หลังจากที่ทั้งเจ๊ลิชากับสิตาที่มาช่วยฉันย้ายห้องออกไปได้เกือบยี่สิบนาที ฉันก็แหงนมองนาฬิกาที่แขวนอยู่ผนังห้อง ที่ตอนนี้บ่งบอกว่าเกือบจะสองทุ่มแล้ว
“ตายแล้ว!” ฉันอุทานออกมาด้วยอารามตกใจ นี่มันเลยเวลาที่ยูกิต้องทานอาหารเย็นแล้วนี่นา ปกติยูกิต้องทานไม่เกินทุ่มครึ่ง ไม่รอช้าฉันรีบวิ่งลงไปที่ครัวเตรียมอาหารง่ายๆ และรีบตรงดิ่งไปที่ห้องทำงานยูกิทันที
ก๊อก ก๊อก
ส่งสัญญานแจ้งเจ้าของห้องว่าผู้มาเยือนกำลังจะเข้าไปแล้วเรียบร้อย ฉันก็ไม่ต้องรอให้คนข้างในอนุญาตถือวิสาสะบิดลูกบิดประตูแล้วเข้าไปทันที
“คุณยูกิ” เมื่อพบว่าภายในห้องว่างเปล่า ไม่มีคนที่เป็นเจ้าของอาหารจานนี้รออยู่ ฉันก็เริ่มที่จะส่งเสียงเรียกเขาเบาๆ สองสายตากวาดมองไปรอบๆ ห้องทำงานที่ไม่ได้กว้างมากเท่าไหร่ แต่ก็ไม่พบ
สายตาสะดุดเข้ากับประตูห้องเชื่อมที่อยู่ข้างตู้หนังสือ ซึ่งถ้าเปิดมันออกข้างหลังประตูบานนั้นจะเป็นห้องนอนส่วนตัวของยูกิ
“หรือว่าจะอยู่ในห้องนอน?” ไม่คิดเปล่า สองเท้าน้อยๆ ค่อยๆ ก้าวย่างตรงไปที่หน้าประตูห้องนอนนั้น ยกมือขึ้นกำลังจะเคาะประตู แต่ต้องชะงักค้างไว้เพราะได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังพูดอะไรสักอย่าง
“อย่าไป อย่าไป”
เสียงที่ได้ยินมันดังเบามากอาจจะเพราะภายในห้องเก็บเสียงด้วยล่ะมั้ง
แต่ก็พอจับน้ำเสียงได้ว่าเจ้าของเสียงดูเจ็บปวดมากขนาดไหน ร่างกายมักไปไวกว่าความคิด มือเรียวเล็กเอื้อมบิดลูกบิดประตูซึ่งมันไม่ได้ล็อก ทำให้ฉันเข้ามาภายในห้องที่กำลังมืดสนิทได้สบายๆ
ยืนปรับสายตาภายในห้องที่มืดอยู่เพียงชั่วครู่ ฉันก็พอมองเห็นเงาลางๆ ของข้าวของเครื่องใช้ภายในห้องนี้ และด้วยความที่เคยเข้าออกห้องนี้มาบ้างแล้วฉันเลยรู้ตำแหน่งว่าเสียงที่ได้ยินนั้นเจ้าของเสียงคงกำลังนอนอยู่บนเตียงนอนที่อยู่มุมขวาของห้อง
“อย่าไป อย่าทิ้งฉันไว้... นะ” ยิ่งเข้าใกล้เตียงนอนนั้นมากเท่าไหร่ เสียงนั้นก็ชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น เสียงหอบหายใจของคนที่กำลังนอนอยู่บนเตียงดังแรงมาก เสียงที่เหมือนกำลังละเมอห้ามใครสักคนก็ดูปวดร้าวแบบสุดๆ
หมับ! ฉันเอื้อมมือไปจับมือหนาใหญ่เอาไว้เบาๆ ลูบไล้หลังฝ่ามือหนานั้นเพื่อเป็นการปลอบให้เขาหลุดพ้นจากฝันร้าย
น่าแปลก! ตอนที่ฉันทำแบบนี้กับยูกิ มันเหมือนกับว่าฉันคุ้นชินกับการทำแบบนี้จากใครสักคนเหมือนกัน
“ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร เดี๋ยวฝันร้ายมันจะค่อยๆ หายไป เพี้ยง!” ฉันก้มลงไปเป่าลมเบาๆ ที่หลังฝ่ามือหนาที่ตัวเองกำลังลูบเบาๆ อยู่
แวบหนึ่ง! ฉันเห็นคล้ายๆ กับภาพซ้อนของสิ่งที่ฉันกำลังทำอยู่นี้ มันเกิดกับฉัน แต่กลับกันตรงที่ฉันเป็นคนนอนอยู่บนเตียงและมีเงาร่างเล็กนั่งอยู่ข้างๆ เตียงฉันและกำลังปลอบใจฉันเช่นเดียวกับที่ฉันทำอยู่
“โอ๊ย!” มือที่กำลังลูบปลอบคนที่กำลังละเมอถูกกระชากอย่างแรง ดึงให้ฉันหลุดจากภาพเลือนลางในหัวสมอง
“ทำอะไร!” น้ำเสียงแข็งกระด้างที่พูดรอดไรฟันดังขึ้นถามฉัน เพียงไม่นานห้องที่มืดสนิทก็สว่างวาบขึ้นมาเพราะคนที่นอนละเมออยู่ก่อนหน้าเป็นคนเปิดมัน
“หะ หงส์ เอ่อ”
“เธอทำไม!”
พลั่ก!
“อ๊ะ!”
ฉันยังพูดไม่ทันจบคนใจร้ายที่ไม่ฟังเหตุผลอะไรเลยก็ตะคอกถามฉันพร้อมกับสะบัดมือออกจากข้อมือฉันด้วยความแรงระดับหนึ่ง ทำให้ฉันพลัดตกลงจากเตียงนอนที่ค่อนข้างสูง
“กล้าดียังไงบุกห้องฉัน!” ยูกิสะบัดผ้าห่มที่คลุมตัวออก เขาก้าวลงจากเตียงท่าทางขึงโกรธ มันชวนให้ขนในกายฉันพร้อมใจกันลุกเกรียวด้วยความสั่นกลัว
“หงส์ขอโทษ หงส์แค่ ว๊าย!” ฉันยังพูดไม่ทันจบว่าเป็นห่วงเห็นเขานอนละเมอไม่ได้สติเลยจะเข้ามาดู แต่ก็ไม่ทันได้พูดอะไรออกไป
ยูกิเดินมาถึงตัวฉันที่ยังคงนั่งแหมะอยู่บนพื้นพรม กระชากแขนฉันให้ลุกขึ้นด้วยความแรงระดับที่ข้อมือฉันคงช้ำเป็นปื้นแน่ๆ
“อย่าเสนอหน้าเข้ามาพื้นที่ส่วนตัวฉันอีกเป็นครั้งที่สอง”
น้ำเสียงเหี้ยมเกรียมที่ดังรอดไรฟันนั้นยังไม่น่ากลัวเท่ากับแววตาที่เหมือนราชสีห์กำลังอยากฉีกกระชากร่างของเหยื่อที่ไม่มีค่าตรงหน้า
“คนไม่มีเหตุผล” ความน้อยเนื้อต่ำใจมีมากกว่าความกลัว เลยทำให้ฉันพลั้งปากพูดออกไป
“กล้าดีนี่!” เสียงเรียบต่ำเอ่ยออกมา พร้อมกับแรงบีบที่เพิ่มมากขึ้นที่ข้อมือฉัน รับรู้ได้เลยว่าฉันพลาดมากที่ไปราดน้ำมันลงบนกองเพลิงที่กำลังรุกโชน
“โอ๊ย! หงส์เจ็บ” ฉันพยายามสะบัดมือออกจากฝ่ามือหนาที่กำลังบีบอยู่
“อยากเสนอหน้าเข้ามาเอง อย่าร้องโอดโอย”
‘บ้าไปแล้ว’
แค่ฉันเผลอเข้ามาเพราะความเป็นห่วงเขา ถึงกับต้องโกรธกันขนาดนี้เลย?
“หงส์เป็นห่วงนี่คะ ว๊าย!” แค่เอ่ยคำว่าเป็นห่วงแค่นี้ คนใจร้ายถึงกับผลักฉันล้มลงพื้นอีกครั้ง
“เก็บความเป็นห่วงของเธอไว้ตรงนั้นแหละ ฉันไม่เคยอยากได้ไอ้ความเป็นห่วงจากผู้หญิงหน้าไหนทั้งนั้น” น้ำเสียงและแววตาแข็งกระด้างนั้นมันช่างบาดลึกลงกลางอกข้างซ้ายฉันเสียจริง
เจ็บ! ทั้งๆ ที่ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้เจ็บถึงเพียงนี้
“ทำไมคุณยูกิต้องเย็นชากับหงส์ ทำเหมือนกับเคียดแค้นผู้หญิงทุกคนแบบนั้นด้วยคะ” ฉันข่มความหวาดกลัวและความเสียใจเอาไว้ เอ่ยถามในสิ่งที่อยากรู้มานานแล้วออกไป
“ยุ่ง! ไม่ใช่เรื่องของเธอ ออกไปได้แล้ว ก่อนที่ฉันจะเปลี่ยนใจเรียกไอ้เทียนมารับเธอกลับฮ่องกงมันซะตอนนี้”
พูดจบยูกิก็เดินผ่านร่างฉันเพื่อที่จะออกจากห้องนี้ ทั้งๆ ที่เป็นคนไล่ฉันออกจากห้องเอง แต่เขากลับเป็นคนที่จะเดินออกไปแทน
“หงส์ไม่รู้หรอกนะคะว่าคุณมีปมอะไรเกี่ยวกับผู้หญิง” เสียงของฉันทำให้เท้าที่กำลังจะก้าวไปถึงประตูห้องหยุดชะงัก
“แต่อยากให้คุณยูกิใช้เหตุผลบ้าง ผู้หญิงไม่ได้เหมือนกันทุก...”
“หุบปาก! ถ้าเธอไม่รู้อะไร” ฉันยังไม่ทันบอกให้จบเลย ว่าผู้หญิงทุกคนไม่เหมือนกัน แต่ก็ถูกคนเอาแต่ใจไม่ฟังใครขัดขึ้นก่อน
“ใช่! หงส์มันไม่รู้อะไร หงส์ไม่ได้อยากเข้ามายุ่งวุ่นวายกับคุณยูกิเลยแม้แต่น้อย” น้ำเสียงฉันเริ่มสั่นเพราะกำลังกักกั้นน้ำตาไม่ให้ไหล
“แต่เพราะหงส์เห็นคุณยูกิเหมือนกับกำลังจมปรักและทรมานกับเรื่องอะไรสักอย่าง เลยอยากจะช่วยให้ผ่อนคลายลงบ้าง อ๊ะ!” เป็นอีกครั้งที่ฉันยังพูดไม่ทันจบ คนที่อยู่ตรงหน้าประตูห้องนอนก็เดินมาด้วยความไว คว้าหมับเข้าที่ร่างบอบบางของฉัน
“อยากช่วยผ่อนคลายงั้นหรอ?” ฉันมองตามสายตายูกิที่ตอนนี้เขาเอาแต่มองตั้งแต่หัวไล่ต่ำลงมาเรื่อยๆ และหยุดตรงที่...
“ไม่ใช่นะ ไม่ใช่อย่างที่คุณยูกิคิดนะ” เพราะสายตาแพรวพราวเหมือนเสือเจอกวางน้อยที่ถูกใจและอยากขย้ำมายืนล่ออยู่ตรงหน้า ทำให้ฉันพยายามผลักแผ่นอกแน่นหนั่นของยูกิออกไปให้ห่างตัว
“อย่างที่ฉันคิดน่ะ มันอย่างไหนเหรอ” น้ำเสียงชวนเซ็กซี่ที่เอ่ยมา ทำให้ฉันกลืนน้ำลายคงคอด้วยความยากลำบาก
“หะ หงส์” ผลักสิไฉ่หง ผลักเขาด้วยแรงทั้งหมดที่เธอมี
ฟุบ พรึ่บ!
“อ๊ะ!” ฉันยังไม่ทันได้ตั้งตัวหรือเรียกสติกลับมาได้เต็มที่เลย ยูกิก็ผลักฉันลงกับที่นอนหนาใหญ่ด้านหลัง พร้อมกับตามมาคร่อมตัวฉันไว้อีกที
“แบบนี้เหรอ ที่เธออยากให้ฉันผ่อนคลาย” ไม่ว่าเปล่า เขายังค่อยๆ ไล้มือหนาตามกรอบใบหน้าฉัน ไล้ลงมาที่ลำคอขาวเนียน ทำให้ขนแขนฉันลุกชันด้วยความหวาดหวั่นปนสาดเสียว
“ไม่... ใช่” ฉันพูดติดขัด พยายามดึงสติที่มันกำลังจะกระเจิดกระเจิงออกไปให้เข้าที่ แต่มันช่างยากเสียเหลือเกิน เพราะคนบนร่างไม่ยอมหยุดการลากไล้ฝ่ามือไปตามร่างกายของฉันสักที
“ตกลง ใช่ หรือ ไม่ใช่”
เขายังคงยอกย้อนคำพูดฉันเหมือนกับสนุกขบขันมากมายอย่างงั้นแหละ
“คุณยูกิอย่า!” ฉันรีบคว้าหมับเข้าที่มือหนาใหญ่ข้างหนึ่งที่กำลังไล้ไปที่ขาอ่อนด้านในกระโปรงตัวสั้นของฉัน
“อย่าช้า?” ยังมีหน้ามาเลิกคิ้วทำน้ำเสียงล้อเลียนฉันอีก
มันกลายมาเป็นแบบนี้ได้ยังไง เมื่อกี้เรายังทะเลาะกันอยู่ข้างเตียงอยู่เลย แล้วทำไมตอนนี้กลับกลายเป็นมาทะเลาะกันบนเตียงแทนแบบนี้
[Yuuki’s part]
ผมกำลังเป็นบ้าอะไรอยู่วะ!
ช่วงหัวค่ำผมนั่งรอกินข้าวที่เวลาทุ่มครึ่งผมควรจะได้กินแล้วแต่วันนี้กลับนั่งรอจนท้องกิ่วแต่ยัยจุ้นจ้านนั่นกลับไม่มาสักที ผมเลือกที่จะไม่รอเข้ามาเอนหลังพักในห้องนอน กะว่าจะพักสายตาสักห้านาทีแต่ไม่รู้ว่าผล็อยหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่
ผมกำลังฝันถึงใครสักคนที่ทำยังไงผมก็ไม่เคยลืมเธอได้เลย และผมเหมือนคนที่กำลังขาดอากาศหายใจเพราะความเจ็บปวดในฝันมันช่างเหมือนจริงเมื่อคนๆ นั้นกำลังค่อยๆ เลือนหายไป
กลับมีสัมผัสอบอุ่นบางอย่างอยู่แถวๆ ฝ่ามือผม สัมผัสนั้นมันทั้งนุ่มนวล ความอุ่นแผ่ซ่านส่งมาให้ผมถึงในความฝัน
ผมคงยังฝันอยู่สินะ ฝันว่ามีนางฟ้าตัวน้อยๆ กำลังร่ายพรให้ความเจ็บปวดผมจางหายไป และมันได้ผลทันทีที่ผมสัมผัสได้ถึงสายลมอ่อนๆ แตะเข้าสักส่วนในร่างกาย ความเจ็บปวดในหัวใจก็หายไปโดยสิ้นเชิง
เพียงไม่นานผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นจากฝันหวานนั้น และพบว่ามีใครบางคนกำลังนั่งอยู่ข้างเตียงนอนที่เป็นพื้นที่ส่วนตัวของผม
ไม่รอช้า ทันทีที่จมูกผมได้กลิ่นหอมที่ไม่คุ้นเคยแต่กลับตราตึงหัวใจผมแปลกๆ ผมก็รีบคว้าข้อมือนั้นไว้ เอื้อมมืออีกข้างไปเปิดไฟ ทั่วทั้งห้องสว่างโล่จึงได้รู้ว่าใครคือคนที่อยู่ในห้องนี้กับผม
“ปล่อยหงส์นะ อย่าทำแบบนี้” เสียงเล็กๆ ที่สั่นเทาเพราะความกลัวดึงสติผมให้กลับมาสนใจร่างบอบบางที่อยู่ใต้ร่างผมอีกครั้ง
“เธอเสนอเอง” ผมบอกเธอออกไป
ผมไม่ได้เข้าใจผิดใช่ไหม? เธอบอกเองว่าอยากช่วยให้ผมผ่อนคลาย และทางเดียวที่ผู้ชายใช้ผ่อนคลายก็ต้องเป็น... เรื่องบนเตียง
“หงส์ไม่ได้เสนอ คุณยูกิอย่ามั่ว” ยังปากดีไม่เลิก
ไม่ค่อยมีผู้หญิงคนไหนกล้าปากดีเถียงผมมานานมากแล้ว
นานมากตั้งแต่...
ฟึ่บ!
ผมรีบผละตัวขึ้นจากการทาบทับร่างบางของไฉ่หง เมื่ออยู่ๆ สมองมันก็แวบภาพของคนที่ผมพยายามลืมมันไปแต่แม่งก็ไม่เคยหายไปสักที
“รีบไสหัวไปก่อนที่ฉันจะเปลี่ยนใจ!”
สิ้นคำสั่งผม ไฉ่หงก็รีบร้อนลงจากเตียงนอนผม วิ่งออกไปจากห้องนี้แบบไม่หันหลังมองกลับมาสักเสี้ยวเดียว
ผมยกมือขึ้นลูบหน้าเพื่อเรียกสติให้กลับเข้าสู่กายเนื้อ
เกือบไปแล้ว ผมเกือบจะทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจของไอ้เทียนเพื่อนตัวเองแล้วไหมล่ะ จังหวะที่กำลังจะลุกจากเตียงเพื่อออกไปจัดการธุระข้างนอกที่ตอนนี้น่าจะได้เวลาแล้ว ตาคู่คมก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างหล่นอยู่บนเตียงนอนที่ไฉ่หงเพิ่งจะลุกออกไป
ผมเอื้อมมือไปหยิบเจ้าถุงสีแดงที่ปักลายเป็นตัวอักษรภาษาจีนขึ้นมาดู
รู้สึกคุ้นกับลายผ้าและตัวหนังสือที่ปักอยู่บนนั้นเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของมันอย่างแปลกประหลาด แต่ก็เลิกสนใจแล้วเลื่อนลิ้นชักข้างหัวเตียงออกมาแล้วเก็บเจ้าถุงสีแดงนั้นไว้ในนั้น
คิดว่าผมจะเอาไปคืนยัยนั่นเหรอ? ไม่มีทาง! ผมไม่ใช่คนดีขนาดนั้น
ในเมื่อเธอทำมันหล่นในห้องผม ตอนนี้มันก็เป็นของๆ ผม อย่างชอบธรรม
ผมคิดแบบนี้ถูกมั้ย?
[End part]
หลังจากวันนั้นที่ฉันกล้าบ้าบิ่นบุกเข้าไปที่ห้องนอนยูกิก็ผ่านมาเกือบจะสองวันเต็มๆ แล้ว ที่ฉันไม่เคยอย่างกรายเข้าไปใกล้เขา แม้แต่ห้องทำงานหรือหน้าที่ประจำอย่างการทำอาหารสามมื้อและทำความสะอาดห้องของเขาฉันก็ไม่ทำและยูกิเองก็ไม่ได้ให้คนมาตามฉันไปทำหน้าที่เช่นกัน
ก๊อก ก๊อก
ฉันที่กำลังง่วนอยู่กับการหาของสำคัญบางอย่าง ที่มันหล่นหายไปตั้งแต่วันที่ฉันมีปากเสียงกับคนไร้เหตุผลวันนั้น ก็มีคนเคาะประตูห้องซึ่งถ้าเดาไม่ผิดคงเป็นพี่ชายฉันเอง
แอ้ด~
“ทำไรอยู่ หื้ม” นั่นไงว่าแล้ว
ไม่ค่อยมีใครมาเคาะห้องฉันหรอกนอกจาก เฮียเทียน มอม้า และพวกเจ๊ลิชา
“หงส์กำลังหาของอยู่น่ะค่ะ” ฉันตอบพี่ชายตัวเองและผละตัวออกจากหน้าประตูห้อง หลีกทางให้ผู้มาเยือนเดินเข้ามาข้างใน
“โห! นี่สำคัญขนาดรื้อห้องรกขนาดนี้เชียวเหรอยัยน้อง”
เสียงพูดที่ค่อนข้างตกใจ ตาตี๋ๆ เบิกกว้าง อ้าปากค้าง เมื่อมองดูสภาพห้องที่ตอนนี้ เสื้อผ้าทั้งตู้ถูกรื้อออกมากองอยู่บนเตียงนอน ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ที่สมควรจะอยู่ประจำที่กลับถูกฉันรื้อมากองบนพื้นห้องจนหมด
“ไม่รู้ว่าสำคัญมากแค่ไหน แต่มันเป็นของชิ้นเดียวที่ติดตัวหงส์มาตั้งแต่ฉิงเฉาพาข้ามทะเลมาที่ไทย” น้ำเสียงฉันเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด
“บอกเฮียหน่อยสิ น้องสาวคนสวยกำลังหาอะไร เผื่อเฮียจะได้ช่วยหา”
เฮียเทียนเดินเข้ามารวบร่างบางของฉันเข้าไปกอด ฝ่ามือหนาค่อยๆ ลูบลงบนเส้นผมยาวสลวยของฉันเบาๆ คล้ายปลอบใจ
“หงส์กำลังหาถุงใบเล็กๆ สีแดงที่ปักชื่อหงส์ไว้บนนั้นค่ะ” ฉันผละหัวที่ซบอกพี่ชายตัวเองออก เงยหน้ามองหน้าเฮียเทียนด้วยน้ำตาคลอหน่วย
“อ๋อ! ถ้าเป็นถุงผ้านั่นมันก็สำคัญจริงๆ นั่นแหละ” เฮียเทียนพยักหน้าให้ฉัน พร้อมกับกวาดตามองรอบห้องที่แสนจะรกรุงรังนั่น สองคิ้วขมวดคล้ายกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง “ครั้งสุดท้ายหงส์วางไว้ตรงไหนล่ะ?”
คำถามที่ฉันคิดอยู่แล้วว่าต้องได้ยินก็ดังขึ้น ครั้นจะตอบออกไปฉันก็ไม่กล้า กลัวเฮียเทียนจะคิดว่าฉันเป็นผู้หญิงไวไฟบุกเข้าห้องผู้ชายตั้งแต่หัวค่ำหรือเปล่า
แต่อีกใจหนึ่งฉันก็แค่ไม่แน่ใน ครั้งสุดท้ายที่ฉันเห็นถุงผ้านั้นมันเป็นวันนั้นด้วยหรือเปล่า ฉันได้พกติดตัวเข้าไปที่ห้องยูกิด้วยใช่ไหม?
“ก็ถ้าหงส์คิดออกหงส์คงไม่รื้อห้องรกขนาดนี้หรอกค่ะ” ฉันแกล้งทำน้ำเสียงแข็งใส่พี่ชายเพื่อกลบเกลื่อนสิ่งที่ตัวเองคิดเอาไว้
“อืม มันก็จริง มา! เดี๋ยวเฮียช่วยหาอีกแรง สองคนอาจจะหาได้ทั่วถึงมากกว่า” เฮียเทียนไม่ว่าเปล่า เขารีบเดินไปหาตรงโต๊ะเครื่องแป้งที่มีลิ้นชักหลายชั้น เขาค่อยๆ เปิดที่ละชั้นค้นมันด้วยความละเอียด
‘หงส์หาตรงนั้นมาสามรอบแล้ว ถ้าเฮียเห็นผีคงบังตา’
ฉันอยากบอกพี่ชายตัวเองแบบนี้ แต่ก็เลือกที่จะไม่พูดออกไป เผื่อว่าสิ่งที่มองไม่เห็นจะแกล้งฉันเข้าให้ ถ้าเกิดเป็นงั้นจริง สงสัยฉันคงอ้อนเฮียเทียนให้กลับไปนอนที่ห้องเก็บของเหมือนเดิมแล้วล่ะ
พวกเราสองพี่น้องใช้เวลารื้อหาถุงผ้าอันเล็กกระจิ๋วอยู่นานสองนานก็ไม่เจอ ฉันเองก็เริ่มจะถอดใจและสงสารพี่ชายตัวเองเสียเหลือเกิน
ท่าทางขมักขะเม้นช่วยฉันหาแบบไม่พูดไม่จา ไม่ลุกมาพักเหนื่อยแม้สักวินาที ทำให้ฉันล้มเลิกความตั้งใจ หวังว่าถ้าหล่นอยู่ภายในคาสิโนแห่งนี้เดี๋ยวก็คงมีคนเอาไปประกาศหาเจ้าของบ้างล่ะ
“เหนื่อยแย่เลย เดี๋ยวหงส์ไปเอาน้ำมาให้ดื่มนะคะ”
หลังจากที่พวกเราเลิกค้นหาแล้วมานั่งที่ห้องนั่งเล่นแทน ฉันมองดูสภาพพี่ชายตัวเองที่เหงื่อท่วมตัวทั้งที่ห้องก็เปิดแอร์แล้วมันอดสงสารและปลื้มใจไปในเวลาเดียวกันไม่ได้
“ก็ดี รีบไปรีบมาล่ะ เฮียมีเรื่องสำคัญจะคุยกับเรา” ฉันพยักหน้ารับแล้วรีบเดินออกจากห้องตัวเอง ตรงไปยังห้องครัวเพื่อคั้นน้ำแครอทให้พี่ชายตัวเอง
ฟืด ฟืด เสียงเครื่องคั้นน้ำผลไม้คงดังมาก ทำให้ฉันไม่รู้ตัวว่าตอนนี้มีใครบางคนยืนอยู่ข้างหลังฉันในระยะเผาขน
“ทำอะไร ไหนอาหารว่างฉัน”
“ว๊าย!”
ฉันสะดุ้งสุดตัว หลังจากที่เสียงคล้ายกระซิบดังแผ่วเบาอยู่ข้างหู ลมหายใจอุ่นๆ กระทบที่ลำคอเนียนฉันเบาๆ เรียกไรขนอ่อนทั่วกายลุกชัน
“คุณยูกิ!” เมื่อตั้งสติได้ และเห็นว่าใครคือเจ้าของเสียงนั้นฉันก็รีบเรียกเขาด้วยเสียงสั่นเครือ “ทำไมต้องทำท่ากลัวฉันขนาดนั้น”
‘ไม่กลัวสิแปลก’ ฉันไม่กล้าท้วงกลับ ได้แค่คิดในใจ
หลังจากเหตุการณ์วันนั้นทำให้ฉันไม่กล้าที่จะต่อปากต่อคำหรือแม้แต่เฉียดกายเข้าใครเขาอีกเลย อาจจะเป็นเพราะยังโกรธเขาที่ไม่มีเหตุผล ไม่ฟังอะไรก่อนแล้วก็มาเอะอะทึกทักเอาเอง
ถ้าวันนั้นเขาหยุดตัวเองไม่ทันอะไรจะเกิดขึ้นฉันไม่อยากจะคิด เพราะงั้นอยู่ห่างๆ ยูกิไว้น่าจะปลอดภัยที่สุด