ได้ยินว่าในเมืองหนิงป่อไห่มีพรรคงูใหญ่สาขาย่อยคอยดูแลจัดสรรความเรียบร้อยด้านต่างๆ ภายในเมือง ไม่ว่าจะเรื่องเดินเรือ ดูแลระบบการค้า หรือเชื่อมสัมพันธภาพกับต่างแดน ทั้งหมดล้วนอยู่ในการดูแลของประมุขนามว่า ‘ฉางซุนไท่หยาง’ ทั้งสิ้น
สองวันที่หร่วนอิ๋งซุยกับซุ่นเหยากวานทำความสะอาดร้านและเรือนพักหลังเล็กของพวกตน แม้ปากของนางจะบ่นว่าเหนื่อยบ้างละ ที่นี่สกปรกเกินไปบ้างละ แต่มือและเท้ากลับทำงานอย่างขยันขันแข็ง บวกกับสมองคอยแต่คิดเรื่องตั้งชื่อร้านใหม่
ระหว่างทำความสะอาด ซุ่นเหยากวานได้สอบถามจนรู้ความเป็นไปภายในเมืองหนิงป่อไห่จากเถ้าแก่ร้านเครื่องเคลือบข้างๆ
จะอย่างไรก็แล้วแต่ ซุ่นเหยากวานคิดว่า หากจะอยู่ให้รอดในพื้นที่ที่มีคนใหญ่คนโตดูแลระบบระเบียบเช่นนี้ พวกเขาจำต้องทำความรู้จักกับประมุขพรรคงูใหญ่สาขาย่อยคนนั้นเอาไว้ เพื่อความสะดวกในวันข้างหน้า
และในเช้าวันที่สาม หลังจากหร่วนอิ๋งซุยกับซุ่นเหยากวานทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว นางกับเขาก็เดินทางมาที่ตั้งพรรคงูใหญ่เพื่อพบฉางซุนไท่หยาง
หากทว่า...
“ประมุขฉางซุนไม่อยู่”
คนเฝ้าประตูพูดเสียงห้วน สีหน้าขึงขังจริงจัง หนำซ้ำยังมอง
หร่วนอิ๋งซุยอย่างดูแคลน ประหนึ่งว่าหญิงสาวธรรมดาคนหนึ่งจะเอาปัญญาที่ไหนมาทำการค้า ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเข้าพบประมุขโดยตรง นั่นเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก และน่ากลัวว่านางจะเอาเรื่องการค้ามาบังหน้าเพื่อเข้าหาประมุขของตนเหมือนสตรีคนอื่นที่หวังเพียงความสบาย
ถึงแม้หร่วนอิ๋งซุยจะเพิ่งออกจากบ้านมาอยู่ในที่ไกลครั้งแรก ไร้ประสบการณ์การทำการค้าหรือการผูกมิตรกับคนใหญ่คนโต แต่สายตาของนางมิได้มืดบอด และย่อมอ่านความคิดจากสีหน้าของคนเฝ้าประตูออก เขาก็เพียงแค่กันไม่ให้นางพบประมุขฉางซุนเท่านั้นเอง
แต่เพราะอะไรล่ะ! นางอุตส่าห์แบกหน้าเดินทางมาถึงที่ตั้งพรรคงูใหญ่เพื่อทำทุกอย่างให้ถูกต้อง มิใช่ลอยหน้าลอยตาอยู่แต่ในบ้านเหมือนตอนอยู่เมืองหลวงเสียหน่อย
หร่วนอิ๋งซุยคิดอย่างฉุนเฉียว และเริ่มส่งเสียงฮึดฮัด แต่ก่อนที่นางจะหมดความอดทน ซุ่นเหยากวานที่ใจเย็นกว่าก็ออกหน้าถามอย่างมีมารยาทแทน
“พี่ชาย แล้วท่านรู้หรือไม่ว่า ประมุขฉางซุนจะกลับมาเมื่อไร”
“ไม่รู้”
คนเฝ้าประตูยังคงตอบแบบขอไปที และนั่นทำให้มือที่แนบข้างลำตัวของหร่วนอิ๋งซุยเริ่มกำเป็นหมัด
ซุ่นเหยากวานหลุบตามองคุณหนู แล้วหันมาปั้นหน้ายิ้มให้กับคนเฝ้าประตู พูดอีกว่า
“ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้ ข้ากับคุณหนูของข้าจะมาใหม่ รบกวนพี่ชายรายงานท่านประมุขได้หรือไม่ว่าร้านผ้าสกุลหร่วน ไม่สิ ร้านผ้า ‘มั่งมี’ ต้องการเข้าร่วมกลุ่มการค้าด้วย”
“ไม่จำเป็น” คนเฝ้าประตูพูด ก่อนจะตวัดตามองหร่วนอิ๋งซุยอีกแวบหนึ่งและพูดต่อ “ประมุขฉางซุนน่ะงานเยอะ ยังไงพวกเจ้าก็ไม่ได้เข้าพบง่ายๆ หรอก ตัดใจเสียเถอะ”
“ทำไมล่ะ! หากเจ้ากีดกันไม่ให้พวกเราพบประมุขฉางซุน ถ้าอย่างนั้น เจ้าจะให้พวกเราทำการค้าแบบมีอุปสรรคหรือไง หา!”
คราวนี้ หร่วนอิ๋งซุยหมดความอดทนกับท่าทางถือตัวอวดดีของคนเฝ้าประตูจริงๆ แล้ว
“เจ้าเป็นแค่คนเฝ้าประตูแท้ๆ มีสิทธิ์อะไรตัดสินแทนประมุขของเจ้า”
ชายเฝ้าประตูมองนางด้วยท่าทางอึ้งงัน เขาเคยพบเห็นคุณหนูจากตระกูลใหญ่ที่เสนอตัวให้ประมุขฉางซุนมากมาย ต่อให้พวกนางถูกกีดกันจนโมโหก็ทำได้เพียงกระมิดกระเมี้ยนและบ่นน้อยๆ แต่เด็กสาวคนนี้กลับอารมณ์ร้อนจนน่าตกใจ
ริมฝีปากของชายเฝ้าประตูเผยอเปิดพะงาบๆ เหมือนทำท่าจะพูด แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไร กระทั่งชายหนุ่มข้างๆ เด็กสาวเอ่ยเสียงห้ามปราม เขาถึงตั้งสติได้
“คุณหนู” ซุ่นเหยากวานเรียกหร่วนอิ๋งซุย จากนั้นก็ส่ายหน้าเล็กน้อย
หร่วนอิ๋งซุยตวัดตามองค้อนซุ่นเหยากวาน แต่ก็ยอมสูดหายใจเข้าลึกเพื่อข่มกลั้นอารมณ์ให้เย็นลง ทั้งที่ในใจคิดว่า ทำไมต้องพูดดีกับคนเฝ้าประตู ในเมื่อมันผู้นี้ไม่ได้พูดดีหรือแสดงความมีน้ำใจกับพวกเราเลย
นางยืนกอดอก หันข้างให้กับคนเฝ้าประตู แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่พอใจอย่างยิ่ง
ซุ่นเหยากวานตรงข้ามกับนางทั้งสิ้น เขาใช้โอกาสที่ชายเฝ้าประตูกำลังอกสั่นอย่างหวาดๆ หันมายิ้มบอกด้วยวาจาสุภาพ
“ถ้าเช่นนั้น พรุ่งนี้ พวกเราจะมาพบประมุขฉางซุนใหม่ ต้องรบกวนพี่ชายด้วยนะขอรับ”
หร่วนอิ๋งซุยมองออก ซุ่นเหยากวานไม่ได้อยากพูดดีกับคนเฝ้าประตูสักเท่าไรหรอก เพียงแต่ด้วยวุฒิภาวะและวัยของเขา ความสงบเยือกเย็นจึงเป็นสิ่งสำคัญ อีกอย่าง เขาใช้แผนคนหนึ่งร้อน คนหนึ่งเย็นพูดกับอีกฝ่าย
ชายที่เฝ้าประตูไม่ได้พูดอะไร แต่ยกมือขึ้นมาโบกไปมาคล้ายบอกว่า ‘ไปเสีย ข้ากลัวพวกเจ้าแล้ว!’
ก่อนหมุนตัวเดินจากไป หร่วนอิ๋งซุยถลึงตาใส่คนเฝ้าประตูแวบหนึ่ง แล้วเดินออกมาด้วยท่วงท่าของคุณหนูใหญ่ตระกูลวาณิชดังแห่งเมืองหลวง ต่อให้วันนี้ นางตกอับ แต่ความสง่างามของนางมิได้ถูกกลบฝังลงดินพร้อมกับคำขับไล่ของบิดา
ระหว่างเดินบนถนน และเกือบจะถึงร้านผ้ามั่งมี จู่ๆ หร่วนอิ๋งซุยก็เกิดเสียหลัก เซถลาเกือบล้มลงจูบพื้น โชคดีว่าซุ่นเหยากวานปราดเข้ามารับนางไว้ได้ทันท่วงที แต่กระนั้น เขาก็นิ่วหน้า พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงร้อนใจ
“คุณหนู ท่านตัวร้อน!”
เด็กสาวยกมือขึ้นแตะแก้มตนเอง งึมงำว่า “จริงด้วย น่าจะเป็นเพราะข้ายังไม่ชินกับลมแดดของที่นี่ ไม่สบายตัวนิดหน่อยคงไม่ทำให้ข้าตายหรอก พี่เหยากวานอย่าห่วงเลย”
แต่ซุ่นเหยากวานหรือจะวางใจลง เขาประคองนางเดินเข้าร้านพลางพูดว่า
“ถึงยังไง ท่านก็ต้องพักผ่อนจนกว่าจะหาย เรื่องไปพบประมุขฉางซุน ข้าจะเป็นคนจัดการแทนคุณหนูเอง”
“ไม่ได้” นางร้อง “ถึงพี่เหยากวานจะพูดเช่นนั้น แต่อยู่ที่นี่เรามีกันแค่สองคน สิ่งที่พี่เหยากวานรับผิดชอบ ข้าเองก็ต้องรับผิดชอบด้วย”
ภายนอก หร่วนอิ๋งซุยคือเด็กสาวที่ไม่น่าคบหา เย่อหยิ่ง ปากร้าย อารมณ์ร้อนและมือไว แต่หากได้รู้จักเนื้อแท้ของนางแล้วละก็ จะรู้ว่านางคือเด็กสาวธรรมดาที่น่าสงสารมาก
ซุ่นเหยากวานรู้จักอิ๋งซุยตั้งแต่เกิด พอได้ยินนางพูดเช่นนั้น เขาจึงเม้มปากเงียบ และยอมให้นางทำในสิ่งที่ต้องการ
ความดื้อรั้นของหร่วนอิ๋งซุยมิใช่เพิ่งถูกปลูกฝังแล้วจะกำจัดลงเพียงวันนี้พรุ่งนี้ แต่มันอยู่ในสายเลือดของนาง เป็นสิ่งที่ได้รับอิทธิพลจากบิดามารดาของนางทั้งสิ้น
ทว่าจู่ๆ นายท่านใหญ่กลับทอดทิ้งนางเสียอย่างนั้น
ซุ่นเหยากวานส่ายหน้าเล็กน้อย ถึงมันจะยาก แต่เขาจะเฝ้ามองดูการเติบโตของคุณหนู และการเปลี่ยนแปลงของนางอย่างช้าๆ