เมียดาราของคุณไท่หรง 3.1

2024 Words
จันทร์เจ้าขาไม่เคยคิดเลย ว่าวันหนึ่งชีวิตจะต้องมาเจอสถานการณ์แบบนี้… การได้เห็นว่าตัวเองไม่มีทางหนีเลยเพราะนอกจากสองคนนี้แล้วก็ยังมีชายชุดดำอีกราวสี่ห้าอยู่ด้านหลัง ทำให้หัวใจของเธอดีดตัวกระทุ้งอกจนแทบทะลุออกมาด้วยความกลัว หญิงสาวใบหน้าถอดสีไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าเขาเสียด้วยซ้ำ เธอมองผู้ชายคนนั้นได้ไม่กี่วินาทีก็ต้องหลบตามามองพื้นจากที่ตั้งใจหนีอยู่ในคราวแรกทว่าตอนนี้กลับก้าวขาไม่ออก ไม่ว่าจะเป็นการก้าวไปข้างหน้าฝ่าทุกคนออกไปจากห้องนี้ หรือจะเป็นการถอยหลังกลับไปนั่งที่เดิมก็ตามที “อ้าว แหมเด็กคุณอ้อมารอรับที่หน้าประตูเลยเชียว ไปๆหนูเข้าไปนั่งด้านในเถอะ คุณไท่หรงเขาไม่ใช่คนเจ้ายศเจ้าอย่างหรอก” กระทั่งท่านวินิจถือวิสาสะเดินมาโอบไหล่ด้วยแววตาหื่นกระหายหญิงสาวจึงได้สติ ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่กล้าสะบัดตัวออก หรือแผลงฤทธิ์อย่างเมื่อครู่เพราะรู้อยู่เต็มอกว่าอีกฝ่ายเป็นใคร “สวัสดีค่า เชิญนั่งเลยค่ะ เดี๋ยวดิฉันให้คนเอาเครื่องดื่มมาให้นะคะ” จันทร์เจ้าขาถูกพาเดินกลับเข้ามาด้านใน และเมื่อหันกลับมาก็พบว่าพี่อ้อนั้นปรับสีหน้าให้ดูรับแขกเหมือนเดิมแล้ว ถึงอย่างนั้นก็ยังมองมาที่เธออย่างเย้ยหยัน เหมือนจะถามทางสายตาว่าคนอย่างเธอจะไปทำอะไรได้ในสถานการณ์แบบนี้ จริงสินะ คนอย่างเธอจะไปทำอะไรได้ จะหนีออกไปได้ยังไงในเมื่อตอนนี้ไม่มีใครที่จะช่วยเธอได้เลยสักคน ในห้องมีทั้งพี่อ้อ ทั้งท่านวินิจ ทั้งผู้ชายหน้าตาดุร้ายที่เดินตามมานั่งลงตรงข้ามตามการเชื้อเชิญ ไหนจะผู้ชายชุดดำอีกไม่รู้ตั้งกี่คนที่เฝ้าอยู่ด้านหน้า แล้วตอนนี้โทรศัพท์ของเธอก็โดนพี่อ้อบังคับยึดเอาไปวางไว้บนโต๊ะที่มุมห้องจนเอื้อมถึงแล้วด้วย อย่าว่าเธอจะโทรให้ใครมาช่วยได้เลย ตอนนี้แค่ขยับตัวก็ยังทำได้ลำบาก ต่อให้โทรได้คนที่มาช่วยก็คงไม่อาจฝ่าคนข้างนอกมาได้อยู่ดี ยิ่งถ้าแจ้งตำรวจก็ยิ่งแล้วใหญ่ แจ้งแล้วจะมาหรือเปล่าก็ไม่รู้ ต่อให้มาหากเห็นหน้าท่านวินิจก็คงรับกลับโรงพักกันฝุ่นตลบ มันไม่มีทางไหนที่เธอจะรอดเลย “เดินทางเป็นยังไงบ้างคุณไท่หรง” และเมื่อทุกคนนั่งลงหมดแล้วพี่อ้อจึงเอ่ยถามผู้ชายคนนั้นเป็นภาษาอังกฤษ ด้านตัวเขาที่เหมือนจะมองเธออยู่ตลอดได้ยินแบบนั้นจึงหันกลับมาตอบด้วยสำเนียงที่จันทร์เจ้าขารู้ได้เลยว่าเขาคงเป็นนักเรียนนอกคนหนึ่ง “ก็ดีครับ” “อุ้ย เครื่องดื่มมาเสิร์ฟแล้ว เดี๋ยวให้น้องเขารินให้เลยดีกว่านะคะ รินสิเจ้าขา” และเมื่อไม่มีทางเลือกแล้วหญิงสาวจึงจำต้องทำตามที่พี่อ้อสั่ง แม้ไม่เต็มใจและยังกลัวมากแต่เธอก็ยังยอมลุกขึ้นไปจัดการเครื่องดื่มให้กับทุกคนในโต๊ะ หูฟังบทสนทนาพร้อมคิดหาทางรอดให้ตัวเองไปด้วย ระหว่างนั้นสายตาก็เหลือบมองผู้ชายชื่อไท่หรงที่เธอไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อน ดวงตาสวยติดโศกเพราะความหวั่นใจมองรอยสักหัวมังกรจีนบนลำคอของเขาอย่างพรั่นพรึง สภาพของเขาน่ากลัวเหมือนพวกพ่อค้ายาในหนังอย่างไรอย่างนั้น นึกไม่ออกเลยว่าวันนี้ชะตากรรของเธอจะเป็นอย่างไร “น้องเขาชื่อจันทร์เจ้าขาค่ะ อาจจะขี้อายหน่อย คุณไท่หรงอย่างไปถือสาเลยนะคะ” แต่ความกลัวก็พลันเปลี่ยนเป็นความเคียดแค้นเมื่อเหลือบไปเห็นท่านวินิจกับอีนังพี่อ้อมองตากันอย่างมีความหมาย ก่อนที่ท่านวินิจคนนั้นจะโน้มกายเข้าไปกระซิบกระซาบกับผู้ชายคนนั้น แล้วผละออกมาใช้สายตากวาดมองลวนลามเธอ “เด็กมันยังไม่เคยทำอะไรแบบนี้น่ะครับ นี่ถ้าเป็นน้องลิตาผมรับรองได้เลยว่าเป็นงานกว่านี้มาก” สายตาน่าขนลุกนั้นทำเอาหญิงสาวอยากอาเจียนออกมาให้มันรู้แล้วรู้รอด เธอนึกถึงรอยที่เห็นบนกระดาษของบทละครที่วางอยู่บนโต๊ะแต่ไม่มีใครสนใจหยิบมาดูเลย จู่ๆความโกรธก็นำพานิสัยเดิมที่ไม่คิดจะเอามาใช้ให้กลับมา “คุณเคยลองแล้วเหรอครับ” “แหมคุณไท่หรงก็พูดไป ผมแค่จะบอกว่าน้องลิตาเขาเป็นเด็กฉลาดแถมเป็นนางเอกดัง ต่างจากคนนี้ที่ไม่ค่อยมีผลงานเท่าไหร่แถมดูทื่อๆ ไม่เคยทำอะไรแบบนี้อาจจะไม่ค่อยเป็นงานน่ะครับ” “ผมไม่ได้ต้องการอะไรแบบนั้นหรอกครับ ไม่เคยสิดี” “อะ…ค…คะ คุณไท่หรง รับรองว่าเลือกคนนี้แล้วถูกใจแน่นอนค่ะ” ทั้งสองคนมองหน้ากันเลิกลั่ก พาให้หญิงสาวนึกไปถึงที่พี่อ้อพูดว่าหากคนๆนี้เลือกลิตาก็คงไม่มีทางให้เธอเข้าร่วมโปรเจ็ค ที่พูดถึงเด็กคนนั้นเพราะกะเอาลิตามาเสียบหรือเปล่า ถ้าเปลี่ยนจากเธอเป็นลิตาได้คงเธอประโยชน์ให้มากกว่าสินะ แต่ไอ้คุณไท่หรงอะไรนี่ก็ดันไม่ยอมเปลี่ยนใจอีก ไม่งั้นเธอก็คงรอดไปแล้ว แต่ต่อให้รอดก็คงต้องโดนดองอยู่ดี เพราะพี่อ้อคงไม่ให้เธอที่รู้ความลับแล้วได้เฉิดฉายแน่ แถมถ้ายังเก็บเอาไว้ในบริษัทก็คงปิดปากง่ายด้วย ยังไงเธอก็จะไม่รอดเลยสักทางสินะ เหมือนต้องเลือกระหว่างเป็นเอดส์กับเป็นมะเร็งอย่างไรอย่างนั้น คนพวกนี้กล้าทำกับคนอื่นหน้าด้านๆแบบนี้ได้ไง ทั้งที่เธอไม่เคยทำอะไรให้พวกมันเลยแต่จะมาทำลายชีวิตกันง่ายๆ “จะว่าไปน้องจันทร์เจ้าขาคนนี้ก็สวยมากเลยนะครับ หุ่นงี้เหมือนนางแบบเลย รับรองว่าคุณถูกใจแน่ๆคุณไท่หรง” “ครับ ผมก็ว่าแบบนั้น” ถ้อยคำผุรสวาทหยาบคายดังก้องอยู่ในหัวของจันทร์เจ้าขานับไม่ถ้วน นิสัยไม่ยอมคนทั้งยังกล้าบ้าบิ่นที่กดมันลงไปเพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีตั้งแต่ตอนที่เป็นนักแสดงใหม่ๆ กลับมาแล่นปรี่ไปทั่วร่าง “ได้ยินว่าคุณไท่หรงถูกใจผมก็ดีใจครับ งั้นเรื่องที่คุยกันไปก็คงไม่มีปัญหาใช่ไหม” ท่านวินิจว่าขณะที่ยังใช้สายตาโลมเลียเธออยู่อย่างนั้น จันทร์เจ้าขาคิดว่าหากคืนนี้เธอไม่ได้เป็นของผู้ชายชื่อไท่หรงไปแล้ว ก็คงไม่รอดพ้นเงื้อมมือท่านวินิจแน่ๆ “เอาไว้ผมให้คำตอบพรุ่งนี้นะครับ เพราะมองแค่ตาผมก็ไม่รู้ว่าจะพอใจจริงๆหรือเปล่า ต้องลองใช้งานดูก่อนถึงจะรู้” ขณะที่กำลังก่นด่าอยู่ในใจ ผู้ชายคนนั้นก็พูดขึ้นเสียงเรียบขณะที่ซัดสายตาเย็นชามามองเธอ เล่นเอาหญิงสาวขนลุกซู่ไปทั้งตัว เขาพูดเหมือนกับเธอไม่ใช่คนอย่างนั้นแหละ คำพูดนั้นแม้จะน่ากลัวในความรู้สึกของจันทร์เจ้าขา แต่กลับทำให้ทั้งพี่อ้อและท่านวินิจพากันยิ้มกรุ้มกริ่มอย่างพึงพอใจ พี่อ้อยกแก้วไวน์ขึ้นจิบก่อนจะเหลือบขึ้นมาสบตากับเธอแล้วเลิกคิ้วเหมือนจะเตือนว่าอย่าทำอะไรโง่ๆ “ถ้าอย่างนั้นดิฉันกับท่านวินิจปล่อยให้คุณไท่หรงได้ทำความรู้จักกับน้องเขาดีกว่า ไปค่ะท่านวินิจ น้องเขารอท่านอยู่อีกห้อง” พอสื่อสารทางสายตากับเธอเสร็จเรียบร้อยแล้วพี่อ้อก็ผุดลึกขึ้นก่อนจะไปช่วยพยุงให้ท่านวินิจลุกขึ้นจากโซฟาตัวใหญ่ “ลาล่ะนะคะ เดี๋ยวต้องขอตัวพาท่านวินิจไปอีกที่ หวังว่าพรุ่งนี้ดิฉันจะได้รับข่าวดีนะคะ” มือที่ปรากฏริ้วรอยตามวัยยกขึ้นไหว้ผู้ชายคนนั้นแม้ว่าเขาจะดูเหมือนอายุน้อยกว่า “ครับ” ก่อนจะหันมามองหน้าจันทร์เจ้าขาเมื่อผู้ชายคนนั้นรับคำแล้ว “พี่หวังว่าจะได้รับข่าวดีนะจ๊ะ เจ้าขา” “...” เมื่อข่มขู่เธอทางสายตาจนพอใจพี่อ้อก็เดินกอดแขนกับท่านวินิจออกไปด้านนอกห้อง ถึงอย่างนั้นเพราะประตูยังปิดไม่สนิท บทสนทนาจึงยังดังพอที่เธอจะได้ยินอยู่ดี “ไปค่ะท่าน เดี๋ยวน้องเขาจะรอนาน” “ในเมื่อเขาไม่เปลี่ยนใจก็ต้องให้ผมแล้วล่ะคุณอ้อ” “แหม ก็ต้องเป็นอย่างนั้นสิคะ ไปกันเถอะค่ะ น้องลิตารอนานแล้ว” และเมื่อประโยคนี้จบไปพร้อมกับประตูที่ปิดสนิท หญิงสาวก็ได้คำตอบทันทีว่าทำไมลลิตาถึงได้เป็นลูกรักของพี่อ้อนักหนา คนอย่างอีแก่นี่มันไม่ได้รักใครจริงหรอก ต่อให้เป็นลลิตาที่ได้รับโอกาสทุกอย่างก่อนคนอื่นเสมอ แต่นั่นก็เป็นเพราะเป็นตัวสร้างผลประโยชน์ให้อยู่ต่างหาก ดูอย่างครั้งนี้สิ ไม่ได้นอนกับไท่หรงก็ยังต้องไปนอนกับท่านพินิจ ฝ่ายนั้นคงยอมทำเรื่องแบบนี้มาตั้งแต่แรกจึงได้รับโอกาสจนดังพลุแตก นี่คงเป็นความหมายของทางลัดที่พี่อ้อพูดกับเธอเมื่อครู่นี้ ว่าให้ฉลาดเดินทางลัดเสียบ้าง จะได้ไม่ต้องเป็นตัวประกอบไปจนแก่ ทางลัดมันคือการเอาตัวเข้าแลกแบบนี้นี่เอง อันที่จริงจันทร์เจ้าขาเคยเป็นคนที่ร้ายกว่านี้มากในตอนที่ชีวิตยังมีทางเลือก เธอไม่ใช่คนยอมคนเลยสักนิด แต่หลังผ่านเหตุการณ์สะเทือนใจหนักหนาที่พ่อแม่พากันฆ่าตัวตายหนีหนี้มหาศาล เธอที่เหลือตัวคนเดียวทั้งยังมเงินติดตัวเพียงสองหมื่น ก็ตั้งใจเปลี่ยนแปลงตัวเอง จากวันนั้นเธอก็กลายเป็นคนที่เจียมตัวมากขึ้นเพราะรู้ว่าไม่ได้ร่ำรวยมีเงินอย่างเมื่อก่อนแล้ว เพราะไม่มีให้เสียมากนักจึงไม่กล้าที่จะเสีย ไม่กล้าจนต้องใช้ชีวิตแบบเพลย์เซฟมาตลอด ทว่าเหตุการณ์ในวันนี้ทำให้เธอทั้งโกรธทั้งกลัวจนถึงจุดแตกหัก ความบ้าบิ่นที่เคยมีกำลังผสมรวมกับความคับแค้นในใจ เป็นเหมือนลาวาเดือดปุดๆอยู่ในอกที่กำลังแผดเผาจนแทบมอดไหม้ จากเดิมที่กลัวจนขาสั่นก็กลายเป็นว่ากล้าขึ้นมา หญิงสาวเดินกลับไปนั่งที่เดิมของตัวเอง เงยหน้าขึ้นสบตากับเขาที่ยังคงมองมานิ่งๆเหมือนกำลังประเมินว่าเธอจะทำอะไร ถึงดวงตาคมกริบสีดำขลับคู่นั้นจะน่ากลัวขนาดไหน แต่เธอกลัวว่าตัวเองจะไม่ได้รับความยุติธรรมมากกว่า ตอนนี้ความอยากเล่นละครโปรเจ็คยักษ์ใหญ่อะไรนั่นมันหมดไปแล้ว เธออยากแก้แค้นคนเลวทรามอย่างอีแก่นั่น “คุณไท่หรงคะ” เพราะแบบนั้นเธอจึงเริ่มคุยกับเขาก่อนเป็นภาษาอังกฤษอย่างมั่นใจและจริงจัง แม้ว่าจะไม่ค่อยได้ใช้ภาษานักตั้งแต่กลับมาจากเรียนต่อช่วงพ่อแม่เสีย “มีอะไรจะพูดก็พูดมา” “คุณคงรู้ว่าฉันไม่ได้เต็มใจมาทำเรื่องนี้” “เธอคิดว่าฉันสนใจเหรอว่าเธอเต็มใจหรือเปล่า”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD