[Yuuki’s part]
เวรกรรมอะไรของผมวะ!
ไม่น่าใจดีรับปากรับคำไอ้เทียนรับยัยตัวป่วนนั่นเข้ามาอยู่ในยุกกี้คาสิโนนี้เลยจริงๆ ตั้งแต่ยัยนั่นเข้ามาอยู่ ชีวิตผมแม่งไม่เคยสงบสุขเลยสักวัน
วันๆ ยัยนั่นเอาแต่คอยมาจุ้นจ้านวุ่นวายชีวิตผม ไม่ว่าจะเรื่องอาหารการกิน ทำความสะอาดห้อง หรือแม้แต่มาคอยวนเวียนอยู่ใกล้ๆ สายตา
“ไม่ให้กูดูดบุหรี่มึงจะให้กูไปตีหรี่แทนเหรอวะ!”
คำพูดไอ้กรุงโซลทำให้หางคิ้วผมกระตุก แต่แปลกตรงที่อารมณ์มันกลับไม่เฮิร์ทเหมือนตอนที่มองไอ้มอม้ากำลัง ‘กอด’ ยัยนั่น
เชี่ยเอ๊ย! เอาอีกแล้ว ใครก็ได้เอายางลบ ลิควิดหรือเหี้ยอะไรก็ได้มาลบใบหน้าและชื่อยัยนั่นออกไปจากสมองผมที
“ก็ดีนะ ถ้ามึงตีได้!” เสียงกวนตีนส่งมาพร้อมรอยยิ้มเยาะเย้ย
ไอ้กรุงโซลมันรู้ดี ตั้งแต่เหตุการณ์ตอนนั้นเมื่อปีก่อน ผมไม่เคยคั่วกับผู้หญิงที่ไหนอีกเลย ไม่รู้แม่งยังใช้งานได้อยู่หรือเปล่า สงสัยวันไหนอารมณ์ดีๆ ผมต้องลองทำใจใช้บริการสักคนแล้วล่ะ
“เปลี่ยนเรื่องเหอะว่ะ! คนกำลังจะอารมณ์ดีอย่าให้ของขึ้นอีก” พูดจบก็อัดสารนิโคตินเข้าปอดอึกใหญ่ ค่อยๆ ปล่อยควันสีเทาๆ ออกจากปากช้าๆ
“ทำแบดกลับเกลื่อน” ไอ้เพื่อนตัวดีแม่งก็ไซโคผมจัง
“มึงไม่ติดเมียแล้ว?” แซะผมอยู่ได้ งั้นก็กัดคืนแล้วกัน
“เมียกูไม่หาย อย่าเปลี่ยนเรื่อง!”
แสนรู้!
เพราะผมไม่อยากให้มันเซ้าซี้เรื่องที่เกิดก่อนหน้าบนชั้นสาม เลยกะจะชวนมันคุยเรื่องอื่นเรื่อยเปื่อย แต่อย่างว่า ไอ้กรุงโซลมันเคยผ่านอะไรๆ มาก่อนผมเยอะ ยิ่งเรื่องผู้หญิงมันก็เจ็บและทรมานมาก่อนหน้าผมไม่ต่างกัน
“ว่ามา” หนียังไงผมก็หนีมันไม่พ้น งั้นก็เปิดอกคุยเลยแล้วกัน
“ที่มึงต่อยไอ้มอม้าจริงๆ แล้ว มึงกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่”
หึ! มุมปากผมยกขึ้นเล็กน้อยให้กับคำถามที่ผมเองก็เตรียมใจไว้อยู่แล้ว
“ไม่รู้ว่ะ!” ที่ตอบไปคือเรื่องจริง
ผมไม่รู้ที่ผมต่อยไอ้มอม้าไปสาเหตุมันมาจากอะไรกันแน่
เพราะไอ้มอม้าเกือบจะเผลอพูดเรื่องอดีตของผม หรือ เพราะ... ยัยนั่น
“มึงรู้! มึงอย่าแกล้งไม่รู้” สายตาคาดคั้นจากกรุงโซลส่งมาให้ผม
“อาจจะ” ผมตอบมันเสียงเรียบ
“แบบไหน?” ตอบสองคำ มันก็ถามผมกลับมาสองคำ เออดีจริงเพื่อนกู
“แบบว่า มันขัดอารมณ์กู ผลลัพธ์มันต่างจากที่กูอยากให้เป็น กูอยากเห็นยัยหน้าจืดนั่นล้มลงไปมากกว่าอยู่ในอ้อมกอดไอ้มอม้า... มั้ง”
แล้วนี่ทำไมผมต้องมานั่งอธิบายอารมณ์ ความรู้สึกของตัวเองให้ไอ้กรุงโซลมันฟังด้วยวะ แต่พอได้พูดอะไรออกไปบ้าง ปากมันกลับเหมือนเขื่อนที่ถูกเปิดระบายน้ำเพราะมันไม่ยอมหยุดพูดแค่สิ่งที่ไอ้กรุงโซลถาม
“กูมักเห็นภาพ ‘เธอ’ ซ้อนอยู่ในตัวยัยนั่น” ผมตอบไปตามที่ผมรู้สึก
เอาแบบแมนๆ เลยนะ ก่อนหน้านี้ผมเคยแอบมองไฉ่หงอยู่หลายครั้ง และบางครั้งผมก็รู้สึกว่าตัวเองละสายตาจากผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ มันเหมือนเธอมีแรงดึงดูดอะไรสักอย่าง เหมือนแม่เหล็กคนละขั้วที่เวลาอยู่ใกล้กันแล้วมันจะดูดเข้าหากัน
“ไม่มีใครแทนใครได้ มันอาจจะแค่ความเหมือนที่ ‘แตกต่าง’ ”
คำพูดนี้ของกรุงโซลทำให้ผมฉุกคิดขึ้นมาได้
ใช่แล้วล่ะ ไฉ่หง ก็คือ ไฉ่หง เธอไม่มีทางเป็น คนๆ นั้นในใจผมได้ และไม่มีวันจะมาแทนที่เธอได้เช่นกัน เพราะอะไรน่ะเหรอ?
‘เพราะหัวใจผมได้ตายไปกับเธอคนนั้นแล้วไงล่ะ’
“แต่ความแตกต่างของคนเรา อาจจะเป็นสิ่งที่ใช่สำหรับมึง” ผมหันขวับมองหน้าไอ้กรุงโซลคอแทบเคร็ดหลังจากที่มันเอ่ยคำพูดนั้นจบ
คนที่ใช่... สำหรับผมงั้นเหรอ?
“ไม่มีใครใช่สำหรับกูนอกจาก ‘เธอ’ ”
“ที่ไม่อยู่ให้มึงรัก ให้มึงสัมผัสแล้วเนี่ยนะ?”
กรอดดด ผมขบกัดฟันจนรับรู้ได้ว่าปวดกรามมากแค่ไหน
“แทงใจดำอีกล่ะสิ” คำพูดกระแทกกระทั้นยังคงดังมาไม่ขาดสาย
“...”
“ไม่ต่อปากต่อคำกูคือ?”
พอผมเลือกเงียบเพื่อระงับอารมณ์ ไอ้กรุงโซลแม่งก็ยั่วอารมณ์ผมอยู่ได้
มันคงอยากจะช่วยให้ผมระบายเรื่องนั้นออกมา แต่ผมไม่อยากทำ
ผมไม่อยากรื้อฟื้นความเจ็บปวดนั่นอีกแล้ว
“ถ้ามึงยังไม่ทิ้งอดีตออกไปตอนนี้ วันข้างหน้าที่มึงเจอคนที่ใช่สำหรับมึงจริงๆ มันจะลำบาก กูขอเตือนไว้อย่าง” กรุงโซลหยุดคำพูดไว้ มันรอให้ผมเล่นจ้องตากับมันแล้วค่อยเอ่ยต่อ
“มึงจำเรื่องกูได้ใช่ไหม อดีตที่กูเคยทำพลาดไว้กับ ‘นาเดียร์’ แล้วสุดท้ายก็ย้อนมาทำร้ายคนรักของกูอย่างแก้มใส”
มันเกี่ยวกันตรงไหน? ผมคิดตามเรื่องของมันซึ่งต่างจากเรื่องของผม
“มึงกำลังคิดว่าไม่เกี่ยว?” ผมพยักหน้าตอบมันอย่างไม่ต้องคิดอะไรมาก
“ที่จริงมันก็ไม่ได้เกี่ยวตรงๆ อย่างที่มึงเข้าใจนั่นแหละ”
อ้าว! ไอ้ห่านี่
ถ้ามันคนละเรื่องกับเรื่องของผมแล้วมันจะเอามาโยงกันทำซากอะไรวะ!
“แต่กูไม่อยากให้มึงดำเนินรอยตามนาเดียร์ กูไม่อยากให้มึงจมปรักอยู่กับคนๆ เดียว” ไอ้กรุงโซลมองหน้าผมแล้วเอ่ยต่อ
“คนเรามันต้องเดินไปข้างหน้า อดีตที่ควรจำก็จำไป แต่อันไหนที่จดจำแล้วทำให้มึงเป็นเหมือนก้อนหินเดินได้ไปวันๆ แบบนี้กูว่ามันไม่ใช่”
“…” ผมเงียบ ฟังมันพูดไปเรื่อยๆ
“มึงไม่ได้เกลียดผู้หญิง กูพูดถูกใช่ไหม?”
จึก! รู้สึกจุกจนพูดไม่ออก
“มึงแค่กำลังหลอกตัวเอง มึงแค่กลัวว่าถ้ามีคนใหม่เข้ามาในชีวิตมึงแล้วมึงจะลืมเธอ ลืมคำสัญญาที่เคยไว้ให้เธอคนนั้น”
ไม่จริง! ผมไม่ได้กลัวจะลืมคำสัญญา
แต่เพราะผมไม่อยากให้ใครมาทำให้ผมเจ็บปวดอีกแล้วต่างหาก
“ถ้าวันนี้มึงยังไม่ยอมเปิดใจรับคนใหม่ ชีวิตมึงก็จะไม่มีวันพบเจอความสุข”
จบประโยคนี้ ไอ้กรุงโซลก็หยิบซองบุหรี่ที่วางอยู่โต๊ะตรงหน้าไปสูบบ้าง
มันคงกำลังเครียดกับผมอยู่สินะ แต่ถ้าแก้มใสมาเห็นมันคงหูแดงแน่ๆ
“แต่กูไม่อยากผิดคำสัญญา” ผมยังคงยืนกรานคำเดิมแต่น้ำเสียงกลับอ่อนลง
“แล้วคนที่มึงสัญญาด้วยเขาอยู่กับมึงหรือเปล่า? เขาสามารถรับรู้ได้มั้ยว่ามึงทำตามสัญญาที่ให้ไว้ ได้ ไม่ได้?” มันเน้นท้ายประโยคเสียงหนักแน่น
เถียงไอ้กรุงโซลไม่ออกอีกแล้ว ทุกคำมันจี้ใจผมมาก เหมือนมันมานั่งอยู่ในใจผมยังไงยังงั้น
“มึงจำคำกูไว้นะไอ้ยูกิ ถ้ามึงไม่เปิดใจรับคนใหม่ กูไม่ได้เจาะจงว่าต้องเป็นน้องไอ้เทียน แต่กูเหมารวมผู้หญิงทั้งโลกที่ไม่ใช่อดีตของมึง”
“มึงจะกลายเป็นคนไร้หัวใจไปตลอดชีวิต!”
‘คนไร้หัวใจ’ ถ้าผมยังคงรักษาคำสัญญานั้นไว้ได้ผมก็ยอม
[End part]
หลังจากพายุอารมณ์ที่ระเบิดโดยผู้ชายเยือกเย็นก่อนหน้าสงบลง พวกเราสามคน ฉัน มอม้า แก้มใส ก็นั่งคุยกันที่ชั้นสามที่เกิดเหตุอยู่ประมาณสิบนาที แก้มใสก็เป็นคนขอตัวลงมาชั้นสองเพื่อพามาหาลูกชายเธอ ปล่อยให้พื้นที่เกิดเหตุตรงนั้นเหลือเพียงฉันกับมอม้าอยู่แค่สองคน
“หงส์ ขอโทษจริงๆ นะคะ” ไม่รู้ว่าฉันเอ่ยคำนี้ออกไปกี่ครั้งติดๆ กันแล้ว
ฉันรู้สึกผิดจริงๆ ที่เป็นคนทำให้เรื่องมันบานปลายจนคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยอย่างมอม้าต้องมารับผลการกระทำของตัวเองแบบนี้
“คุณหงส์ไม่ผิด อย่าขอโทษผมเลย” มอม้าเรียกฉันด้วยคำสุภาพ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เวลาที่จะมาสนใจเรื่องสรรพนามแทนตัวอะไรนั่นอีกแล้ว
“เพราะหงส์มัวแต่เหม่อลอย ไม่สนใจสิ่งรอบข้าง และขัดคำสั่งคุณยูกิ ทำให้เกิดเรื่องร้ายแรงนี่ขึ้น พี่มอม้ายังจะบอกว่าไม่ใช่ความผิดหงส์อีกเหรอคะ”
ฉันพูดถึงความผิดของตัวเองให้มอม้าฟังด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“เพราะผมต่างห่าง ถ้าผมไม่ยุ่งกับคุณหงส์ ถ้าผมไม่ไปขุดอดีตเฮียขึ้นมา เรื่องพวกนี้ก็จะไม่เกิด” มอม้ายังคงพูดปลอบใจฉัน น้ำเสียงอบอุ่นมาพร้อมกับฝ่ามือหนาลูบเบาๆ ที่ไหล่บางของฉันไปด้วย
“ยุ่งกับหงส์? ยังไงเหรอคะ?”
ฉันไม่เข้าใจความหมายคำว่า ยุ่งกับฉัน ของมอม้าเลยถามออกไป
“อันนี้ยังไม่แน่ใจเท่าไหร่ เอาเป็นว่าที่เฮียต่อยผมไม่ใช่เพราะคุณหงส์คนเดียวที่เป็นต้นเหตุ ตอนนี้สบายใจได้ แผลเล็กน้อยเดี๋ยวก็หาย” มอม้าพูดจบก็ยกยิ้มให้ฉันคลายความตึงเคลียดบ้าง
แต่ฉันรู้สึกผิด ต่อให้เขาจะใจดี ส่งยิ้มหวานมาให้แค่ไหนฉันก็ยังลบความผิดที่เป็นต้นเหตุของแผลปริแตกตรงมุมปากผู้ชายข้างกายไม่ได้
“เดี๋ยวเราลงไปข้างล่างกันดีกว่าค่ะ หงส์จะได้ทำแผลให้” พูดจบฉันก็ลุกจากโซฟาที่นั่งอยู่เพื่อที่จะเดินนำมอม้าลงไปข้างล่าง เพื่อหาอุปกรณ์มาทำแผลให้เขา
แต่จังหวะที่ก้นผละออกจากเบาะโซฟาได้แค่นิดหน่อย เสียงจริงจังก็หยุดการกระทำฉันให้ชะงักค้างและกลับมานั่งที่เดิมอีกครั้ง
“เป็นห่วงพี่ หรือ เฮียยูกิ” คำถามที่อาจจะไม่ต้องการคำตอบของมอม้า ทำให้ฉันเผลอใจลอยไปถึงคนใจร้ายและไร้เหตุผลคนนั้นทันที
“…” นึกคำตอบไม่ได้เลยเลือกที่จะเงียบ
ไม่ใช่สิ ไม่ใช่ว่านึกคำตอบไม่ได้ แต่เป็นเพราะฉันมีคำตอบในใจอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่กล้าที่จะตอบออกไปเท่านั้นเอง
‘ฉันเป็นห่วงยูกิ’
“หึ!” เสียงเค้นหัวเราะดังรอดมาจากริมฝีปากคนเจ็บที่นั่งข้างๆ ทำให้ฉันละสายตาเหม่อลอยของตัวเองไปมองหน้าเขา
“มีอะไรน่าขำเหรอคะ” ฉันถามออกไปน้ำเสียงติดจะงงงวย
“ถ้าห่วงเขาก็ลงไปดูเถอะ ตอนนี้เฮียมันน่าจะอารมณ์ดีขึ้นบ้างแล้ว สงสัยจะโดนคุณกรุงโซลสวดยาวจนสำนึกไปบ้างแล้วแหละ”
ฉันยังคงคิ้วขมวดกับคำพูดของมอม้า เขาเลยพูดต่อ
“ผมฝากเฮียยูกิด้วยนะครับ” มอม้าพูดเพียงเท่านั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับเดินนำหน้าฉันลงมายังชั้นล่างทันที
หลังจากที่ฉันลงมาจากชั้นสามชั้นต้องห้ามเรียบร้อยแล้ว สองขากำลังจะก้าวผ่านประตูห้องทำงานคนใจร้ายก็ต้องหยุดชะงัก อกข้างซ้ายมันเต้นระรัวผิดปกติ สมองสั่งให้รีบก้าวเดินผ่านประตูนี้ไปให้เร็วที่สุด
แต่ร่างกายกลับไม่ฟัง สองมือน้อยๆ ยกขึ้นระดับหน้าอก พร้อมกับเคาะเบาๆ สองสามทีที่ประตูไม้สักใบเขื่องตรงหน้า
ก๊อก ก๊อก
ไร้เสียงตอบรับจากคนในห้อง อาการกระวนกระวายในอกยิ่งสุมขึ้นมากยิ่งกว่าเก่าหลายร้อยเท่า
‘คุณยูกิจะหายโมโหหรือยังนะ’
‘ถ้าพรวดพราดเข้าไปตอนนี้จะยิ่งทำให้เขาโกรธไปอีกหรือเปล่า?’
อาการตีรวนสุมขึ้นมาในอก มันคิดไม่ตกว่าควรจะทำอย่างไรดี แต่ความเป็นห่วงมันมักจะมาก่อนเสมอ ฉันเอื้อมมือน้อยๆ จับลูกบิดประตูแล้วบิดเบาๆ แง้มบานประตูดันไปข้างหน้าเล็กน้อยให้พอโผล่หน้าเข้าไปมองภายในได้
กวาดสายตาเฉี่ยวคมของตนเองมองรอบๆ ห้องทำงานที่ไม่ได้กว้างมากเกินความจำเป็นเท่าไหร่ แต่กลับไม่พบอะไรเลยนอกจากความว่างเปล่า
เฮ้อ! ฟู่~ เหมือนจะโล่งอกที่เปิดเข้าไปแล้วไม่พบสายตาเย็นๆ ส่งกลับมา
แต่อีกความคิดคือ ‘สงสัยใคร่รู้’ เจ้าของห้องไปไหน แต่เพราะภาพเหตุการณ์ที่เกิดก่อนหน้ายังคงไม่หายไปจากโสตประสาท ทำให้ฉันตัดสินใจปิดประตูนั้นลงและเลือกกลับห้องตัวเองแทน
เฮือก!!
ฉันสะดุ้งตัวตื่นเมื่อตัวเองเหมือนจะฝันร้าย หอบหายใจถี่ๆ เหงื่อท่วมตัว บ่งบอกได้ชัดเจนว่าฝันเมื่อกี้มันน่ากลัวมากแค่ไหน
อันที่จริงฉันเริ่มจะฝันถึง ‘สีแดงของเลือด’ ติดต่อกันมาหลายวันแล้วแหละ นับตั้งแต่ฉันเจอกับเฮียหลั่นเทียน พี่ชายแท้ๆ ของฉันเมื่อหลายวันก่อน ทุกๆ คืนฉันมักสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะฝันร้ายนั้น และจากนั้นก็จะนอนไม่หลับอีกเลย
‘ฝัน’ ที่นองไปด้วยเลือด เสียงคร่ำครวญของคนบาดเจ็บ เสียงปืนที่ดังสนั่น
มันน่ากลัว ไม่อยากจะคิดเลยถ้านั่นคือเรื่องจริง คนที่กระทำการอุกอาจนั้นจะโหดเหี้ยมแค่ไหน
เขา ‘ฆ่า’ คนได้อย่างเลือดเย็น แต่ทว่าก็น่าเสียดาย ในฝันฉันไม่เห็นหน้าคนที่กราดกระสุนฆ่าล้างคนนับสิบนั้นเลยสักนิด
“หิวน้ำจัง” สงสัยเพราะตื่นกลางดึกและเสียเหงื่อมากเกินไป ทำให้ฉันรู้สึกคอแห้ง ครั้นจะเอื้อมมือไปหยิบเหยือกน้ำที่วางอยู่โต๊ะข้างเตียงก็เหลือเพียงแค่เหยือกที่ว่างเปล่า
“เฮ้อ! ลืมเติมเหรอเนี่ย” ถอนหายใจให้กับความขี้ลืมของตัวเอง
ลืมไปได้ไงว่าน้ำมันหมดตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว สงสัยวันนี้ทั้งวันจะเจอกับอะไรมากเกินไปจนลืมสิ่งที่อยู่รอบตัวไปเสียหมด
ว่าแล้วก็ก้าวขาเรียวลุกขึ้นเดินไปหยิบเสื้อคลุมที่แขวนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้ามาใส่ทับชุดนอนสายเดี่ยวที่มันชวนสยิวหากไม่มีเสื้อคลุมทับอีกชั้น จากนั้นก็เปิดประตู้ห้องนอนส่วนตัวเพื่อลงไปยังห้องครัวที่อยู่ชั้นล่าง
ทว่า... ตอนที่กำลังจะเดินผ่านหน้าห้องทำงานยูกิ สายตาเหลือบไปเห็นแสงไฟส่องเล็ดลอดออกมาจากประตูห้องทำงาน บ่งบอกว่าคนที่อยู่ในห้องยังไม่นอน แต่นี่มันเกือบจะตีสองแล้วนะ เพราะก่อนออกมาฉันมองนาฬิกาตรงหัวเตียงมันบอกเวลานั้นพอดี
‘เอาไงดีไฉ่หงส์จะเปิดเข้าไปดูเขาหน่อยดีไหมนะ’
สมองกำลังตีรวนอีกครั้ง ใจหนึ่งก็อยากจะเข้าไปดูคนในห้องเพราะเป็นห่วง นี่ก็ดึกมากแล้ว แต่อีกใจก็บอกว่า ‘อย่าไปยุ่งกับเขาเลย’ อย่าลืมสิ่งที่เขาเพิ่งทำไปเมื่อช่วงหัวค่ำนั่นสิ
เฮ้อ! ได้แต่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เมื่อความเป็นห่วงผู้มีพระคุณมันมากกว่าความกลัวกับการกระทำที่ไร้เหตุผลของเขา มือเรียวยกขึ้นบิดลูกบิดประตูผลักด้วยแรงเบาๆ ให้ประตูค่อยๆ แง้มเปิดเข้าไปข้างใน
“เอ๊ะ!” สะดุ้งตกใจเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นร่างสูงโปร่งที่กำลังนอนฟุบหน้าอยู่ที่โต๊ะโซนรับแขก ไม่ต้องประวิงเวลาอะไรทั้งสิ้น สองเท้าน้อยๆ รีบรุดไปยังจุดที่ร่างสูงกำลังฟุบอยู่ทันที
“คุณยูกิ คุณยูกิคะ” ส่งเสียงเรียกคนที่เหมือนจะไม่ได้สติเบาๆ
กวาดสายตามองสิ่งมึนเมาที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะกระจกใบเตี้ยตรงหน้า
‘เขาดื่มงั้นเหรอ?’ คิ้วเรียวเข้ารูปยิ่งขมวดเข้าไปใหญ่
จำได้ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่เกือบจะสองเดือนเข้าไปแล้ว ฉันยังไม่เคยเห็นยูกิดื่มจนเมาไม่รู้สึกตัวแบบนี้มาก่อนเลย แล้วไหนจะเศษซากก้นบุหรี่ที่วางเกลื่อนกลาดอยู่บนที่เขี่ยบุหรี่นั่นอีก นี่เขาทั้งดื่มและดูดบุหรี่ขนาดนี้เชียวเหรอ
“คุณยูกิคะ ได้ยินหงส์ไหม ลุกก่อนค่ะ ไปนอนที่ห้องดีกว่าไหมคะ”
ฉันละสายตาจากของที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกายที่น่าจะเป็นตัวต้นเหตุให้คนที่เย็นชาเมาจนหมดสติ ค่อยๆ ยกมือเขย่าเบาๆ ที่ไหล่เขาสองสามครั้ง เพิ่มแรงเขย่ามากขึ้นกว่าเดิมเมื่อยังไม่มีการตอบรับกลับมาจากผู้ชายผมสีชมพูตรงหน้า
“ทำยังไงดีเนี่ย ให้แบกคนตัวโตแบบนี้ไม่ไหวแน่” กัดริมฝีปากใช้ความคิดไปด้วย ทำยังไงดีๆ กระวนกระวายในใจ พลันก็ฉุกคิดใบหน้าหล่อ กวนๆ ของใครคนหนึ่งขึ้นมาได้
“จริงสิ พี่มอม้าไง” ลืมไปได้ยังไง มอม้าเองก็พักอยู่ที่คาสิโนนี้เหมือนกัน แต่เขาจะพักที่ชั้นล่างเพื่อดูแลความปลอดภัยของยุกกี้คาสิโนแห่งนี้
เมื่อคิดได้ดังนั้นก็รีบร้อนลุกยืนเพื่อลงไปตามตัวผู้ช่วยคนใหม่ แต่ทว่า...
“อย่าไป อย่า ไป” เสียงแผ่วเบาจากคนที่นอนฟุบไม่ได้สติอยู่พึมพำอะไรสักอย่าง ทำให้ฉันชะงักเท้าแล้วพยายามเงี่ยหูฟังสิ่งที่ยูกิพูด
“คุณยูกิ ได้สติแล้วเหรอคะ” แม้จะพยายามเงี่ยหูฟังว่าเขาพึมพำอะไรออกมาแต่มันเบามาก ทำให้ฉันฟังไม่ได้ศัพท์อะไรเลยสักอย่าง เลยเลือกที่จะแตะมือลงบนไหล่หนาออกแรงเขย่าเบาๆ
“อย่า ไป ขอ... โทษ”
ตึกตัก ตึกตัก รู้สึกถึงอาการเต้นแรงของก้อนเนื้อที่อกข้างซ้าย
นี่ฉันกำลังเข้าข้างตัวเองอยู่หรือเปล่า? คำที่หลุดออกมาจากปากยูกิก่อนหน้าที่บอกว่าเขา ‘ขอโทษ’ ถ้าฉันจะคิดว่าเขากำลังขอโทษฉันอยู่จะผิดไหม