6

1099 Words
บทที่ 6 ตอนแรกก็คิดว่าเธอเสแสร้งแกล้งทำดีกับบิดา แต่มันไม่ใช่ สายตาของเธอไม่ได้แสดงความหงุดหงิดน่ารำคาญ แต่มันเปล่งประกายสุกสกาวเหมือนตากวาง มีรอยยิ้มอยู่ในแววตาตลอดเวลา “พี ลูกไปเที่ยวอังกฤษสักครั้งดีไหม จะได้ไปดูกิจการของเมียด้วยไง” ประมาณเอ่ยกับลูกชายหลังจากสั่งอาหารไปเรียบร้อยแล้ว “ผมไม่ชอบนั่งเครื่องบินนาน ๆ คุณพ่อก็รู้ เอาไว้ถ้ามีงานทางนั้น เราค่อยถือโอกาสแวะไปดูกิจการของหนูเล็กก็ได้นี่ครับ” “กิจการของเมียก็เหมือนกิจการของผัวนั่นแหละ” “ของเขาก็ของเขาสิครับ จะเป็นของผมได้ยังไง” “ผัวเมียก็เหมือนคนคนเดียวกัน แกควรไปดูกิจการของเมียแกบ้าง ดูแล้วไม่ดีหรือควรปรับเสริมอะไรก็ได้แนะนำกันไง” “ผมไม่ถนัดงานด้านนั้นหรอกครับคุณพ่อ” เธอออกแบบชุดชั้นในและชุดนอนของสตรีบิดาเขาลืมไปหรือเปล่า “ก็ควรศึกษาไว้บ้างสิ” ไอ้ลูกชายคนนี้มันเคยเป็นคนฉลาดหลักแหลมมาก แต่วันนี้ทำไมมันถึงโง่นักนะ ไม่เข้าใจสิ่งที่เขาต้องการสื่อเลยหรือไง เขาก็แค่อยากให้มันมีเวลาอยู่กับเมียให้มากขึ้น จะได้มีหลานให้เขาเชยชมสักคนสองคนเร็ว ๆ “อาหารมาแล้วค่ะ.. ทอดมันค่ะคุณพ่อ” สุทธิดาตักทอดมันใส่จานของพ่อสามีอย่างเอาใจ เมื่อเห็นท่านมองลูกชายอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ “ขอบใจจ้ะหนู” ประมาณหันไปคุยกับลูกสะใภ้แทนลูกชาย มีความสุขกับการใส่ใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเธอ “บอสคะ..” ทุกคนที่กำลังนั่งรับประทานอาหาร สลับกับการพูดคุยอยู่ในซุ้มส่วนตัว หันไปทางต้นเสียง “อ้าว! บังเอิญจังนะต่าย” ปฐพีทักเลขาของตัวเองที่ยกมือไหว้ “ค่ะ” นันทวันรับคำ แล้วไหว้บุรุษสูงวัยที่เป็นประธานใหญ่และภรรยาของบอส “เลขาของผมเอง” บอกกับภรรยา “อ๋อ มาทานข้าวเหรอคะ” สุทธิดาถามเลขาสาววัยประมาณสามสิบกลาง ๆ “ค่ะ” “แล้วมาคนเดียวเหรอคะ” “มากับน้องสาวแล้วก็เพื่อน ๆ ของเธอค่ะ พวกเรานั่งอยู่ซุ้มท้ายสุด ต่ายผ่านมาเข้าห้องน้ำ เห็นบอสนั่งอยู่ก็เลยแวะมาทักทายค่ะ” คำว่าเพื่อน ๆ ทำให้เขาหูผึ่ง เผลอมองไปที่ซุ้มสุดท้ายซึ่งห่างกันประมาณห้าซุ้ม.. รู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจที่ไม่รู้จักใครสักคน “ต่ายไปก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ” นันทวันยกมือไหว้ลาทุกคนแล้วเดินจากไป หลังจากที่เลขาสาวเดินจากไปแล้ว พวกเขาทั้งสามก็กลับมาสนใจอาหารบนโต๊ะกับเรื่องที่คุยค้างกันไว้ต่อ ผ่านไปสักพักใหญ่ ๆ สุทธิดาก็รู้สึกเหมือนกำลังถูกจ้องมอง สัญชาตญาณทำให้เธอกวาดสายตาไปยังด้านนั้น.. เห็นหญิงสาวคนหนึ่งมองอยู่จริง ๆ ก่อนที่ฝ่ายนั้นจะเมินหน้าหนีและเดินจากไป.. ใครกัน ทำไมมองเหมือนไม่พอใจแบบนั้น “มีอะไรเหรอ” สามีเห็นอาการของภรรยาก็ถามด้วยความสงสัยและมองตามบ้าง “เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร” “อยากได้ของหวานหรือเปล่า ลอดช่องวัดเจษไหม” “ไม่ดีกว่าค่ะคุณพี ตอนนี้หนูเล็กอิ่มมากเลย” “ถ้าอิ่มกันหมดแล้วก็เรียกคิดเงินเลยสิ ลูกสองคนจะได้กลับไปพักผ่อน ทำงานเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว” “ครับคุณพ่อ” ปฐพีหันไปบอกเด็กเสิร์ฟที่เดินมาพอดี ไม่ถึงสิบนาทีก็พากันเดินออกจากร้านอาหาร “หนูเล็กขอเข้าห้องน้ำก่อนนะคะคุณพี” สุทธิดาบอกกับสามีในนามที่โอบเอวเธอตลอดทางเดิน “ผมพาไปนะ” ชายหนุ่มเสนอตัวและตั้งใจจะส่งเธอถึงหน้าทางเข้าห้องน้ำด้วยความเป็นห่วง “ไม่ต้องหรอกค่ะ รออยู่ตรงนี้ก็พอ หนูเล็กช่วยตัวเองได้” เธอปฏิเสธแล้วเดินจากไป ภายในห้องน้ำหญิง สุทธิดาใจหายวาบเมื่อเปิดประตูออกมาจากห้องน้ำ แล้วเห็นผู้หญิงที่แอบมองเธอก่อนหน้านี้กำลังจ้องหน้าใส่ เธอหลบสายตาไม่พอใจของหล่อนแล้วเดินผ่านไปโดยไม่ยอมล้างมือ “ไม่ต้องกลัวฉันหรอกค่ะคุณผู้หญิง” เสียงกังวานขุ่นเคืองที่ดังตามหลังทำให้สุทธิดาหยุดเดินและหันกลับไปมอง.. หล่อนเรียกเธอว่าคุณผู้หญิง แสดงว่าหล่อนเป็นพนักงานของบริษัทสามีสินะ แล้วสายตาไม่เป็นมิตรนั้นคืออะไร หรือว่า.. “คุณรู้จักฉันเหรอคะ” ถามในระยะที่ทิ้งห่างพอให้วิ่งหนีทัน ถ้าเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น นันทพรมองสตรีแสนสวยไร้ที่ติด้วยความขมขื่น.. ตอนที่ได้ยินจากพี่สาว ว่าเจอเจ้านายพาภรรยามากินข้าวที่นี่ เธอก็ร้อนรุ่มไปทั้งหัวใจ อยากจะเห็นหน้าภรรยาของเขาจนต้องแอบซุ่มดู หลังจากนั้นก็บังเอิญเห็นหล่อนกำลังเดินมาเข้าห้องน้ำ ตนซึ่งกำลังจะเดินออกจากห้องน้ำจึงรีบเดินกลับเข้ามาอีกรอบ “ชีวิตแต่งงานมีความสุขดีไหมคะคุณผู้หญิง ท่านอยู่ในกรอบดีไหมคะ” คิ้วเรียวเริ่มขมวดเข้าหากัน เพ่งมองอีกฝ่ายอย่างพิจารณามากขึ้น มั่นใจว่าสิ่งที่ตนสงสัยเป็นจริงถึงแปดในสิบส่วน “คุณเป็นผู้หญิงของคุณพีเหรอคะ” “คุณแต่งงานกับท่าน รักกันหรือว่าจำใจคะ” คำถามที่ได้ยินทำให้สุทธิดาเกือบจะหัวเราะออกมา แต่เธอจับมือเป็นพันธมิตรกับปฐพีแล้ว ตกลงกันว่าจะกำความลับของกันและกันเอาไว้ ดังนั้นเรื่องราวเหล่านี้มันควรเป็นหน้าที่ของเขา ในการอธิบายให้คนของเขาเข้าใจ ส่วนเธอก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีไม่มีขาดตก ไม่ได้มีหน้าที่ต้องอธิบายให้หล่อนเข้าใจ “คุณสงสัยอะไร ทำไมไม่ถามกับเจ้าตัวเขาเองล่ะ..” แต่อีกฝ่ายกลับยืนนิ่งน้ำตาคลอ “อย่าเสียใจไปเลยค่ะ คุณยังสาวแล้วก็สวยด้วย ยังมีโอกาสจะได้เจอผู้ชายอีกหลายคน ลืมสามีชาวบ้านเสียเถอะนะคะ” เห็นน้ำตาที่คลอเบ้าไม่ใช่ว่าไม่สงสาร แต่จะให้ปลอบใจก็คงทำไม่ได้ เพราะเธออยู่ในสถานะเมียของผู้ชายที่หล่อนรัก จึงพูดเท่าที่จะพูดได้แล้วรีบเดินออกไป
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD