ำหญิง
สุทธิดาใจหายวาบเมื่อเปิดประตูออกมาจากห้องน้ำ แล้วเห็นผู้หญิงที่แอบมองเธอก่อนหน้านี้กำลังจ้องหน้าใส่ เธอหลบสายตาไม่พอใจของหล่อนแล้วเดินผ่านไปโดยไม่ยอมล้างมือ
“ไม่ต้องกลัวฉันหรอกค่ะคุณผู้หญิง”
เสียงกังวานขุ่นเคืองที่ดังตามหลังทำให้สุทธิดาหยุดเดินและหันกลับไปมอง.. หล่อนเรียกเธอว่าคุณผู้หญิง แสดงว่าหล่อนเป็นพนักงานของบริษัทสามีสินะ แล้วสายตาไม่เป็นมิตรนั้นคืออะไร หรือว่า..
“คุณรู้จักฉันเหรอคะ” ถามในระยะที่ทิ้งห่างพอให้วิ่งหนีทัน ถ้าเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น
นันทพรมองสตรีแสนสวยไร้ที่ติด้วยความขมขื่น.. ตอนที่ได้ยินจากพี่สาว ว่าเจอเจ้านายพาภรรยามากินข้าวที่นี่ เธอก็ร้อนรุ่มไปทั้งหัวใจ อยากจะเห็นหน้าภรรยาของเขาจนต้องแอบซุ่มดู
หลังจากนั้นก็บังเอิญเห็นหล่อนกำลังเดินมาเข้าห้องน้ำ ตนซึ่งกำลังจะเดินออกจากห้องน้ำจึงรีบเดินกลับเข้ามาอีกรอบ
“ชีวิตแต่งงานมีความสุขดีไหมคะคุณผู้หญิง ท่านอยู่ในกรอบดีไหมคะ”
คิ้วเรียวเริ่มขมวดเข้าหากัน เพ่งมองอีกฝ่ายอย่างพิจารณามากขึ้น มั่นใจว่าสิ่งที่ตนสงสัยเป็นจริงถึงแปดในสิบส่วน
“คุณเป็นผู้หญิงของคุณพีเหรอคะ”
“คุณแต่งงานกับท่าน รักกันหรือว่าจำใจคะ”
คำถามที่ได้ยินทำให้สุทธิดาเกือบจะหัวเราะออกมา แต่เธอจับมือเป็นพันธมิตรกับปฐพีแล้ว ตกลงกันว่าจะกำความลับของกันและกันเอาไว้ ดังนั้นเรื่องราวเหล่านี้มันควรเป็นหน้าที่ของเขา ในการอธิบายให้คนของเขาเข้าใจ
ส่วนเธอก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีไม่มีขาดตก ไม่ได้มีหน้าที่ต้องอธิบายให้หล่อนเข้าใจ
“คุณสงสัยอะไร ทำไมไม่ถามกับเจ้าตัวเขาเองล่ะ..” แต่อีกฝ่ายกลับยืนนิ่งน้ำตาคลอ “อย่าเสียใจไปเลยค่ะ คุณยังสาวแล้วก็สวยด้วย ยังมีโอกาสจะได้เจอผู้ชายอีกหลายคน ลืมสามีชาวบ้านเสียเถอะนะคะ” เห็นน้ำตาที่คลอเบ้าไม่ใช่ว่าไม่สงสาร แต่จะให้ปลอบใจก็คงทำไม่ได้ เพราะเธออยู่ในสถานะเมียของผู้ชายที่หล่อนรัก จึงพูดเท่าที่จะพูดได้แล้วรีบเดินออกไป