ระหว่างเดินออกจากพรรคงูใหญ่ ตลอดทาง ทั้งสองเดินมาถึงหน้าประตูโดยไม่ได้พูดอะไรเลย เพราะต่างก็ครุ่นคิดถึงเรื่องต่อจากนี้ แต่แล้วจู่ๆ หร่วนอิ๋งซุยก็ได้ยินบทสนทนาที่น่าสนใจบางอย่าง...
“ประมุขใหญ่เร่งรัดมาแล้ว แต่ประมุขฉางซุนกลับไม่ยอมแต่งงานมีทายาทเสียที เฮ้อ จนปัญญาเสียจริง”
“ข้าก็อยากให้ลูกสาวของข้าเป็นฮูหยินของประมุขฉางซุนอยู่หรอกนะ แต่ได้ยินมาว่าพอพ่อบ้านเอ่ยถึงเรื่องนี้ทีไร ท่านประมุขก็เข้าร้านเหล้า ดื่มเหล้าแทนน้ำเสียอย่างนั้น”
“ท่านประมุขต้องการประชดหรืออย่างไร?”
“เรื่องนั้นไม่รู้หรอก แต่ดูทีท่าว่า ท่านประมุขจะชอบเหล้ามากกว่าสตรีนี่สิ”
“ก็นั่นสินะ”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ คนที่กำลังสนทนาอย่างออกรสออกชาติก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกัน
“เฮ้อ...”
ตั้งแต่ต้นจนจบ หร่วนอิ๋งซุยคิดว่า นั่นเป็นเรื่องในครอบครัวของคนอื่น ไม่เกี่ยวกับนาง
ด้วยเหตุนี้ นางจึงเดินหน้าต่อไปด้วยไม่อยากสนใจ ทว่ามีคำหนึ่งหลุดออกมาจากปากคนพวกนั้น ซึ่งนั่นทำให้นางหยุดฝีเท้ากะทันหัน
“แต่หากว่า ‘คนผู้นั้น’ ชิงมีทายาทก่อน ตำแหน่งประมุขสาขาย่อยต้องตกเป็นของเขาแน่ๆ”
พูดจบ ชายคนนั้นก็เสียงถอนหายใจแรงๆ อีกครั้ง
“เฮ้อ!”
“เดิมคนผู้นั้นก็มีสิทธิ์มากกว่าประมุขฉางซุนอยู่แล้ว เพียงแต่...”
“หยุดพูดเถอะ!” อีกคนตวาดห้าม “ถึงพวกเขาจะมีสายเลือดเดียวกัน ยิ่งหน้าตาไม่ต้องพูดถึง เหมือนกันอย่างกับแกะ แต่เจ้าเองก็รู้ไม่ใช่หรือว่า คนผู้นั้นกลับมาที่นี่ไม่ได้ ก่อนที่นายผู้เฒ่าจะเสีย ท่านมิใช่บอกว่าห้ามเขากลับมาเหยียบที่นี่อีกหรือไง เฮอะ ถูกนายผู้เฒ่าขับไล่ขนาดนั้นแล้ว เป็นข้าก็ไม่กลับมาหรอก”
“เจ้าคิดว่าหากคนผู้นั้นไม่ได้เกิดมามีผมสีขาวประหลาด ป่านนี้ คนที่นั่งตำแหน่งประมุขก็คงจะเป็น...”
“พอเถอะๆ เลิกพูดถึงคนคนนั้นเถอะ ข้าไม่อยากถูกไล่ออกจากพรรคเพราะเอาเรื่องไม่เป็นเรื่องมาพูดหรอกนะ”
พอพวกเขาเงียบเสียง หร่วนอิ๋งซุยก็เงยหน้ามองซุ่นเหยากวานด้วยสายตาที่บอกความรู้สึกออกไปทั้งหมด
แน่นอนว่า ซุ่นเหยากวานย่อมต้องรู้ความคิดของหร่วนอิ๋งซุย เขาส่ายศีรษะเบาๆ เพื่อห้ามปรามไม่ให้เดินเข้าไปถาม หากก็รู้ดีว่าถึงห้ามไปก็ไม่อาจหยุดยั้งความคิดของเด็กสาวคนนี้ได้...นั่นเพราะนางดื้อรั้นยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด
หร่วนอิ๋งย่นคิ้วอย่างซุยลังเล
“บ่าวที่พูดเอาเรื่องในบ้านของผู้เป็นนายออกมาพูดข้างนอก อย่าไปยุ่งด้วยจะดีกว่า รังแต่จะมีปัญหา” ซุ่นเหยากวนเตือน
เด็กสสาวครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ายอมรับคำเตือนนั้น
ทว่า...
หาก ‘คนผู้นั้น’ ที่พวกเขาพูดถึงเป็นคนเดียวกับที่ช่วยพวกตนไว้ หร่วนอิ๋งซุยคิดว่า อย่างไรก็อยากจะไปเจอเขาเพื่อตอบแทนบุญคุณให้ได้
กว่าจะสืบทราบที่อยู่ของชายปริศนาคนนั้นได้ ทำเอาซุ่นเหยากวานเสียเวลาไปหนึ่งวันเต็ม
เมื่อชายหนุ่มกลับเข้าร้านผ้ามั่งมี แจ้งเรื่องที่อยู่ของชายผู้คนนั้นให้กับหร่วนอิ๋งซุยได้ทราบ เด็กสาวก็แสดงสีหน้าดีอกดีใจ แต่ในชั่วพริบตาต่อมา นางกลับทำสีหน้านิ่งๆ ราวกับต้องการเก็บซ่อนความคิดอื่นเอาไว้
ซุ่นเหยากวนส่ายหน้าด้วยความอ่อนใจ
ถึงแม้ว่าหร่วนอิ๋งซุยจะพยายามทำหน้าให้นิ่งเพื่อกลบเกลือนความรู้สึก ทว่าการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย และต่อให้มาเร็วไปเร็วแค่ไหน กลับไม่ใช่ปัญหาสำหรับซุ่นเหยากวานที่อยู่กับเด็กสาวมาตั้งแต่นางยังเป็นทารก
“มีอะไร”
เด็กสาวถามเสียงแข็ง คงกำลังพยายามเก็บซ่อนความรู้สึกดีใจ ดังนั้น ซุ่นเหยากวนจึงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นความรู้สึกที่แท้จริงของนาง
“ข้ากำลังคิดว่า พรุ่งนี้พวกเราไปหาเขากันดีไหม ข้าอยากตอบแทนบุญคุณเขาที่ช่วยชีวิตเอาไว้”
“จริงหรือ!” หร่วนอิ๋งซุยถามกลับพลางยิ้มกว้าง
คิดไว้ไม่มีผิด นางต้องการพบคนผู้นั้นจริงๆ ซุ่นเหยากวานคิดในใจ
อีกอย่างหนึ่ง หากมองข้ามสิ่งที่หร่วนอิ๋งซุยต้องการ แล้วกลับมาพูดเรื่องมารยาท ซุ่นเหยากวนย่อมทราบดีว่า คนที่ถูกช่วยชีวิตอย่างพวกตนมีหรือจะสะบัดก้นหนีผู้มีพระคุณไปดื้อๆ
หากกระนั้น เขาก็เอะใจถึงเรื่องหนึ่ง เหตุใดโจรกลุ่มนั้นถึงเรียกชายคนนั้นว่า ‘ปีศาจ’
อย่างไรก็ตาม ถึงซุ่นเหยากวนจะรู้สึกสงสัย ทว่าเมื่อมองใบหน้าเล็กๆ ของหร่วนอิ๋งซุยที่มีความกระตือรือร้นและดีอกดีใจ เขาก็ไม่อยากเก็บคำว่าร้ายของพวกโจรเหล่านั้นมาใส่ใจอีก
“จริงแท้แน่นอนขอรับคุณหนู” เขาตอบ
“ว่าแต่ ข้าควรนำอะไรไปตอบแทนเขาดีล่ะ” แล้วนางก็ยกมือขึ้นมาจับคาง พร้อมกับครุ่นคิดไปพลาง
ซุ่นเหยากวานยกมือขึ้นแตะปลายคางของตนเองบ้าง พร้อมกับแสดงสีหน้าครุ่นคิดไม่ต่างจากนาง
“หากจะมอบเงินทอง ทุกวันนี้ เราก็ใช้จ่ายอย่างกระเบียดกระเสียรกันอยู่แล้ว” ซุ่นเหยากวนให้เหตุผล ก่อนจะหยุดพูดเพื่อใช้ความคิดต่อ
“จริงอย่างที่พี่เหยากวนพูด” เด็กสาวเห็นด้วย
ของมีค่าที่นำติดตัวมานั้นไม่ได้มากมายอะไร หากมอบเงินทองเป็นของตอบแทน ต้นทุนในการเปิดร้านผ้าก็จะหายไปด้วย
หนึ่งชายหนุ่มหนึ่งเด็กสาวเงียบและครุ่นคิดกันต่อ
นานทีเดียวกว่าซุ่นเหยากวนจะสรุปออกมาได้
“ตั้งแต่คุณหนูออกจากบ้านสกุลหร่วน คุณหนูเคยพูดว่าจะทิ้งธรรมเนียมหยุมหยิมของคนเมืองหลวง เอาแบบนี้ดีหรือไม่ เลือกผ้าราคาดีในร้านมาตัดชุดกันลมให้เขาสักหนึ่งชุด น่าจะเป็นการตอบแทนที่ดีที่สุดนะขอรับ”
เมืองหนิงป่อไห่นอกจากแดดจะแรงกว่าเมืองหลวงแล้ว กระแสลมยังแรงมากๆ อีกด้วย ไม่แปลกหรอกหากหร่วนอิ๋งซุยจะเป็นไข้แดดไข้ลมตอนมาถึง อีกอย่างหนึ่ง สำหรับชายหนุ่มในพื้นที่ต่อให้คุ้นชินกับสภาพอากาศแบบนั้นแล้ว แต่ย่อมไม่สบายตัวอยู่บ้าง
พอพิจารณาตามคำพูดของซุ่นเหยากวาน หร่วนอิ๋งซุยจึงตัดสินใจเย็บเสื้อกันลมให้ชายผู้นั้นหนึ่งชุด
“เป็นความคิดที่ดี”
นางยิ้ม และยิ้มอย่างสดใส