“เดี๋ยวก็คงได้นะครับพี่สิงห์ แต่ไม่ใช่คุณเมธวีที่เอามาให้พี่สิงห์นะครับ คงเป็นเจ้าหน้าที่ส่งเอกสารที่เอามาให้แทน เมื่อเช้าผมลองแหย่ๆ เธอไปว่า ไหนๆ ก็เอาเอกสารมาให้ผมแล้ว ทำไมไม่เอามาให้พี่สิงห์ด้วย เพราะไร่ก็อยู่ติดกันแค่นี้ คุณเมธวีกลับตอบว่าของพี่สิงห์จะให้เจ้าหน้าที่ส่งเอกสารนำเอกสารมาให้พี่สิงห์ทีหลัง”
คราวนี้สิงหนาทถึงกับหัวเราะออกมาเบาๆ กับมารยาร้อยเล่ห์เกวียนของเมธวี เชื่อแล้วว่าผู้หญิงบางคนค่อนข้างจะมีเล่ห์เหลี่ยมที่แพรวพราวจนผู้ชายแทบไล่ไม่ทัน
“แล้วคินทำยังไง คุณเมธวีถึงกลับไปได้ล่ะ”
รัณชิดาใคร่อยากรู้เหลือเกินว่า น้องชายของเธอเอาตัวรอดมาจากเมธวีได้อย่างไรกัน
พ่อเลี้ยงคิวากรหัวเราะร่วน ก่อนจะยักไหล่ราวกับไม่แคร์ และเอ่ยตอบหน้าตายที่สุด
“คินก็ไล่คุณเมธวีทางอ้อมนะครับ บอกว่าใกล้ถึงเวลาทำงานแล้ว ให้รีบไปรูดบัตรเข้าทำงาน พอคุณเมธวีอิดออดทำท่าจะไม่ไป แถมยังบอกว่า อบต. อยู่ใกล้แค่นี้ไปทันแน่นอน หรือถ้าไปสายสักสิบยี่สิบนาทีก็ไม่เป็นไร คินก็เลยสอนเธอไปพอแสบๆ คันๆ ว่าเป็นข้าราชการ กินเงินเดือนจากภาษีของประชาชนตาดำๆ ก็ควรทำงานให้คุ้มกับเงินเดือนด้วย เท่านั้นแหละ! คุณเมธวีเผ่นแนบไปเลยครับ”
สิงหนาทหัวเราะก๊ากกับคำพูดของคิวาการ ส่วนรัณชิดาได้แต่ส่ายหน้าช้าๆ เพราะรู้มานานแล้วว่า น้องชายของตนเองค่อนข้างปากจัด และหากไม่สนใจ ไม่แคร์แล้ว คิวากรก็มักจะพูดแรงๆ โดยไม่สนใจว่า คู่สนทนาจะหน้าแตกมากสักเพียงใด
“เย็นนี้คุณเมธวีบอกคินว่าจะเอาแผนผังตำแหน่งการตั้งร้าน รวมทั้งรายละเอียดเกี่ยวกับการจัดงานเทศกาลประจำปีมาให้ด้วย ซึ่งหากเดาไม่ผิดและคิดว่าไม่ผิดอย่างแน่นอน คุณเมธวีต้องอ้อยอิ่งหาเรื่องพูดไปเรื่อยเปื่อย ก่อนจะจบลงด้วยการขออยู่รับประทานมื้อค่ำที่บ้านคิน ซึ่งมันคงเป็นอะไรที่เลวร้ายและน่ากลัวมาก หากต้องร่วมโต๊ะกับคนที่จ้องจะกินผมในทุกวินาที”
พ่อเลี้ยงคิวากรเอ่ยต่อท้ายให้พี่เขยหัวเราะ เพราะความขบขำจนน้ำตาเล็ด
“แล้วคินจะหลบคุณเมธวีอยู่ที่นี่ทั้งวันเลยหรือ”
รัณชิดาไม่ได้เอ่ยถาม เพราะรังเกียจ หรือต้องการไล่ส่งน้องชายให้ไปไกลๆ แต่เอ่ยถามเพราะอยากรู้ว่า คนที่ขยันทำงานตัวเป็นเกลียวอย่างคิวากรจะทนนั่งๆ นอนๆ อยู่แต่ในบ้านได้หรือ?
“แน่นอนครับพี่รัณ คินจะอยู่ที่นี่จนกว่าจะมืดนั่นแหละ หรือจนกว่าไอ้ทิมจะโทร.มาบอกว่า คุณเมธวีกลับบ้านไปแล้ว คินถึงจะกลับบ้านของคินบ้าง”
พ่อเลี้ยงคิวากรพยักหน้ารับ ขณะเอ่ยรับคำด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเอาจริงเอาจัง ตั้งใจแล้วว่า หากดวงสุริยาไม่ลาลับขอบฟ้า ความมืดมิดไม่เข้ามาครอบคลุมผืนฟ้า เป็นตายร้ายดี เขาก็ไม่มีทางกลับบ้านแน่นอน
“ถ้ายังงั้นก็หลบภัยหญิงได้ตามสบายเลยนะคิน เดี๋ยวพี่จะออกไปดูคนงานในไร่ก่อน”
สิงหนาทเอ่ยแซวกลั้วหัวเราะ ตอนที่ลุกขึ้นเดินผ่านก็ไม่ลืมตบหนักๆ ลงไปบนบ่ากว้างของพ่อเลี้ยงคิวากรพร้อมกับเอ่ยสัพยอกอีกครั้ง
“พี่อวยพรให้หนีรอดปลอดภัยจากคุณเมธวีในทุกๆ วันนะคิน”
ผู้ที่ได้รับคำอวยพรอันไม่ค่อยโสภาสักเท่าไร ถึงกับตีหน้ามุ่ย บ่นอุบไม่ได้หยุดปาก
“จะอวยพรหรือจะเยาะเย้ยกันแน่พี่สิงห์”
“อย่างหลังนะคิน”
สิงหนาทตอบกลับมาโดยไม่ได้หันมามองหน้าอีกฝ่าย พร้อมกันนั้นก็หัวเราะร่วนด้วยความขบขันให้พ่อเลี้ยงคิวากรทำหน้าเซ็งอยู่คนเดียว เพราะตอนนี้พี่สาวของเขากำลังจะเดินหนีไปอีกคนแล้ว
“พี่ขอไปนอนพักก่อนนะคิน ตั้งแต่ท้องพี่มักจะง่วงนอนช่วงบ่ายๆ เป็นประจำ” รัณชิดาเอ่ยบอกพร้อมกับลุกขึ้นยืนเตรียมจะเข้าไปพักผ่อนในห้องนอน
“ตามสบายเลยครับพี่รัณ”
พ่อเลี้ยงคิวากรคลี่ยิ้มกว้างให้พี่สาว พอลับร่างของพี่สาวแล้ว ก็นั่งบ่นงึมงำอยู่คนเดียวไม่ต่างจากหมีกินผึ้ง พร้อมกับตีสีหน้าสยดสยองขณะที่งึมงำออกมา “ให้ตายเถอะ! มารยาหญิงนี่น่ากลัวกว่าลูกปืนจริงๆ”
รินรดา ซึ่งเป็นไม่ต่างจากลูกนกที่พลัดถิ่น บาดเจ็บทั้งทางร่างกายและจิตใจ ได้เดินทางไกลเป็นพันๆ ไมล์จากดินแดนแห่งอาทิตย์อุทัยสู่แผ่นดินสยาม และทันทีที่ลงจากเครื่องบินในสนามบินสุวรรณภูมิแล้ว รินรดาก็ต่อเครื่องบินมาที่จังหวัดเชียงรายโดยไม่รอช้า เรียกว่าเที่ยวบินไหนมีตั๋ว มีที่นั่งว่างสำหรับเธอก็จับจองซื้อตั๋วเดินทางต่อทันที
เมื่อมาถึงสนามบินแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงรายในตอนบ่ายคล้อย หญิงสาวก็ขึ้นรถประจำทาง เพื่อเดินทางไปยังอำเภอแม่ฟ้าหลวงต่อ ซึ่งไม่ว่าจะเหนื่อยแทบขาดใจ เจ็บปวดบาดแผลที่ถูกยิงจนแทบจะร่ำไห้ออกมา แต่กระนั้นหญิงสาวก็ไม่ยอมหยุดพัก เธอจะต้องเดินทางไปถึงไร่ของพ่อเลี้ยงสันชัยให้ได้เร็วที่สุด หากเดินทางไปถึงเร็วเท่าไร เธอก็ยิ่งปลอดภัยจากการถูกตามล่าของแก๊งยากูซ่ายาสุโนะ ที่ต้องการฆ่าล้างคนในตระกูลคานาเมะให้หมดสิ้นไปจากโลกใบนี้
“คุณพ่อคุณแม่ ช่วยคุ้มครองให้ยูริปลอดภัยจากเงื้อมมือของไอ้ยาสุโนะด้วยนะคะ” รินรดาพึมพำเบาๆ ขณะนั่งอยู่ในรถทัวร์ประจำทางไปยังอำเภอแม่ฟ้าหลวง
ก่อนหน้านี้ระหว่างรอขึ้นรถประจำทาง หรือระหว่างรอขึ้นเครื่องบินในสนามบินสุวรรณภูมิ หญิงสาวไม่ลืมแวะเข้าร้านที่ให้บริการอินเทอร์เน็ต เพื่อเข้าไปติดตามข่าวคราวเรื่องที่ครอบครัวเธอถูกสังหารโดยฝีมือของยาสุโนะ ไคจิ
และเนื้อหาของข่าว รวมทั้งภาพที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ ทำเอาหญิงสาวต้องสะอื้นฮัก ร่ำไห้ออกมาราวกับจะขาดใจ เมื่อคฤหาสน์หรูหราที่เธอเคยอาศัยอยู่ตั้งแต่แบเบาะถูกไฟไหม้เป็นจุณ โดยนักข่าวเสนอข่าวว่าทางตำรวจสันนิษ ฐานว่าอาจ
จะสืบเนื่องจากแก๊สระเบิด เลยทำให้เกิดไฟลุกไหม้ทั่วบ้าน ส่วนศพของบิดามารดา รวมทั้งศพของแม่นมยูคิ ทางตำรวจให้ข่าวว่า ถูกไฟไหม้ดำเป็นตอตะโก จนแยกไม่ออกว่า ใครเป็นใคร ซึ่งจะต้องทำการชันสูจน์ศพในภายหลังอีกที
นอกจากนั้น ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยังมีการเสนอข่าววิเคราะห์อีกหนึ่งสาเหตุว่า อาจจะเป็นการฆ่าล้างโคตรในวงการยากูซ่า เพราะลูกสาวของตระกูลคานาเมะได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ซึ่งยังไม่มีใครรู้ว่า หญิงสาวหายตัวไปไหน ยังอยู่ในประเทศญี่ปุ่น หรือหลบหนีออกไปนอกประเทศแล้ว
“ยาสุโนะ ไคจิ ขอให้แกตกนรกหมกไหม้ อย่าได้ผุดได้เกิดในทุกๆ ชาติ”
ผู้หญิงตัวเล็กๆ ตัวคนเดียวอย่างรินรดาไม่อาจไปสู้รบปรบมือกับผู้ที่กุมอำนาจมืด มีลูกน้องโหดเหี้ยมอำมหิตเป็นร้อยๆ อย่างยาสุโนะได้ และเมื่อไม่อาจต่อกรกับเจ้าพ่อยากูซ่าคนนี้ได้ สิ่งที่หญิงสาวทำได้ในขณะนี้ คือการสาปแช่งให้ยาสุโนะและลูกน้องของพวกมันต้องตกนรกหมกไหม้ในขุมที่ลึกที่สุด เท่าที่ยมบาลจะสามารถรับพวกมันไปอยู่ได้