ตอนที่ 2
จือหลินตื่นแต่เช้าก่อนจะเดินทางไปทำงาน วันนี้อากาศร้อนอบอ้าวแต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ต้องใส่เสื้อคลุมที่บริษัทมอบให้ หญิงสาวปั่นจักรยานไปตามทางสูดดมกลิ่นควันมลพิษจนรู้สึกเวียนหัว แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ต้องรีบไปรับอาหารให้ทันเวลา เพราะหากช้ากว่านี้จะทำให้อาหารเย็นชืดและอาจถูกลูกค้าต่อว่าเอาได้
ทำงานวันแรกเธอก็เจออุปสรรคหลายอย่าง ถูกรถมอเตอร์ไซค์เฉี่ยวจนเกือบล้ม ทั้งคนที่เฉี่ยวชนยังหันมาตะโกนด่าเธออีก หญิงสาวรู้สึกอายเป็นอย่างมากแต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ทำได้แค่ตั้งหน้าตั้งตาปั่นจักรยานเพื่อตรงไปรับอาหารอีกที่หนึ่ง
จือหลินนำอาหารมาส่งที่บ้านหลังใหญ่ คนที่ออกมารับอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธอ อีกฝ่ายดูท่าทางจะเป็นลูกคนมีเงินถึงได้ใช้สายตาเหยียดหยามดูแคลน ทั้งยังยิ้มเยาะใส่เธออีกต่างหาก
แต่จือหลินก็ไม่ได้ใส่ใจ แม้อีกฝ่ายจะมีชีวิตที่ดีกว่าเธอมาก มากจนสามารถดูถูกคนที่ด้อยกว่าได้ แต่หากไม่มีคุณธรรมก็ไม่มีประโยชน์ เพราะเงินไม่สามารถซื้อคุณธรรมได้
หญิงสาวเดินทางไปรับอาหารซึ่งอยู่ห่างจากจุดที่เธออยู่ประมาณ 3 กิโล แต่เส้นทางค่อนข้างขรุขระอันตราย เนื่องจากตรงนี้เป็นถนนใหญ่และมีการทำทางก่อสร้าง ทำให้เธอนั้นต้องคอยขับขี่อย่างระมัดระวังส่งผลให้ไปรับอาหารช้ากว่าเวลาเดิมประมาณสามนาที
“มารับอาหารช้าจริง ๆ มัวแต่ทำอะไรอยู่”
เจ้าของร้านตวาดใส่ เนื่องจากอาหารร้านเธอเป็นของทอดหากนำส่งถึงมือลูกค้าช้าอาจจะทำให้เย็นชืดไม่อร่อย เธอรู้สึกโมโหเป็นอย่างมากจึงได้โทรไปรายงานที่บริษัทของหญิงสาว
“ขอโทษค่ะ เส้นทางมาที่นี่มีงานก่อสร้างทำถนน ฉันต้องระวังมากเป็นพิเศษเลยล่าช้าค่ะ”
เธอเหนื่อยเกินกว่าที่จะแก้ตัวหรืออธิบายให้ใครเข้าใจในเหตุผล ทุกคนต่างเห็นแก่ตัวไม่มีใครสนใจหรอกว่าใครจะเป็นยังไง ขอเพียงแค่ตัวเองได้รับผลประโยชน์ที่ดีก็พอ
"เหอะ! ทำงานล่าช้ายังไงฉันก็จะโทรร้องเรียน ถึงจะมีเหตุผลก็อย่าคิดว่าจะรอด"
หลังจากที่เดินทางไปส่งอาหารได้ไม่นานก็ถูกบริษัทโทรมาต่อว่า หญิงสาวท้อมากเธอจูงจักรยานมานั่งอยู่ในสวนสาธารณะ ก่อนจะเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า แม้จะเหนื่อยจนแทบขาดใจแต่เธอก็ไม่คิดอยากไปจากโลกใบนี้เลยสักครั้ง
เธอยังคงมีความหวังว่าสักวันชีวิตจะต้องดีขึ้น แม้ว่าความหวังนั้นมันจะดูริบหรี่มากก็ตาม
หลังจากนั่งพักจนหายเหนื่อยหญิงสาวก็ซื้อซาลาเปา 1 ลูกเพื่อรองท้อง ก่อนที่เธอจะปั่นจักรยานเพื่อไปส่งอาหารต่อ จนเมื่อฝาเริ่มมืดเธอก็รีบนำจักรยานและเสื้อคลุมไปคืนที่บริษัท ก่อนจะเดินทางไปทำงานที่ร้านหม่าล่าต่อ
แต่พอฝนตกหนักทำให้เธอนั้นต้องเข้าไปหลบใต้หลังคา และเข้างานช้ากว่าเดิมประมาณ 10 นาที ทำให้เธอถูกเจ้าของร้านต่อว่ารุนแรง แม้ว่าเธอจะอุตส่าห์ฝ่าฝนมาทำงานแต่เขาก็ไม่ได้เห็นใจ ยังคงตำหนิติเตียนหาว่าเธอนั้นมัวแต่สนใจเรื่องไร้สาระจนมาทำงานไม่ทัน
หญิงสาวพยายามอดทน เธอรู้สึกคล้ายกับว่าจะเป็นลมทั้งยังปวดท้องเป็นอย่างมาก ถึงได้ขออีกฝ่ายไปเข้าห้องน้ำ แต่เจ้าของร้านกลับไม่อนุญาต ทั้งยังบังคับให้หญิงสาวนั่งล้างจานกองโตจนเสร็จสิ้น
“จะไปไหน”
หญิงวัยกลางคนตวาดถาม เมื่อเห็นว่าจือหลินนั้นกำลังจะลุกออกไป หญิงสาวขอตัวไปเข้าห้องน้ำอีกครั้งเพราะรู้สึกว่าไม่ไหว เธอต้องการที่จะล้างหน้าและถ่ายหนัก แต่เจ้าของร้านก็ยังไม่ยอมอนุญาตให้เธอไปเสียที เพราะกลัวว่าหญิงสาวจะหนีกลับบ้านไม่ยอมทำงาน ในวันนี้มีคนมาช่วย 2 คนเท่านั้น แต่ทุกคนก็งานล้นมือคงไม่มีใครว่างพอที่จะล้างจานให้ได้
“ไม่ได้ ๆ ”
“แต่ฉันไม่ไหวจริง ๆ ”
หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง หน้าเธอซีดมากคล้ายกับไม่มีเลือด แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครสนใจ ทุกคนบีบบังคับให้เธอนั่งทำงานต่อไป จานกองใหม่ถูกวางลงในกะละมัง จือหลินไม่มีทางเลือกหากเธอถูกไล่ออกอีกก็ต้องไปหางานใหม่ งานช่วงเย็นไม่ใช่ว่าจะหาได้ง่าย ๆ เธอจึงจำต้องเชื่อฟังอีกฝ่ายเพราะไม่อย่างนั้นอาจถูกไล่ออก
หญิงสาวชุดนั่งลงช้าๆ ก่อนจะฝืนล้างจานไปเรื่อย ๆ เธอปวดท้องจนแทบทนไม่ไหวได้แต่นั่งงอตัวอยู่อย่างนั้น แต่แล้วเธอก็รู้สึกแขนขาอ่อนแรงขึ้นมา หญิงสาวปล่อยจานจนร่วงหล่นพื้นแตก ก่อนที่เธอนั้นจะล้มลงไปนอนกองอยู่กับพื้น ท่ามกลางความตกใจของทุกคน
จือหลินถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล แต่หลังจากที่ทุกคนพาเธอมาถึงที่โรงพยาบาลแล้วก็กลับไปทันที หญิงสาวกลายเป็นผู้ป่วยไม่มีญาติ ไม่มีใครเซ็นให้เธอผ่าตัดได้ ทำให้หมอนั้นต้องรักษาไปตามอาการก่อน และพาเธอไปที่ห้องพักฟื้น
หญิงสาวตื่นขึ้นมาท่ามกลางความงุนงง เธอมองไปรอบๆ ก่อนจะเห็นว่าตอนนี้เธอนั้นอยู่ที่โรงพยาบาล ทั้งยังอยู่ในห้องรวมที่เต็มไปด้วยคนป่วยมากมาย ห้องนี้คับแคบจนดูแออัด ญาติผู้ป่วยก็นอนระเกะระกะเต็มพื้น ทั้งยังมีเสียงพยาบาลบ่นอยู่ตลอดเวลาเนื่องจากว่าไม่สามารถแทรกตัวเข้าไปเพื่อตรวจอาการของคนป่วยที่นอนอยู่บนเตียงได้
หญิงสาวหลับตาลงด้วยความอ่อนเพลียก่อนจะเผลอหลับไปอีกครั้ง
หลังจากนั้นไม่นานเธอก็ตื่นขึ้นมากลางดึก จือหลินเดินเข้าห้องน้ำในขณะที่มือกุมท้องอยู่ตลอดเวลา เธอรู้สึกปวดท้องมากจนแทบทนไม่ไหว คล้ายกับว่าไส้กำลังจะหลุดลงมา
หญิงสาวล้างหน้าล้างตา ก่อนที่พยาบาลจะนำชุดคนไข้เก่าๆ มาให้เปลี่ยน หญิงสาวสังเกตเห็นว่ามีเลือดเปรอะเปื้อนเต็มกางเกงเธอ แต่ก็คิดว่าเป็นประจำเดือนเลยไม่ได้สนใจอะไร เธอขอผ้าอนามัยจากพยาบาลก่อนจะรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า
หญิงสาวนอนพักรักษาตัวอยู่โรงพยาบาล แต่เธอก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรทำไมหมอถึงไม่อนุญาตให้กลับบ้านเสียที หญิงสาวนั่ง ๆ นอน ๆ ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปไหน
จนเมื่อถึงเวลาช่วงเย็น หมอก็เดินเข้ามาหาเธอโดยสีหน้าที่ดูเคร่งเครียด เขามองหญิงสาวนิ่งก่อนที่จะเปิดแฟ้มดู
“คุณเป็นมะเร็งลำไส้นะ”
"..."
หญิงสาวรู้สึกเหมือนโลกถล่มเมื่อได้ยินแบบนั้น ที่เธอปวดท้องมานานหลายปีรวมทั้งมีเลือดออกทุกครั้งหลังถ่ายหนัก เป็นอาการของโรคมะเร็งงั้นเหรอ
จือหลินร้องไห้ไม่ออก หัวใจของเธอเหมือนถูกแช่แข็งเอาไว้ หญิงสาวรู้สึกมืดมนกว่าทุกวันที่ผ่านมา เธอไม่รู้ว่าหมอพูดอะไรหลังจากนั้นเพราะจับใจความไม่ได้เลย
“คุณต้องผ่าตัดแต่ก็ต้องหาญาติมาเซ็น”
หมอวัยกลางคนกล่าว นั่นเป็นประโยคเดียวที่หญิงสาวมีสติรับฟัง เจอหลินรู้สึกหมดอาลัยตายอยากในชีวิต เธอพยายามเค้นเสียงเพื่อถามหมอ
“ฉันจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหนคะ”
หมอวัยกลางคนมีสีหน้าเคร่งเครียดมากกว่าเดิมเมื่อได้ยินแบบนั้น เขาถอนหายใจก่อนจะเอ่ยตอบ
“คุณเป็นมานานหลายปีแล้ว มันลุกลามจนแทบจะรักษาไม่ได้ ผมคงรักษาได้ตามอาการเท่านั้น คุณเหลือเวลาไม่ถึง 3 เดือน ทว่าก็ต้องขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองของคุณด้วย”
คุณหมอพยายามชี้แจง แต่สิ่งที่หญิงสาวได้ยินคือเธอนั้นกำลังจะตาย และมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน
หญิงสาวต้องทานยาอย่างต่อเนื่อง และเข้ารับการรักษาฉายแสง เธอไม่สามารถผ่าตัดได้เพราะไม่มีญาติมาเซ็นรับรอง
"อึก ขอบคุณค่ะหมอ ฉันจะใช้เวลาที่เหลืออยู่ให้คุ้มค่าที่สุดค่ะ"
หญิงสาวพยักหน้ารับคำ แต่ในหัวของเธอนั้นรู้ดีว่าตนเองไม่สามารถอยู่ได้ถึง 3 เดือนอย่างแน่นอน
ในแต่ละวันผ่านไปอย่างยากลำบาก จือหลินแพ้ยาจนผื่นขึ้นเต็มตัว ทั้งยังอาเจียนแทบจะตลอดเวลา หญิงสาวนอนซมอยู่บนเตียง เธอผอมลงทุกวันทุกวันจนหนังหุ้มติดกระดูก
ใบหน้าและเนื้อตัวดำคล้ำไม่มีสง่าราศีเอาเสียเลย หญิงสาวกินข้าวได้น้อยลงเธอหอบหายใจหนัก จนต้องใช้เครื่องช่วยหายใจในการพยุงชีวิต
หลี่จือหลินในวัย 20 ปี ชีวิตของเธอกำลังจะร่วงโรย อนาคตที่เคยวาดฝันไว้ก็กลายเป็นเพียงความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง จือหลินหลับตาลงด้วยความเหนื่อย เธอรู้ดีว่าเวลาเหลือไม่มากแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังอยากที่จะออกไปใช้ชีวิตเหมือนเมื่อก่อน ให้ยากลำบากแค่ไหนเธอก็ไม่เคยคิดอยากจะไปจากโลกใบนี้
หญิงสาวไม่สามารถลุกไปไหนได้ เธอได้แต่นอนนิ่งอยู่บนเตียง โดยมีพยาบาลคอยเปลี่ยนผ้าอ้อมและเช็ดตัวให้ลวก ๆ
หญิงสาวได้แต่กรอกตาไปมามองผู้คนที่มีชีวิตชีวากว่าเธอ พยาบาลสาวกำลังคุยโทรศัพท์และหัวเราะอย่างมีความสุข ขณะที่เตียงตรงข้ามกำลังจะได้กลับบ้าน จือหลินร้องไห้ออกมา รู้สึกสิ้นหวังในชีวิตเหลือเกิน ทำไมโชคชะตาถึงได้เล่นตลกกับเธอขนาดนี้
เธอกลายเป็นเด็กกำพร้าตอนอายุ 12 ปี ถูกกดขี่ข่มเหงไปที่ไหนก็มีแต่คนรังแก จนกระทั่งวันที่อนาคตของเธอกำลังจะสดใสในไม่ช้า กลับกลายเป็นโรคร้ายรักษาไม่หายและใกล้ตายอยู่รอมร่อ หรือการจากโลกนี้ไปจะเป็นทางเดียวที่ทำให้เธอหลุดพ้นจากเรื่องแย่ ๆ ได้
หญิงสาวหอบหายใจด้วยความเหนื่อย เธอพยายามที่จะเรียกพยาบาลสาวเพราะรู้สึกไม่สบายตัว อยากให้อีกฝ่ายช่วยพลิกร่างกายให้ แต่พยาบาลสาวผู้นั้นก็ไม่ได้สนใจ เอาแต่คุยโทรศัพท์และหัวเราะเสียงดังอย่างมีความสุข
จือหลินนิ่วหน้า เนื่องจากเธอนอนมาเป็นเวลา 1 เดือนแล้วทำให้เกิดแผลกดทับเนื่องจากว่าเธอนั้นไม่สามารถพลิกตัวเองได้เพราะไม่มีแรง เธอได้รับการปฏิบัติที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่จากพยาบาล ทำให้อาการทรุดลงเรื่อย ๆ ไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย
หญิงสาวรู้สึกหนาวเป็นอย่างมากแต่ก็ทำได้แค่ทน เพราะคงไม่มีใครคิดจะเหลียวแลคนใกล้ตายอย่างเธอ