“อื้อ” รู้สึกเหมือนร่างกายมีเรี่ยวมีแรงขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แถมตอนนี้เหมือนกับร่างกายนอนอยู่บนอะไรนิ่มๆ
‘ที่นอนเหรอ?’ เปลือกตาน้อยๆ สองข้างค่อยๆ เปิดออก กระพริบตาปริบๆ อยู่สองสามครั้งเพื่อปรับแสงที่แยงเข้าสู่เลนส์ตา
สิ่งแรกที่เห็นคือ เพดานสีขาวสะอาดตา บนเพดานมีดาวเรืองแสงที่ฉันให้เฮียเทียนช่วยติดไว้ก่อนเขาจะกลับฮ่องกง ถ้างั้นก็แสดงว่าฉันกำลังนอนอยู่บนเตียงนอนในห้องนอนตัวเอง?
พรึ่บ! ร่างกายกับสมองสั่งการพร้อมกัน ฉันรีบยันตัวลุกขึ้นนั่งด้วยใบหน้าตกใจ เมื่อคืนถ้าจำไม่ผิด ฉันนั่งทำงานอยู่ห้องทำงานยูกิเกือบตีหนึ่ง หลังจากนั้นเหมือนจะรู้สึกวูบๆ แล้วก็จำอะไรไม่ได้เลย
“มานอนที่นี่ได้ไง?” ถามตัวเองทั้งๆ ที่ก็จำอะไรไม่ได้สักอย่าง พลันซีกหนึ่งของสมองคิดไปถึงหน้าผู้ชายที่ไร้อารมณ์บางคน
‘ไม่ใช่หรอก’
ไม่มีทางเป็นไปได้แม้แต่เศษเสี้ยวที่คนเย็นชาแบบนั้นจะอุ้มฉันมาไว้ที่นี่
นั่งคิดไปก็ปวดหัวเปล่าๆ สำรวจร่างกายตัวเองก็ไม่ได้มีอะไรผิดปกติ เสื้อผ้ายังอยู่ชุดเดิมที่ใส่ไปส่งเฮียเทียนที่สนามบิน ฉันเลยก้าวขาเรียวเล็กเดินไปเข้าห้องน้ำเพื่ออาบน้ำให้สดชื่นและเตรียมตัวให้พร้อมรับมือเจ้านายคนโหด
ใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวไปเกือบชั่วโมงฉันก็รีบตรงดิ่งมาหาอะไรกินที่ห้องครัว แต่วันนี้ถือว่าโชคไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะดันเจอกับ
“ดูสุขสบายดีนะคะ ‘คุณ’ ไฉ่หง” น้ำเสียงแดกดันเน้นประชดคำว่า ‘คุณ’ ออกมาเสียงดังฟังชัด ฉันได้แต่กรอกตาไปมาให้กับความจิกกัดที่นานๆ ทีเธอจะเข้ามาหาเรื่องหลังจากที่รู้เรื่องฉันเป็นน้องสาวเฮียเทียน
“ก็สบายดี จ๋าล่ะ” ถามไปตามมารยาท แม้ว่าอีกคนจะเบะปากให้กับคำถามของฉันก็ตาม
“ใครจะไปสุขสบายทั้งกาย ทั้งใจแบบคุณหงส์ล่ะคะ ได้ยกตัวขึ้นไปอยู่ชั้นสองห้องใกล้ผู้มีพระคุณ สงสัยคงจะตอบแทนพระคุณทุกคืน”
จ๊ะจ๋าเน้นคำว่า ‘ทุกคืน’ ด้วยน้ำเสียงแขวะกันอย่างไม่ปิดบัง
“ก็คงงั้น” ฉันรู้ความหมายคำว่าทุกคืนของเธอดี เพราะงั้นต่อให้ฉันปฏิเสธให้ตายเธอก็คงไม่เชื่อ สู้ตามน้ำไปให้มันจบๆ ดีกว่า เพราะยังไงจ๊ะจ๋าก็ยังคงมองฉันเป็นคนที่จะมาเกาะเจ้านายเธออยู่แล้ว
“หน้าด้านนะเรา ไม่ปฏิเสธซะด้วย ระวังเงาหัวไว้บ้างล่ะ ถ้าตัวจริงคุณยูกิมาเมื่อไหร่ ต่อให้เป็นน้องสาวเพื่อนสนิท ฉันว่า... ไม่น่ารอด” พูดจบเธอก็เดินกระแทกไหล่ฉันออกไปจากห้องครัวทันที
สองคิ้วฉันขมวดกันหยุ่งเหยิง เมื่อตั้งสติและทบทวนคำพูดก่อนหน้า
‘ตัวจริง’ ของยูกิงั้นเหรอ?
แปรบ! รู้สึกหน่วงๆ ที่อกข้างซ้ายชะมัด
เป็นอะไรไป ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ไม่ได้เป็นอะไรกับยูกิสักหน่อย แต่ทำไมพอรู้ว่าคนๆ นั้นมีเจ้าของอยู่แล้วถึงได้เจ็บหน่วงๆ แบบนี้กันนะ
ยืนตั้งสติสูดอากาศเข้าปอดอึกใหญ่ จากนั้นก็เดินไปหาอะไรกิน แต่ก็ไม่วายคิดถึงคนที่ทำให้หัวใจเกือบหยุดเต้นไม่ได้ จัดแจงอาหารเช้าใส่ถาดและยกติดมือไปยังจุดหมายปลายทางที่กำลังจะไปอยู่ดี
ก๊อกๆ เคาะประตูห้องแค่สองสามครั้งเสร็จ ไม่ต้องรอให้คนข้างในเอ่ยอนุญาต มันเหมือนเป็นความเคยชิน เพราะคิดว่ายังไงเขาต้องรู้อยู่ดีว่าใครมา
“อาหารเช้าค่ะ หงส์วางไว้ตรงนี้นะคะ”
เมื่อเข้ามาถึงในห้องเสร็จ มองเห็นผู้ชายเย็นชานั่งอยู่โต๊ะทำงานตัวเขื่องของเขา หน้าตาเคร่งเครียดไม่สนใจคนมา พลันก็รู้สึกน้อยใจคนเยือกเย็นขึ้นมาตะงิดๆ
เคยเป็นมั้ย? น้อยใจทั้งๆ ที่ไม่ได้มีสถานะอะไรพิเศษกับคนๆ นั้น นอกจาก คนที่ติดหนี้บุญคุณและน้องสาวเพื่อนที่เขามองเป็นภาระ
ปึก! หลังจากที่ก้นหย่อนถึงเก้าอี้ได้ไม่ถึงสองนาที ขบวนแฟ้มมากมายก็ถูกวางไว้ตรงหน้าด้วยฝีมือของผู้ชายเยือกเย็น
“ทำงานได้ดีนี่ งั้นฝากที่เหลือด้วยแล้วกัน” เป็นคำชมที่ฟังแล้วไม่ได้รู้สึกดีใจที่ได้รับเลยสักนิด เมื่อเห็นสายตาคนพูดที่มองมาแบบไม่บ่งบอกอารมณ์หรือความรู้สึกใดๆ เลย
“ค่ะ” ตอบรับเพียงเท่านั้น ฉันก็หยิบแฟ้มที่อยู่บนสุดขึ้นมาเปิดอ่านและเริ่มลงมือทำหน้าที่ของตัวเอง ตัดขาดสิ่งรอบข้างนับตั้งแต่บัดนี้
[Yuuki’s part]
แปลก! วันนี้ยัยซื่อบื้อดูเงียบผิดปกติ ทำตัวเหมือนกับโกรธ งอน อะไรผมสักอย่าง ทั้งๆ ที่ผมอุตส่าห์เป็นคนเดินเข้าไปคุยด้วยก่อนแล้วแท้ๆ
ผมสะบัดหัวเล็กน้อยเพื่อขับไล่ภาพที่ตัวเองกำลังอุ้มไฉ่หงกลับไปที่ห้องนอนห้องถัดจากผมผ่านประตูลับที่ไม่มีใครรู้นอกจากตัวผมเอง รู้แบบนี้เมื่อคืนน่าจะปล่อยให้ยุงกัดให้ตาย! ไม่น่าแบกกลับไปนอนสบายๆ ที่ห้องเลย ให้ตายสิวะ!
กำลังจะอ้าปากหาเรื่องชวนไฉ่หงทะเลาะ เสียงเล็กๆ ใสๆ ของผู้มาเยือนตัวน้อยๆ ก็ดังขึ้นมาเสียก่อน
“อายูกิ~”
“มาได้ไงเรา หลานรักของอา” ผมรีบวิ่งไปอุ้มเด็กน้อยตาใสแป๋ว ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเพื่อนรักอย่างไอ้กรุงโซลกับแก้มใสขึ้นมาฟัดแก้มนุ่มๆ เล่น
“หวัดดีเฮีย”
ผมพาทิวลิปมานั่งที่โซฟารับแขกได้ไม่นาน เสียงลูกน้องที่ผมเกือบจะลืมมันไปก็ดังขึ้น “กูนึกว่ามึงตายห่าไปแล้ว” ผมกัดไอ้ใบไม้ทันทีที่เห็นหน้ามัน
‘ใบไม้’ เป็นลูกน้องคนสนิทผมอีกคน มันเป็นน้องชายแท้ๆ ไอ้มอม้า
ผมเคยช่วยพวกมันสองคนตอนที่กำลังจะถูกตำรวจจับข้อหาค้ายา แต่โชคดีเส้นผมใหญ่ และดูๆ แล้วเหมือนไอ้สองคนนี้มันไม่ได้ตั้งใจทำ เลยสงสารและเก็บมันมาใช้งาน
“โด่เฮีย! ใครกันล่ะส่งผมไปตายแทน” ไอ้นี่ความกวนตีนและปีนเกลียวมันไม่แพ้พี่ชายมันสักลิมิต ดูจากน้ำเสียงทะเล้นที่มันคุยกับผมสิ
“ได้เรื่อง?” ขี้เกียจพูดเรื่องไร้สาระกับมัน ถามเข้าเรื่องที่ให้มันไปสืบดีกว่า
“อาหย่อย” ทิวลิปที่นั่งอยู่บนตักผมพูดขัดขึ้นก่อนที่ไอ้ใบไม้จะตอบ
ปากเล็กๆ เคี้ยวแซนวิธที่ไฉ่หงเป็นคนทำมาให้ผมเสียงดังจั่บๆ ผมเลยยิ้มให้หลานแล้วยีหัวเล่นเบาๆ จากนั้นก็หันไปสนใจไอ้ใบไม้ที่นั่งอยู่โซฟาอีกฝั่ง
“ก็นี่ไง ผมถึงได้พาคุณทิวลิปมาด้วย” ผมขมวดคิ้วมุ่นกับคำพูดของมัน
เรื่องที่ผมให้มันไปสืบไม่ได้เกี่ยวอะไรกับทิวลิปหลานชายผมเลยไง
“ยังไงวะ?” ต่อให้ผมจะฉลาดแค่ไหน แต่ผมก็ยังหาเหตุผลมาเชื่อมโยงสิ่งที่มันพูดให้คล้องจองกับหลานชายตัวน้อยๆ ไม่เจอเลยถามมันกลับไป
“ไอ้ดำมันไปด้อมๆ มองๆ อยู่แถวๆ ทีเอสคลับ”
จบคำพูดไอ้ใบไม้ผมถึงได้เข้าใจ
ไอ้เหี้ยดำมันกำลังคิดจะเล่นงานคนใกล้ตัวผมแทนผมสินะ
“ระยำ!” ผมสบถด่ามันออกไป
“อายูจะกินยำ กินยำ” เสียงเจ๊าะแจ๊ะของเด็กเกือบสามขวบพูดเหมือนกับถูกอกถูกใจกับอาหารโปรดของตัวเอง
สงสัยเด็กมันจะเข้าใจคำว่า ‘ระยำ’ เป็น ‘ยำ’ ก็นะ ทิวลิปยังเด็กอยู่คำบางคำแกยังไม่รู้ความหมายของมัน
“ทิวลิปอยากกินยำเหรอ ได้ๆ เดี๋ยวอาให้แม่ครัวทำให้ดีมั้ยครับ”
“ว้าว! สาวสวยที่ไหนน่ะเฮีย” ผมที่กำลังคุยกับทิวลิปเพลินๆ ไอ้ใบไม้ก็ตะโกนออกมาเสียงดังลั่นห้อง ทำให้ทั้งผมและทิวลิปหยุดชะงักการพูดคุย หันมองไปตามสายตาที่ไอ้ใบไม้กำลังจดจ่ออยู่
นึกว่าอะไร ที่แท้มันก็หมายถึงไฉ่หง ที่ตอนนี้นั่งเหมือนคนเหม่อลอยมองมาทางผมกับทิวลิป
“น้องไอ้เทียน มันฝากให้ช่วยดู” ผมบอกไอ้ใบไม้ แต่สายตายังคงไม่ละไปจากใบหน้าขาวใสที่ยังคงจ้องหน้าผมอยู่ไม่ละไปไหน
“แหน่ะๆ เดี๋ยวนี้เข้ากับหญิงได้แล้วใช่ม้า~”
ป้าบ!
“โอ๊ย! เจ็บนะเฮีย” ไอ้ใบไม้ร้องลั่นหลังจากที่โดนผมตบหัวเข้าให้
“ไม่เจ็บสิแปลก ปากหมาทำซากอะไร” ผมด่ามันไม่ได้จริงจังนัก
“อายูนิสัยไม่ดี ชอบใช้ความรุนแรง”
“เอ่อ อา...”
“เฮียทำอะไรไม่ดีให้น้องทิวเห็นอีกแล้วเหรอคะ” ผมที่กำลังจะหาคำแก้ตัวกับหลานชาย เสียงหวานๆ ของใครบางคนก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง
“น้องทิวมาหาม๊ามาลูก” เสียงนั้นคือเสียงแก้มใส แม่ของทิวลิป แต่เธอไม่ได้มาคนเดียว เธอยังคงพกไอ้มนุษย์ติดเมียมาด้วย
“ขนกันมาทำไรเยอะแยะ” ผมส่งสายตากวนเบื้องล่างส่งไปให้สามีเธอ
‘กรุงโซล’ เพื่อนสนิทผมและพ่วงตำแหน่งสามีที่ถูกต้องตามกฏหมายของผู้หญิงที่เป็นแม่ทิวลิปอย่างแก้มใส
“กูคิดถึงเพื่อน มาไม่ได้ไง?” เหมือนจะจริงจัง แต่ไม่เลย คำพูดกับหน้าตาที่ทำหน้ากวนๆ ส่งมาให้มันเฟค
“อ้าว! แล้วนั่นใครคะ แก้มไม่เคยเห็นมาก่อน” เป็นแก้มใสอีกคนที่สนใจยัยซื่อบื้อที่ตอนนี้ยังคงนั่งจ้องหน้าผมท่าเดิมไม่เปลี่ยน
นี่หลับในไปแล้วหรือเปล่าวะ ผ่านมาตั้งหลายนาที มีคนเข้ามาในห้องตั้งหลายคน ดูเธอจะไม่รับรู้อะไรรอบข้าง แปลกเกินไปแล้ว!
พรึ่บ! เพราะมันแปลกเกินไป จนอดใจไม่ไหว เลยเลือกที่เดินมาดูคนที่นั่งแข็งเป็นหินที่นั่งอยู่โต๊ะทำงานตำแหน่งเลขาของเธอ
[End part]
‘อบอุ่น’ ฉันไม่เคยเห็นรอยยิ้มอบอุ่นของยูกิเลยสักครั้ง จนนาทีนี้ ที่มีเด็กน้อยตัวอวบๆ ผิวขาวใส น่าตาน่ารักวิ่งเข้ามาหาเขาในห้องทำงาน
จะเรียกว่าครั้งแรกเลยก็ว่าได้ ที่ฉันสัมผัสได้ว่าบนใบหน้าของผู้ชายที่เคยเย็นชามีสีสันขึ้นมา ใบหน้าที่มีรอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏอยู่บนนั้น บอกตามตรง ฉันไม่อาจละสายตาจากภาพของยูกิที่ดูอบอุ่นนั้นได้เลย
เปาะ!
“อ๊ะ!” ฉันสะดุ้งตัวเผลอลุกจากเก้าอี้กะทันหันเมื่อใบหูเหมือนได้ยินเสียงอะไรสักอย่างดังอยู่ใกล้ๆ พอตั้งสติได้ทำให้รู้ว่าตอนนี้ใบหน้าตัวเองเกือบจะชนเข้ากับใบหน้าคมเข้มของใครบางคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า
เฮือก! ลมหายใจติดขัดขึ้นมาแบบไม่ทราบสาเหตุ เมื่อสายตาเพ่งพินิจดูดีๆ พบว่าใบหน้านั้นคือใบหน้าของผู้ชายที่ฉันแอบมองอยู่ก่อนหน้านี้
‘เขามาตอนไหน’
“นึกว่าหลับในตายสะอีก!” เสียงแหบต่ำที่ดังรอดไรฟันทำให้สติฉันกลับมาครบถ้วนสมบูรณ์ รีบผละใบหน้าให้ออกห่างจากผู้ชายปากร้ายคนนี้
“คะ คุณยูกิมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ” พยายามถามให้เสียงเป็นปกติที่สุด
“นี่ไม่รู้สึกถึงอะไรรอบข้างเลยว่างั้น?” คนถูกถามไม่ตอบแต่เลือกที่จะส่งคำถามใหม่กลับมา ฉันจึงโฟกัสสายตาไปมองรอบห้องและพบว่าภายในห้องนี้ไม่ได้มีแค่ ยูกิ ฉัน เด็กน้อยตัวขาวๆ อีกต่อไปแล้ว แต่มันมีเพิ่มมาอีกถึงสามคน
“เอ่อ คือ” เป็นคำถามที่หาคำตอบไม่ได้จริงๆ นี่ฉันเหม่อขนาดนี้ได้ยังไง
“เหอะ! เธอนี่มัน ซื่อบื้อ! ไม่ได้เรื่องจริงๆ”
ฉึก! คำพูดที่ถูกส่งออกมาเมื่อกี้ ทำให้หัวใจดวงน้อยๆ ฉันแทบจะหยุดเต้น ทั้งๆ ที่มันก็เป็นคำปรามาสที่เขาเคยว่าฉันตั้งหลายครั้งหลายหน
ต่างกันตรงที่ครั้งนี้มันเจ็บหนักกว่าทุกครั้ง
“ขอโทษที่หงส์ทำตัวซื่อบื้อและน่ารำคาญ” ท้ายประโยคเสียงเริ่มสั่น
มันอยากจะร้องไห้ มันเหมือนน้อยใจผู้ชายเยือกเย็นคนนี้ที่ทำตัวสองมาตรฐาน คงไม่ใช่เพราะฉันอิจฉาเด็กคนนั้นหรอกนะ?
“เฮียทำอะไรน้องเค้าน่ะ ดูสิ จะร้องไห้ใหญ่แล้ว” เสียงหวานๆ ดึงให้ฉันหลุดออกจากห้วงความรู้สึกน่าขยะแขยงของตัวเอง เหลือบตาไปมองตามสัมผัสอุ่นๆ ที่กำลังโอบไหล่บางของฉันอยู่ข้างๆ
“สำออยเอง ฉันยังไม่ได้ทะ...”
“ไม่น่ารักเลยนะคะเฮียยู”
เพียงแค่ผู้หญิงหุ่นสวยข้างกายฉันพูดออกไปไม่กี่คำ กลับทำให้ผู้ชายที่เอาแต่ใจเงียบไม่กล้าพูดต่อ เธอเป็นใคร? ทำไมถึงได้มีอิทธิพลกับยูกิขนาดนี้
หรือว่าจะเป็นคนที่จ๊ะจ๋าพูดถึง
“ไปกับเจ้ดีกว่านะ อยู่ในห้องที่มีแต่คนป่าเถื่อนแบบนี้เดี๋ยวเสียสุขภาพจิต ใบไม้ฉันฝากทิวลิปด้วยนะ” ฉันไม่ได้ฟังสิ่งที่ผู้หญิงข้างๆ พูดเลยสักนิด สองตาจดจ้องเพียงแค่ใบหน้าที่สวยหวานของเธอ
“เฮ้ๆ นั่นเธอจะไปไหนแก้มใส หยุดเลยนะ กลับมานะเว๊ย!”
ทว่าตอนที่ผู้หญิงสวยๆ กำลังประคองฉันเดินออกจากห้อง ก็มีเสียงผู้ชายคนหนึ่งรั้งให้หยุด
“หุบปากไปเลยเฮีย แล้วก็ฝากสั่งสอนเพื่อนเฮียด้วย รังแกได้แม้กระทั่งผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ไม่มีทางสู้” ว่าจบเธอก็พาฉันเดินออกจากห้องทำงานยูกิ
ฉันเหมือนเลื่อนลอยไร้สติตั้งแต่ออกมาจากห้องนั้นแล้ว ครั้นพอรู้สึกตัวอีกทีถึงได้รู้ว่าตอนนี้ฉันกำลังอยู่ในสถานที่ต้องห้าม!
“อ๊ะ! ไม่ได้นะคะ คุณพาหงส์มาชั้นนี้ไม่ได้ คุณยูกิเคยสั่งห้ามไม่ให้ขึ้นมา”
ฉันรีบทักท้วงคนข้างกายที่พาฉันเดินมายัง ‘ชั้นสาม’ สถานที่ต้องห้ามที่เจ้าของสถานที่เคยสั่งห้ามไว้ตั้งแต่วันแรกที่เหยียบย่างเข้ามาที่ยุกกี้คาสิโนแห่งนี้
“ทำไมล่ะ แก้มก็ขึ้นมาประจำนะเวลามาที่นี่” เธอชื่อแก้มสินะ
เธอบอกว่าเธอเคยขึ้นมาชั้นสามนี้บ่อยงั้นเหรอ?
“เอาอีกแล้ว ขมวดคิ้วบ่อยๆ เดี๋ยวตีนกาขึ้นนะ ป้ะ! ไปนั่งตรงนู้นกัน”
ไม่ว่าเปล่าเธอยังจูงมือฉันเดินไปยังห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ ซึ่งถูกกั้นด้วยกระจกใสทำเป็นห้องออกกำลังกาย ที่มีเครื่องออกกำลังกายอยู่ประมาณสามสี่อย่าง กลางห้องนั่งเล่นมีโต๊ะสนุ๊กขนาดกำลังพอดีตั้งอยู่ด้วย
“หน้าแก้มมีอะไรติดอยู่เหรอ เห็นเราจ้องนานแล้วน่ะ”
นี่ฉันละสายตาจากการสำรวจห้องที่แปลกตาไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ถ้าหากไม่ได้เสียงหวานๆ เอ่ยถาม ฉันคงไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังทำแบบนั้นอยู่
“ขอโทษค่ะที่หงส์เสียมารยาท” เอ่ยขอโทษพร้อมกับก้มหัวลงเล็กน้อย
“...” คนที่ถูกจ้องหน้าส่ายหัวเล็กน้อยพร้อมกับรอยยิ้มหวานๆ
“เธอชื่อหงส์เหรอ แล้วเป็นอะไรกับเฮียยู”
อึก! ฉันกลืนก้อนฝืดที่จุกอยู่ตรงลำคอหลังจากได้ยินคำถาม
มันเป็นคำถามที่ตอบง่ายมาก แต่... ไม่รู้สิ!
ความรู้สึกตอนนี้คือไม่อยากบอกสถานะของตัวเองให้คนๆ นี้ฟัง
“ว่าไงจ๊ะ” เพราะฉันไม่ตอบ คนตรงหน้าเลยถามย้ำอีกหน
“หงส์เป็นน้องสาวเพื่อนคุณยูกิ และคุณยูกิเคยช่วยชีวิตหงส์ไว้” อยากตบปากตัวเองเหลือเกิน ทำไมถึงใช้น้ำเสียงแข็งกระด้างตอบออกไปแบบนั้นนะ
“…” ผู้หญิงข้างกายไม่ปริปากพูดอะไร แต่สายตาเธอเหมือนกำลังค้นหาอะไรในดวงตาสีฟ้าสดใสของฉันมากกว่า
“พวกเราไม่ได้มีอะไรเกินเลยกันนะคะ หงส์อยู่ที่นี่ในฐานะคนถูกฝาก” เหมือนกำลังร้อนรนอะไรสักอย่าง ทั้งๆ ที่ สิ่งที่พูดไปก่อนหน้าคือความจริงทั้งหมด
หมับ! คำพูดต่อไปของฉันถูกขัดด้วยฝ่ามือเรียวบางแต่แฝงไปด้วยความอบอุ่น “มองตาเจ้สิ! หงส์เห็นอะไรในดวงตาคู่นี้” เหมือนถูกสะกดจิต
ฉันจ้องมองตาสีน้ำตาลอ่อนคู่สวยตรงหน้า สายตาที่เป็นมิตร ไม่ได้มีความหวังร้ายเลยแม้เศษเสี้ยว
“ที่พูดไปก่อนหน้าคือเรื่องจริง คุณแก้มอย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะคะ” ย้ำให้เธอฟังอีกชัดๆ เกรงว่าการที่เธอให้จ้องตาเพื่อพิสูจน์ความจริงในคำตอบก่อนหน้า
“เข้าใจผิด?” แก้มเลิกคิ้ว เอียงคอจ้องมองหน้าฉัน
“ค่ะ ก็หงส์คิดว่าคุณแก้มกับคุณยูกิ เอ่อ เป็น...”
“…” คนรอฟังเงียบไม่เอ่ยขัดคล้ายรอฟังให้ฉันพูดให้จบ
แต่ฉันกลับไม่กล้าเอ่ยคำพูดต่อไป ‘ก็คุณแก้มกับคุณยูกิเป็นแฟนกันนี่คะ’
“คิกๆ” ฉันที่เบือนหน้าหันไปมองทางอื่นได้ไม่ถึงสองวิฯ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะขบขันดังออกมาจากผู้หญิงหุ่นบอบบาง
“คุณแก้มขำอะไรเหรอคะ?”
“ก็ขำความคิดเราไงล่ะ ถ้าให้เดาหงส์คงกำลังคิดว่าเจ้กับเฮียยูกิเป็นแฟนหรือว่าคนรักกันใช่ไหมล่ะ”
“…” ฉันได้แต่พยักหน้าเป็นคำตอบ
“ฉันมีลูกเธอก็เห็นใช่ไหม? เด็กที่อยู่ในห้องนั้นน่ะ” พยักหน้าแทนคำตอบอีกครั้ง “เด็กคนนั้นชื่อทิวลิป ส่วนพ่อของเด็กคือ...”
“ฉันไง? กรุงโซลสุดหล่อสามีสุดที่รักของแก้มใส”
จู่ๆ ก็มีเสียงผู้ชายทะเล้นๆ ดังขึ้นด้านหลังของฉัน พร้อมกับร่างสูงโปร่งที่ดูแล้วน่าจะเท่ากับคุณยูกิ เขาพูดจบก็เดินอ้อมมาด้านหน้า ฉวยข้อมือเล็กของแก้มให้ลุกขึ้นแล้วโอบกอดกันต่อหน้าฉัน
“ชัดมั้ยจ๊ะ น้องหงส์” แก้มใสถามฉันด้วยใบหน้ายิ้มปนขำ
‘โล่งอก’ เหมือนหัวใจกลับมาเต้นเป็นปกติอีกครั้ง
“สงสัยเพื่อนเฮียคงจะเจอศึกหนักแล้วล่ะ หึงแรงขนาดนี้”
คิ้วขมวดตามคำพูดที่ดังแผ่วเบาแต่ก็พอจับใจความได้จากสายตาว่าสองคนนี้กำลังพูดถึงฉัน
“ถึงเวลาที่เราต้องช่วยมันบ้างแล้วแหละ” ครั้งนี้ฉันได้ยินเต็มสองรูหู เหมือนทั้งสองคนตั้งใจจะให้ฉันได้ยินประโยคนี้มากกว่า
แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี พวกเขากำลังจะช่วยใคร ช่วยเรื่องอะไร แล้วทำไมสายตาสองคู่สวยนั้นถึงได้จ้องหน้าฉันพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์แบบนั้นกัน
ฉันกำลังจะอ้าปากถามแก้มใสและสามีเธอ น้ำเสียงเกรี้ยวกราดของใครบางคนก็ดังขึ้นมาจากทางด้านหลังขัดไว้เสียก่อน
“ใครบอกให้เธอขึ้นมาบนนี้!”
“อ๊ะ!” ไม่ได้มาแค่เสียง แต่มาพร้อมแรงกระชากที่ต้นแขนขวาฉัน
“เฮ้ย! ใจเย็นดิวะไอ้ยูกิ มึงแม่งชอบใช้กำลังแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ก็ตั้งแต่... อย่าเสือก!” เหมือนยูกิจะพูดอะไรตอบเพื่อนเขา แต่ก็ไม่…
“ลงไปในที่ของเธอแล้วอย่าได้เหยียบขึ้นมาบนนี้อีกเป็นครั้งที่สอง”
แววตากรุ่นโกรธส่งผ่านความเยือกเย็นมาสู่ร่างกายฉัน
“ห…หงส์ขอโทษ หงส์จะ..”
ผลั่ก!
กำลังจะเอ่ยบอก ‘ต่อไปจะไม่ขัดคำสั่งเขาอีก’ ก็โดนคนที่เคยรั้งแขนไว้สะบัดมือออกคล้ายกับเพิ่งนึกได้ว่ากำลังแตะต้องสิ่งที่เป็นเหมือนเชื้อโรคอยู่ตั้งนาน
ร่างกายที่ไม่ทันตั้งตัวเกือบจะล้มลงถ้าไม่ติดตรงที่
“เฮียแม่งทำเกินไปเปล่าวะ!” เป็นมอม้าเองที่เข้ามารับร่างฉันไว้ได้ทัน
เขามาตอนไหน? เมื่อกี้ฉันไม่เห็นเขาอยู่ตรงนี้นะ
“เกินไปตรงไหน ถ้ามึงเป็นห่วงกันนักก็เชิญพาไปเก็บในที่ของมึงสิวะ!”
น้ำเสียงชวนหัวเสียของคนพูด มาพร้อมกับสายตาแดงก่ำแต่ดูเหม่อลอย
ตอนที่ยูกิมองไปยังประตูห้องๆ หนึ่งที่อยู่ด้านในสุดของห้องที่พวกเรากำลังสิงสถิตอยู่ในเวลานี้ ทำไมตอนแรกไม่เห็นห้องนั้น หรือว่าฉันไม่ได้สังเกตเอง?
“เออ แม่ง! เฮียแม่งก็พาลแบบนี้ทุกที เมื่อไหร่จะลืมได้วะ ไอ้อดีตที่แม่ง..”
ผลั้ว!
เสียงเนื้อกระทบเนื้อที่ดังอยู่ข้างหูทำให้ฉันหลุดออกจากภวังค์ความคิดพร้อมกับยืนตัวแข็งทื่อเพราะสิ่งที่รับรู้ได้คือ ‘หมัด’ ที่กระแทกเข้าที่ใบหน้ามอม้าในขณะที่เขายังกอดประคองฉันอยู่แบบเต็มๆ
แถมหมัดนั้นก็ฉิวเฉียดเกือบโดนใบหน้าฉันไปเพียงแค่ไม่กี่เซนฯ
“มึงจะปีนเกลียว กวนตีนกูยังไงกูไม่เคยว่า แต่อย่ามาลามปามเรื่องส่วนตัวกูอีก จำไว้!” คนฟิวขาดที่ได้ระบายอารมณ์ชกต่อยคนอื่นว่าจบ เขาก็เดินดุ่มๆ กระแทกเท้าลงไปยังชั้นล่างที่เพิ่งขึ้นมาได้ไม่กี่นาที
“เธออยู่นี่ เดี๋ยวฉันลงไปคุยกับมันเอง”
เพื่อนยูกิที่ชื่อกรุงโซลบอกแก้มใส จากนั้นก็เดินตามหลังยูกิลงไป ทิ้งให้พวกเราสามคนยืนนิ่งตกใจกับเหตุการณ์ฉุกละหุกก่อนหน้า
[Krungseoul’s part]
แม่งเอ๊ย! ไอ้เหี้ยยูกิ ไอ้เพื่อนเวร เมื่อกี้ถ้ามอม้าลูกน้องคนสนิทของมันไม่มารับตัวผู้หญิงคนนั้นไว้ ป่านนี้ยัยนั่นคงล้มก้นจ้ำเบ้าไปแล้ว
แถมแม่งยังส่อสันดานเลว ฟิวส์ขาดชกลูกน้องตัวเองทั้งๆ ที่มันไม่เคยทำนิสัยเถื่อนแบบนั้นมาก่อน
แอ้ด ปัง! ผมเปิดประตูห้องนอนไอ้ยูกิด้วยแรงกระชากทั้งหมดที่มี
“ออกไป!” เสียงขับไสไล่ส่งดังลอดไรฟันของไอ้หัวชมพูฟรุ้งฟริ้งที่ไม่เข้ากับหน้าตาบูดบึ้งตะคอกใส่ผม
“มึงเป็นบ้าอะไรวะ! เมื่อกี้มันไม่ใช่มึงเลย” ผมไม่สนใจคำไล่ของมัน เลือกพูดประโยคคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบออกไปแทน
“มึงดูมันพูด!”
“จี้จุดมึง?” ผมไม่รอให้มันพูดอะไรต่อ รีบสวนทันที
ผลลัพธ์เหรอ? ได้รับสายตาเชือดเฉือนดุจมีดแหลมคมส่งมาไงล่ะ
“มึงอยากโดนอีกคน?” คิดว่าผมกลัว?
คำขู่เหมือนเด็กสองขวบ เราคบกันมาสิบปีได้แล้วมั้ง! ทำไมผมจะไม่รู้ว่ามันคิดอะไร จะทำจริงหรือไม่จริง
“มานี่มา!” ผมเดินไปนั่งโซฟากลางห้องนอนมัน พร้อมกับตบเบาะโซฟาข้างๆ ตัวเองเรียกให้มันมานั่งคุยกันแบบใกล้ชิด ไอ้ยูกิยอมเดินมาตามที่ผมเรียก แต่ดันเสือกนั่งโซฟาอีกตัวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามแทน
“ถามจริง มึงเฮิร์ทอะไร? กูว่ามึงทำเกินไปนะเว้ย!” พอก้นไอ้ยูกิถึงเบาะโซฟา ผมก็ไม่รอเวลาให้มันเปิดปากอะไร ชิงว่าให้มันก่อน
“ยัยนั่นขัดคำสั่งกูมึงก็เห็น แล้วไหนจะไอ้มอม้าที่แม่งชอบรื้อฟื้นเรื่องที่กูอยากลืมต่อหน้ายัยนั่นอีก แม่งเว้ย!”
เพล้ง! พูดจบมันก็ระเบิดอารมณ์กับที่เขี่ยบุหรี่แทน อาการหนัก สงสัยต้องหาหมอมาดามใจมันสักที ทิ้งไว้เป็นปีแบบนี้มันคงเรื้อรัง
“ข้อแรก” ผมท้าวสองแขนไว้บนพนักพิงโซฟา ยกขาไขว่ห้างเสร็จก็พูดต่อ
“ยัยนั่นที่มึงเรียก เธอไม่ได้ขัดคำสั่ง แต่เมียกูพาเธอขึ้นไปเอง” ผมพูดให้มันคิดตาม ถ้าตามันยังปกติมันคงเห็นตอนที่แก้มใสลากผู้หญิงคนนั้นไป
“แล้วยังไง เรื่องไอ้มอม้ามันจริงไม่ใช่?”
พอเถียงผมเรื่องแรกไม่ได้ มันก็เข้าสู่ประเด็นที่สองที่ทำให้อารมณ์มันเดือด
“เรื่องไอ้มอม้ากูไม่เถียง แต่มึงก็ทำไม่ถูก กูว่ามันดูเกินเหตุไป”
คำพูดไอ้มอม้าผมว่ามันไม่น่ากระแทกใจไอ้ยูกิขนาดนั้นหรอก แต่ที่มันของขึ้นน่าจะมาจากการกระทำบางอย่างของไอ้มอม้ามากกว่า ผู้ชายด้วยกันผมดูออก
อีกอย่างประสบการณ์แบบนั้นผมเคยผ่านมันมาก่อนยังไงล่ะ
“เกินไปยังไง?” ผมส่ายหน้าไม่ตอบคำถามมัน เพราะผมยังพูดเรื่องที่ค้างคาใจไม่จบ “มึงหึงไอ้มอม้า?”
“ประสาท!”
ผมพูดจบไม่ทันถึงวิฯ ไอ้ยูกิก็พูดกระแทกน้ำเสียงใส่ผม นี่ถ้ามันหยาบขนาดชูนิ้วกลางได้มันคงทำไปแล้ว จากนั้นมันก็หยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ
“มึงกลับมาสูบ?” ผมขมวดคิ้วมุ่นกับการกระทำของมัน
“…” ไม่ตอบ?
เออ ดูดเข้าไป เอาให้มันหนำใจหลังจากที่ไม่ได้เจอะเจอไอ้สารนิโคตินเกือบปีไปเลย แต่ว่าจะไม่แขวะมันแล้วนะ ปากก็ดันไปไวเกิน
“กูจำได้ว่ามึงเลิกไปตั้งแต่คบกับยัยนั่น แล้วถ้ามึงไม่สับสนมึงจะไม่ดูดมัน”
‘ยัยนั่น’ ที่ผมพูดถึงเป็นใครน่ะเหรอ? ไว้รอมันเล่าเองดีกว่า ผมไม่อยากก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวมันมาก เดี๋ยวถูกกล่าวหาว่า ‘กินเผือก’ ไปอีกคน