กว่าจะหาที่จอดรถในโรงพยาบาลได้ พรเพ็ญก็ต้องขับวนอยู่หลายรอบ และก็เพิ่งสังเกตเห็นเดี๋ยวนี้เองว่าหลานสาวแต่งกายอยู่ในชุดกระโปรงสีขาวดำ ซึ่งเป็นสีที่คนส่วนใหญ่ถือกันว่าไม่ควรสวมใส่เข้าไปในโรงพยาบาลตามความเชื่อมาแต่โบร่ำโบราณ แต่ไม่อยากทักออกไปตอนนี้เพราะคิดว่าอีกฝ่ายอาจไม่ทันคิดถึงข้อนี้
“เรารีบไปกันเถอะน้องแพง ไม่รู้ว่าป่านนี้อาการพี่พิมพ์จะเป็นไงบ้าง”
“แล้วตอนนี้ใครเฝ้าแม่อยู่หรือน้าเพ็ญ” พิมพกานต์ถามพลางกวาดตามองไปรอบๆ หญิงสาวไม่ชอบบรรยากาศของโรงพยาบาลเลย เพราะสีหน้าของแต่ละคนที่เดินผ่านไปนั้นแฝงความทุกข์ตรมเอาไว้แทบทั้งสิ้น
“ญาติๆ เรานั่นแหละจ้ะเฝ้ากันอยู่หลายคน แม่น้องแพงน่ะใครๆ ต่างรักน้ำใจกันทั้งนั้นแหละ ป่านนี้คนในหมู่บ้านคงแห่มาเยี่ยมกันจนเต็มห้องแล้วละมั้ง”
พิมพกานต์ชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวตามหลังผู้เป็นน้าเมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อเช้ามืดขึ้นมาได้ “น้าเพ็ญ แพงมีเรื่องแปลกๆ จะเล่าให้ฟัง”
คนเป็นน้าชะงักเท้าแล้วหันกลับมาถาม “เรื่องแปลก...เรื่องอะไรหรือ”
“คือเมื่อตอนประมาณตีห้า แพงเห็นแม่แต่งชุดขาวมายืนเรียกอยู่ข้างๆ เตียง”
คำบอกเล่าของหลานสาวทำให้คนเป็นน้ามีสีหน้าขาวเผือดลง ขนอ่อนที่แขนพากันลุกชันขึ้น ลางสังหรณ์บางอย่างเกิดขึ้นจนต้องนิ่งไปชั่วครู่ แล้วจึงถามออกไปอีกครั้งด้วยน้ำเสียงสั่นๆ
“น้องแพง...เห็นพี่พิมพ์สวมชุดขาวไปยืนอยู่ข้างเตียงตอนเช้ามืด”
“ใช่จ้ะ” หลานสาวพยักหน้า “พอแพงถามว่าแม่มาได้ไง แม่ก็ไม่ยอมตอบ พูดแต่ว่าให้แพงกลับมาอยู่บ้านเรา พูดย้ำกับแพงอย่างนี้ตั้งหลายครั้ง พอหันกลับไปอีกทีแม่หายไปแล้ว แพงยังคิดว่าตัวเองตาฝาดหรือฝัน แต่จะว่าฝันก็เหมือนจริงเหลือเกิน”
คำพูดของหลานสาวตอกย้ำให้พรเพ็ญคิดมากยิ่งขึ้น ทั้งที่ไม่อยากจะคิดแต่ก็อดไม่ได้ อีกทั้งไม่อยากพูดอะไรออกมาให้ตัวเองใจคอไม่ดี ซึ่งอาจทำให้หลานสาวพลอยรู้สึกอย่างนั้นตามไปด้วย จึงรีบปัดความรู้สึกที่ว่าแล้วชวนอีกฝ่ายตรงไปยังแผนกอายุรกรรมที่พี่สาวนอนป่วยอยู่ทันที
ครั้นไปถึงก็เห็นบรรดาญาติๆ ต่างพากันร้องไห้ ทำให้ยิ่งตอกย้ำถึงสิ่งที่พรเพ็ญกำลังคิดมากเป็นทวีคูณ
“พี่น้อย พี่ต้อยร้องไห้ทำไม” พรเพ็ญถามเพื่อนของพี่สาวที่กำลังนั่งร้องไห้กันอยู่
หญิงวัยกลางคนรูปร่างท้วมสองคนเมื่อถูกถาม น้ำตาที่ไหลอยู่แล้วยิ่งพรั่งพรูมากขึ้น หนึ่งในนั้นพูดเสียงเจือสะอื้น
“จะไม่ให้ร้องไห้ได้ยังไงล่ะเพ็ญ หมอบอกว่าให้ญาติทำใจ ตอนนี้พิมพ์มีอาการติดเชื้อในกระแสเลือด”
“ติดเชื้อในกระแสเลือด!”
พิมพกานต์อุทานเสียงดังอย่างตกใจ ลืมยกมือไหว้บรรดาญาติๆ รีบตรงดิ่งไปยังเตียงที่ผู้เป็นแม่นอนอยู่ ทำให้บรรดาญาติๆ ที่ยืนอยู่แถวนั้นรีบหลีกทางให้ทันที
“แม่...แม่เป็นไงบ้าง”
คนป่วยที่ตอนแรกนอนหลับตา พลันลืมตาขึ้นมาทันทีราวกับรอคอยอยู่กระนั้น ดวงหน้าแทนที่จะซีดเซียวตามอาการที่ได้รับรู้กลับสดใส ผ่องแผ้ว รอยยิ้มดีใจคลี่กระจายจนทั่ว
“น้องแพง...มาแล้วหรือ รู้ไหมแม่ดีใจมากที่เห็นลูก”
“แม่เจ็บมากไหม” พิมพกานต์ถามพลางก้มลงกราบที่อก น้ำตาเอ่อจนล้นหน่วยตาทั้งสองข้างเมื่อเห็นสายระโยงระยางรอบๆ เตียง มองดูก็รู้ว่าผู้เป็นมารดาคงเจ็บมาก
“เห็นหน้าน้องแพง แม่ก็หายเจ็บแล้วจ้ะ” ดวงหน้าของคนบนเตียงยิ้มสดใส พยายามสะกดกลั้นความเจ็บปวดทั้งหลายทั้งปวงลงไม่ให้ลูกสาวเห็น ก่อนจะค่อยๆ ยกมือที่มีเข็มน้ำเกลือทิ่มอยู่ขึ้นลูบดวงหน้าของบุตรสาวอย่างรักใคร่
“เดี๋ยวแม่ก็หายแล้วนะจ๊ะ จะได้กลับบ้านของเรา” พิมพกานต์พูดเสียงสั่น ปลอบใจมารดารวมทั้งตัวเองไปด้วย
“จ้ะ อีกไม่นานแม่จะได้กลับบ้านแล้ว” คนรู้ตัวว่าจะได้กลับบ้านบอกน้ำเสียงแผ่วเบา คงมีแต่เจ้าตัวเท่านั้นที่รู้ว่าบ้านที่พูดหมายถึงบ้านหลังไหน
พิมพกานต์ยังไม่ทันจะได้คุยกับมารดาต่อ พยาบาลก็เดินมากระซิบข้างหู
“คุณหมอเจ้าของไข้ขอเชิญพบข้างนอกด้วยค่ะ”
“ค่ะ” หญิงสาวรับคำแล้วมองไปทางมารดาแวบหนึ่ง ก่อนจะเดินตามพยาบาลออกไปนอกห้อง เห็นชายหนุ่มในชุดขาวสองคนยืนคุยกันอยู่ด้วยท่าทางเคร่งเครียดจึงตรงรี่เข้าไปหาทันที
“คุณหมอคะ อาการของแม่ดิฉันเป็นไงบ้าง”
นายแพทย์หนุ่มมองหน้าของคนถามที่แม้จะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาแต่ก็สวยจนน่าตะลึง
“ครับ ผมเป็นแพทย์เจ้าของไข้ อาการของคุณป้าค่อนข้างหนักพอสมควร เพราะมีภาวะติดเชื้อในกระแสโลหิต ความดันกับเกล็ดเลือดต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานมาก ที่สำคัญภูมิต้านทานในร่างกายน้อยจนน่าตกใจ” หมอหนุ่มเจ้าของไข้บอกน้ำเสียงขรึม
น้ำตาของพิมพกานต์ที่เหือดแห้งไปเมื่อครู่ไหลรินออกมาใหม่เมื่อได้ฟังอาการของผู้เป็นมารดา ความหวังที่คาดไว้ว่าจะได้ฟังอาการในทางบวกพลันสูญสลายหายไปในชั่วพริบตา
แม่จ๋า...
“ไม่มีทางรักษาเลยหรือคะ”
แม้ไม่มีคำพูดใดๆ เอ่ยออกจากปากของนายแพทย์หนุ่ม แต่สีหน้าเคร่งเครียดที่เห็นก็เป็นคำตอบได้อย่างดี ยิ่งได้ฟังคำพูดจากนายแพทย์อีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ หญิงสาวก็แทบจะทรุดลงไปกองกับพื้น
“ผมเป็นหมอจากแผนกไต ตอนนี้ไตของคุณป้าเริ่มมีปัญหา แต่ยังไม่สามารถล้างได้เพราะความดันต่ำผิดปกติ ต้องให้ยาช่วยเพิ่มความดันก่อนครับ”
“แม่” พิมพกานต์อุทานเสียงแผ่วหวิว ไม่นึกเลยว่าแค่ท้องเสียจะกลายเป็นติดเชื้อในกระแสโลหิตไปได้
“เราปรึกษากันแล้วว่าจะย้ายคุณป้าไปอยู่หอผู้ป่วยหนัก ซึ่งจะมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคอยดูแลอย่างใกล้ชิดมากกว่าอยู่ที่นี่” แพทย์เจ้าของไข้บอก แม้จะสงสารคนฟังเพียงใดก็ตาม แต่ควรจะพูดความจริงให้รับรู้ดีกว่าพูดโกหกปลอบใจให้เกิดความหวัง