“คนพูดก็พูดเกินไป” นายทหารวัยกลางคน ผู้ยังคงมีหน้าตาหล่อเหลาจนหนุ่มๆ อายพูดเสียงอ่อย ก้มมองหน้าบุตรสาวคนเดียวอย่างเกรงใจ แม้ปัจจุบันมีภรรยาใหม่ไปแล้ว ทว่าผู้หญิงที่สำคัญสุดในชีวิตเขาในตอนนี้นอกจากมารดาก็มีเพียงพิมพกานต์ผู้เป็นบุตรสาวเท่านั้น
“ใครที่ว่าไม่ต้องให้ถึงแกหรอกยายเพ็ญ ลองมาพูดจาไม่เข้าหูเดี๋ยวป้าจะจัดการให้เอง” นางลิ้นจี่ว่าเข้าให้แล้วก็อดมองค้อนบุตรชายไม่ได้ ต่อให้อีกฝ่ายมีเมียใหม่ แต่คนที่นางยอมรับคือมารดาของหลานสาวเพียงคนเดียวเท่านั้น
“จำไว้นะน้องแพง ต่อให้มีอะไรเกิดขึ้นก็แล้วแต่ พ่อก็ยังรักน้องแพงเสมอนะลูก...”
คนเป็นบิดาพูดยังไม่ทันจบประโยค พยาบาลที่ยืนอยู่ในห้องก็เดินออกมาตาม
“คุณหมอให้เชิญญาติคนไข้เข้าไปในห้องค่ะ เพราะชีพจรของคนไข้เต้นอ่อนลงทุกขณะแล้ว”
คำพูดดังกล่าวเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าวาระสุดท้ายที่พิมพกานต์ไม่อยากจะพบเจอกำลังใกล้จะมาถึงแล้ว หญิงสาวจึงร้องไห้โฮด้วยความเสียใจ จนผู้เป็นย่าต้องดึงหลานสาวเข้ามากอดพลางพูดปลอบโยนเสียงสั่น
“ไม่เอานะน้องแพง อย่าร้องไห้ให้แม่เห็นเป็นอันขาด ไม่งั้นแม่จะห่วง เรารีบเข้าไปในห้องกันเถอะ”
พิมพกานต์เช็ดน้ำตาจนเหือดแห้งซึ่งต้องใช้เวลานานพอสมควร เพราะดูเหมือนยิ่งเช็ดและพยายามสั่งไม่ให้ไหล น้ำตาเจ้ากรรมก็ยิ่งไหลไม่หยุด จนดวงตาทั้งคู่พร่ามัวไปหมด จากนั้นเดินเข้าไปที่เตียงซึ่งมีร่างของมารดานอนนิ่งราวกับไร้ลมหายใจ คงมีเพียงดวงหน้าเท่านั้นที่เจือด้วยรอยยิ้มนิดๆ ดวงตาทั้งคู่ดูสดใสราวกับไม่ได้เจ็บปวดอะไรและกำลังจับจ้องมา บ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวยังคงมีลมหายใจอยู่แม้จะแผ่วมากแล้วก็ตาม
“น้องแพง...มาใกล้ๆ แม่หน่อยสิ...ลูก”
เสียงของมารดาที่พิมพกานต์ไม่อยากได้ยินดังขึ้นแผ่วเบาราวกระซิบ เรียกร่างสูงเพรียวที่เวลานี้แทบจะทรงตัวยืนไม่อยู่ให้ค่อยๆ ก้าวเข้าไปหาแล้วทรุดฮวบลงข้างเตียง
“แม่จ๋า”
“น้องแพง...อย่าร้องไห้ หนูต้องเข้มแข็งนะลูก” เสียงที่พูดชัดถ้อยชัดคำราวกับส่งแรงฮึดเฮือกสุดท้ายส่งออกมา
“พิมพ์ พี่ขอโทษที่ทำผิดไว้กับพิมพ์ ยกโทษให้พี่ด้วยนะ”
คนเป็นอดีตสามีน้ำตาลูกผู้ชายไหลริน ตาพร่ามัวมองอดีตเมียรักด้วยความเสียใจ ความรู้สึกผิดถาโถมเข้าใส่ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้เขาจะไม่สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้อีกฝ่ายเลย
นี่แหละคนเรา...กว่าจะคิดอะไรได้ก็เมื่อทุกอย่างสายไปแล้วจริงๆ เพราะคนบนเตียงไม่แม้แต่จะเหลือบแลมาทางเขาสักนิด
“พิมพ์ ฟังแม่นะลูก อย่าไปทั้งที่ยังผูกใจเจ็บอย่างนี้ ไม่งั้นจะไม่มีความสุข เพราะยังคงมีเวรกรรมต่อกันอยู่ อโหสิได้ก็อโหสินะลูก จะได้หมดเวรหมดกรรมกันไป แม่ขอร้องเถอะ” นางลิ้นจี่บอกอดีตลูกสะใภ้ทั้งน้ำตา
“ใช่แล้วพิมพ์ อโหสิให้น้องชายพี่ไปเถอะจ้ะ พิมพ์จะได้ไปสบายๆ” นางปิ่นประภาช่วยพูดเสริมอีกแรงพร้อมน้ำตาที่ร่วงพรู
“เพ็ญเห็นด้วยนะจ๊ะ อโหสิกรรมให้พี่พัฒน์เถอะ พี่พิมพ์จะได้หมดห่วง ไม่ต้องกังวล” พรเพ็ญพูดเสียงสะอื้นพลางหันไปมองหลานสาวให้ช่วยพูด
“แม่จ๋า อภัยให้พ่อเถอะนะจ๊ะ แพงขอร้อง” พิมพกานต์บอกมารดาน้ำเสียงสั่นเครือเจือสะอื้น
คงเป็นเพราะคำพูดสุดท้ายของบุตรสาวสุดที่รัก ดวงตาทั้งคู่ของคนจวนเจียนจะสิ้นลมและเคยลั่นวาจาไว้ว่าเจอหน้าไม่ต้องมาทัก แม้ตายจากกันก็ไม่ต้องมาเผาผี จึงเริ่มอ่อนแสงลงและนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะหันไปมองอดีตสามีแล้วพึมพำออกไปน้ำเสียงแผ่ว
“อโหสิให้...ดูแลลูกดีๆ อย่าลืม”
สุพัฒน์พยักหน้ารับคำ น้ำเสียงสั่นไหวทว่าหนักแน่นมั่นคง “พี่ให้สัญญาจ้ะ”
ดวงหน้าของพิมพ์พรปรากฏรอยยิ้มขึ้น ดวงตาค่อยๆ หรี่ปรือลง
“แม่...อย่าทิ้งแพงไปแบบนี้สิจ๊ะ แพงไม่ยอม” พิมพกานต์สะอื้นไห้ราวกับจะขาดใจ น้ำตาที่เพียรสะกดกลั้นเอ่อล้นขอบตา
พยาบาลสองสามคนที่ยืนอยู่ แม้จะเคยพบเจอเรื่องเศร้าแบบนี้มานักต่อนัก ยังอดเบือนหน้าหนีภาพตรงหน้าไม่ได้ บางคนถึงกับยกมือขึ้นปาดน้ำตา พรเพ็ญที่ท่าทางดูเข้มแข็งและเป็นคนสั่งไม่ให้หลานสาวร้องไห้ถึงกับปล่อยโฮออกมา
“พี่พิมพ์ เพ็ญก็ไม่ยอมเหมือนกัน”
ดวงหน้าซีดเซียวของคนบนเตียงที่เริ่มผ่องแผ้วราวกับมีรัศมีเรืองรองจับอยู่ค่อยๆ เบือนไปมองน้องสาวคนเดียว “เพ็ญ...พี่ฝากหลานด้วยนะ”
“จ้ะพี่พิมพ์” คนเป็นน้องสาวรับคำพร้อมเสียงสะอื้นไห้
คนใกล้จะถึงวาระสุดท้ายค่อยๆ ยกมือที่เริ่มจะไร้เรี่ยวแรงวางบนศีรษะบุตรสาวคนเดียว แล้วสั่งเสียเป็นคำสุดท้าย “กลับมาอยู่บ้านเรานะลูก สัญญากับแม่...”
ญาติหลายคนที่ตอนนี้กรูกันเข้ามาอยู่รอบๆ เตียงต่างยกมือขึ้นปาดน้ำตา บางคนถึงกับปล่อยโฮออกมา
“พิมพ์ ท่องพุทโธไว้นะลูก”
นางลิ้นจี่เดินเข้าไปกระซิบบอกอดีตลูกสะใภ้ข้างๆ หู ก่อนจะหยิบแบงก์พันออกมาจากกระเป๋า แล้ววางใส่มือของคนบนเตียงที่เวลานี้เริ่มกลายเป็นสีม่วง จากนั้นไม่นานดวงตาทั้งคู่ก็ค่อยๆ ปิดลงในที่สุด ทิ้งน้ำตาสองสามหยดไว้ที่ขอบตา เป็นสัญญาณว่าดวงวิญญาณได้หลุดลอยออกไปจากร่างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“แม่!”
พิมพกานต์กรีดร้อง ก่อนจะถลาไปฟุบหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาลงบนอกของมารดาแล้วปล่อยโฮ จนพรเพ็ญต้องดึงหลานสาวมากอดแล้วร้องไห้ไปด้วยกัน
“น้องแพง กราบขอขมาแม่ก่อนนะลูก” คนเป็นย่าบอกหลานสาวเสียงสั่นเครือ
แม้จะรู้ว่าเรื่องเกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดาของโลกที่ทุกคนจะต้องพบเจอ แต่เมื่อได้มาพบเจอด้วยตัวเองและเกิดขึ้นกับบุคคลอันเป็นที่รักอย่างมารดาบังเกิดเกล้า พิมพกานต์ก็ยากจะทำใจได้
หญิงสาวร่างสูงเพรียวเดินไปที่ปลายเตียง มองมารดาที่นอนนิ่งราวกับหลับใหล แล้วก้มลงกราบที่เท้าแล้วพูดออกมาเสียงเจือสะอื้น
“แม่จ๋า แพงขอโทษที่ไม่ค่อยได้กลับมาหาแม่เลย แต่แพงสัญญาว่านับจากนี้ไป แพงจะกลับมาอยู่บ้านเรานะจ๊ะ”
เมื่อพูดจบไม่รู้อะไรดลใจให้หญิงสาวเงยหน้ามองไปยังมารดา แล้วก็ถึงกับขนลุกซู่เมื่อเห็นดวงหน้านั้นราวกับกำลังส่งยิ้มน้อยๆ มายังเธอ