เมียดาราของคุณไท่หรง 5.1

2046 Words
“เจ้าขาเป็นยังไง บ้างฉันเป็นห่วงแกแทบแย่” เสียงถามอย่างร้อนใจดังขึ้นทันทีที่จันทร์เจ้าขาเหยียบเข้ามาในพื้นที่กองถ่าย เฟื่องรัตน์เพื่อนสนิทที่มาถึงและรออยู่ก่อนแล้วรีบเดินสับเท้าเข้ามาหาอย่างร้อนใจ มือเล็กจับแขนสองข้างของเธอยกขึ้นสำรวจ นอกจากนั้นก็ยังจับหมุนเสียวุ่นวายเหมือนกลัวจะบุบสลายตรงไหน ใบหน้าเต้าหู้นั้นงอง้ำเสียยิ่งกว่าอะไรดีจนจันทร์เจ้าขารู้สึกผิดในใจที่ทำให้เพื่อนเป็นห่วงขนาดนี้ “ก็อย่างที่เห็นนี้แหละเฟื่อง ไม่ได้เป็นอะไรเลย” พอเห็นว่าไม่มีอะไรจริงๆก็กอดแขนพาเธอเดินลึกเข้าไปที่เต้นท์แต่งหน้าติดแอร์ของนักแสดง โชคดีที่ทางซึ่งเฟื่องพาเธอเดินมานี้ไม่ค่อยมีคนเดินพลุกพล่าน เราจึงพอจะคุยกันได้แบบไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาได้ยิน “แล้วนี่เขาปล่อยให้แกมาทำงานเหรอ” และใช่ เธอเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เพื่อนฟังหมดแล้ว เมื่อคืนหลังจากที่เข้าห้องนอนก็โทรหาเฟื่องเลยทันที แถมยังให้อัดเสียงการสนนาเอาไว้ด้วย เพราะไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเจอกับอะไรอยู่ หากเป็นอะไรขึ้นมาจะได้พอมีหลักฐานที่อยู่ครั้งสุดท้ายไปให้วินิจฉัยสาเหตุการตาย แม้สุดท้ายจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยนอกจากเธอจะโดนเขาลูบขาก็เถอะ รอบคอบเอาไว้เป็นดีที่สุด “ใช่ ฉันแค่ต้องกลับไปนอนโรงแรมเดียวกับเขา” “หมายถึงนอนกันคนละห้องแบบเมื่อคืนหรือเปล่า หรือว่าคืนนี้แกต้องไปนอนกับเขาแล้ว” เฟื่องถามด้วยน้ำเสียงเบาหวิวทั้งที่เมื่อก่อนเป็นคนประเภทกระซิบไม่เป็นจนเธอต้องปรามอยู่บ่อยๆ คงเพราะกลัวใครมาได้ยินเข้าจริงๆ เพราะเรื่องนี้มันใหญ่กว่าที่พวกเธอเคยเจอมาตลอดชีวิต เรียกได้ว่าอาจจะถึงตายได้เลยด้วยซ้ำ “ไม่ใช่หรอกเฟื่อง” “แน่ใจเหรอ” “อืม ก็เขาบอกเองว่าจะรอ” “รอ? รออะไรวะ” “ไปหาที่อื่นคุยกันเถอะ คุยตรงนี้ฉันกลัวจะมีใครมาได้ยินเข้า” การจะคุยเรื่องที่ลึกซึ้งมากกว่าเรื่องซุบซิบแบบนี้ แม้ว่าทางที่เราสองคนเดินมาจะค่อนข้างเงียบ แต่ก็ยังมีคนเดินไปเดินมาอยู่ดี เพราะแบบนั้นจันทร์เจ้าขาจึงไม่อยากให้เกิดเหตุไม่คาดฝันมีใครเดินมาได้ยินบทสนทนานี้เข้า ขนาดเมื่อคืนอยู่ในห้องส่วนตัวแล้วเธอยังไม่กล้าเล่าแบบหมดเปลือกเลย เพราะกลัวเขาจะมีเครื่องดักฟังอะไรเทือกนั้น สุดท้ายสองคนเพื่อนรักจึงพากันรีบเดินไปที่เต้นท์แต่งตัวของนักแสดงซึ่งว่างอยู่เพราะวันนี้คนอื่นๆไปเข้าฉากกันหมดแล้ว ช่างคนอื่นๆก็ไปรอทำงานที่หน้าเซ็ทเหมือนกัน และเมื่อได้สถานที่เหมาะสมแล้วจันทร์เจ้าขาจึงเริ่มเล่าเรื่องฝังยาคุม จนมาถึงเรื่องที่ขอให้เขารออีกเจ็ดวันเพื่อที่ตัวยาจะได้ใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพ ส่วนเรื่องเมื่อคืนก่อนกับเรื่องที่เธอขอให้เขาช่วยกำจัดพี่อ้อให้หมดอนาคตจากวงการบันเทิงนั้นไม่ได้พูดถึง เพราะยังไงเฟื่องก็รู้แล้วและพวกเธอก็เห็นตรงกันว่าไม่ควรพูดเรื่องนี้ในที่สาธารณะ โดยเฉพาะในกองถ่ายที่พี่อ้อยังมีอำนาจอยู่ “ถ้าคุณคนนั้นเขากล้าที่จะรับปาก แถมยังพาแกไปอยู่ใกล้ตัวแบบนี้ ฉันว่าเขาก็ต้องมั่นใจแหละว่าจะทำอย่างที่พูดได้ ดีแล้วแหละที่แกป้องกันตัวเอง” เฟื่องว่าหน้าเครียดขณะที่หันกลับมามองหน้าเธอ แต่สายตาก็ยังคอยระวังระไวไม่หยุด “ฉันก็ทำเพราะไม่มีทางเลือกนี่แหละ ถ้าเขาทำตามคำพูดได้ฉันก็ต้องทำตามคำพูดของตัวเองเหมือนกัน ไม่งั้นฉันเองก็คงไม่รอดไปด้วย” เธอเหมือนคนที่กระโดขึ้นหลังเสือไปแล้ว ถ้อยคำที่เขาบอกว่า ‘ไม่เอาไว้แน่’ นั้นมันยังก้องอยู่ในหัว “แต่ถึงเขาจะบอกว่าโอเครอได้ ฉันก็เป็นห่วงแกนะเจ้าขา ไปยุ่งเกี่ยวกับคนแบบนั้นมันมีแต่อันตราย” “ฉันรู้ แต่ตอนนั้นฉันแม่งโคตรโกรธเลย แกรู้ไหมตอนที่ฉันรู้ทันขึ้นมาพี่อ้อโคตรกวนตีน พูดจากับฉันเหมือนคิดว่าจะทำอะไรก็ได้ ยังไงฉันก็จะไม่มีปัญญาทำอะไรมันคืน” หากจะลงจากหลังเสือทั้งที่เขายังไม่สุขสมอารมณ์หมาย คงได้โดนเสือกัดตายเข้าจริงๆ “ฉันเชื่อแล้วว่าโกรธจริง แกไม่พูดคำหยาบมานานแค่ไหนละ วันนี้พูดเอาพูดเอา” “โทษทีนะมันทนไม่ไหวจริงๆ” “ไม่เป็นไร แกปล่อยออกมาบ้างก็ดี เวรกรรมอะไรนักหนาก็ไม่รู้ โดนมันแช่แข็งให้เล่นแต่บทเล็กๆยังไม่พอ นี่ยังจะโดนพาไปเซ่นมาเฟียที่ไหนก็ไม่รู้อีก” “ฉันยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าถ้าพี่อ้อออกไปได้จริงๆแล้ว ชีวิตฉันจะมีอะไรเปลี่ยนไปหรือเปล่า หรืออาจจะยังต้องอยู่แบบเดิม รู้แค่ว่าต้องทำให้มันเจ็บเหมือนที่ฉันเจ็บ” พอคุยมาถึงตรงนี้หญิงสาวก็ได้แต่พูดอย่างเคียดแค้น ต่อให้พี่อ้อหายไปจากวงการแล้วจะไม่มีอะไรในชีวิตของเธอเปลี่ยนแปลงเลย แต่หญิงสาวก็ยังดีใจที่ได้ลงมือทำอะไรไปบ้าง ไม่ใช่แค่รอคอยโชคชะตานำพาเพียงอย่างเดียว “ฉันเชื่อนะเจ้าขาว่ามันต้องเปลี่ยนแน่นอน แกเป็นคนที่มีความสามารถและขยัน ถ้าไม่มีผู้จัดลำเอียงอย่างมันคอยสกัดดาวรุ่ง ผู้ใหญ่คนอื่นจะต้องเห็นความสามารถของแกแน่ๆ” เฟื่องยื่นมือมาแตะไหล่อย่างให้กำลังใจ เปลี่ยนความเจ้าคิดเจ้าแค้นที่ตีตื้นขึ้นมา และเรียกรอยยิ้มจากจันทร์เจ้าขาได้เป็นอย่างดี เธอเอื้อมมาแตะๆลงบนหลังมือเพื่อนอย่างขอบคุณ แม้ไม่แน่ใจเลยว่าจะมีเรื่องดีๆเกิดขึ้นบ้างหรือไม่ “ขอบใจนะแก” หลังจากที่ได้คุยกันจนรู้เรื่องหมดแล้วเฟื่องก็จับเธอแต่งหน้า พาไปเปลี่ยนชุดจนพร้อมที่จะเข้าฉากในช่วงบ่าย แม้ตอนนี้จะมีเรื่องหนักอกมากมาย ทว่าจันทร์เจ้าขาก็เป็นมืออาชีพมากพอที่จะทำให้งานมันลุล่วงไป ถึงจะได้รับสายตาแปลกๆจากลลิตาเป็นระยะที่เข้าฉากด้วยกัน แต่เธอก็ยังทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เรื่องเมื่อคืนก่อนที่อีกฝ่ายเหมือนจะต้องนอนกับท่านวินิจแม้แต่กับเฟื่องเธอก็ยังไม่ได้เล่าให้ฟัง เพราะแม้จะไม่ชอบขี้หน้าและพฤติกรรมเท่าไหร่ แต่เธอเข้าใจความเจ็บปวดที่ต้องตกเป็นเครื่องมือของคนอย่างพี่อ้อดี พอทำงานเสร็จเช็คมอนิเตอร์เรียบร้อยแล้ว เจ้าขาก็รีบปลีกตัวหลบผู้กำกับขี้หลีกลับมาที่เต้นท์นักแสดงทันที เธอให้เหตุผลกับทีมงานคนอื่นที่ยังพอเป็นมิตรอยู่บ้างว่าจำเป็นต้องรีบกลับ เพราะมีธุระด่วนต้องไปจริงๆ ด้วยเหตุผลนั้นจึงสามารถลี้ภัยออกมาจากกองถ่ายได้แบบปลอดภัยไร้รอยขีดข่วนในเวลาสองทุ่มตรง แต่เมื่อออกมาและตั้งใจจะอาศัยรถของเฟื่องไปเอารถที่บริษัท ต่อจากนั้นก็จะกลับไปเก็บเสื้อผ้าที่คอนโดเพื่อไปนอนที่โรงแรมเขา ทว่าพอเดินมาถึงด้านหน้ากองถ่ายก็กลับพบรถเก่งคันหรูสีดำมันปลาบที่เธอจำได้ว่ามันเป็นรถของไท่หรงจอดอยู่ พอเธอเดินออกมาบอดี้การ์ดคนเดิมที่ไปส่งเธอที่คลินิคเมื่อวานก็ลงมาจากรถ ก่อนจะค้อมศีรษะให้หนึ่งครั้งอย่างสุภาพ หญิงสาวกลืนน้ำลายอึกใหญ่ก่อนจะหันมองหน้าเพื่อนสนิทที่เดินมาด้วยกันและกำลังจะเปิดรถ เฟื่องมองเธออย่างไม่เข้าใจ แต่เมื่อเห็นว่าเจ้าขามีสีหน้าไม่สู้ดีนักก็รีบเข้ามาประชิดด้วยความเป็นห่วง “มีอะไรเจ้าขา ทำไมทำหน้าแบบนั้น” “นั่นรถของเขา รถคุณไท่หรง” จันทร์เจ้าขาหันมาบอกเพื่อนทั้งที่ยังไม่กล้าหันกลับไปมองรถคันนั้น ทว่าเฟื่องที่ไม่เคยกลัวใครกลับหันไปมองแบบเต็มตาจนหญิงสาวจับเพื่อนหันกลับแทบไม่ทัน “เฟื่อง อย่าไปมอง!!” “คือไง เขาต้องมารับมาส่งแกด้วยเหรอ เกินไปเปล่า” เต้าหู้ขาวขี้วีนว่าหน้ายุ่ง แต่เมื่อเห็นว่าเธอสภาพไม่ค่อยดีนักจึงยอมหันมาแต่โดยดี “อืม เมื่อตอนที่มาทำงานลูกน้องของเขาก็ที่มาส่ง” “แล้วนี่แกจะไปเอาเสื้อผ้ายังไงล่ะ” “ดูท่าฉันคงต้องขอให้ลูกน้องของเขาไปส่งที่คอนโดแทน เพราะคุณไท่หรงกะไม่ให้คลาดสายตาเลย คงกลัวฉันหนีละมั้ง แต่ฉันจะหนีไปไหนได้ล่ะในเมื่องานก็อยู่นี่” “เฮ้อ แกจะรอดไหมเนี่ยเจ้าขา” เฟื่องว่าพลางหันไปมองที่รถคันนั้นอีกครั้ง ด้านเจ้าขาเองรู้ดีว่าตัวเองทำอะไรไม่ได้ เพราะการที่เธอมาเจอเรื่องแบบนี้ถือว่าเป็นกรณีที่ดีที่สุดแล้ว “ต้องรอดสิเฟื่อง ฉันก็รอดมาคืนกับวันหนึ่งแล้วนะ ถ้าเขาจะทำอะไรคงไม่ปล่อยให้รอดมาถึงตอนนี้หรอก” การที่เขายอมรอตั้งเจ็ดวันทั้งที่หากอยากบังคับก็ทำได้ การที่เขาไม่ข่มเหงเธอตั้งแต่คืนนั้น การที่เธอไม่ต้องนอนกับท่านพินิจแทนลลิตา เรื่องที่แย่กว่าการต้องอยู่การควบคุมเล็กๆน้อยๆมันจิ๊บจ๊อยไปเลยถ้าเทียบกันกับเรื่องพวกนั้น “อืม งั้นมีอะไรก็ทักมาบอกฉันนะ อย่าเผชิญอยู่คนเดียวแบบเมื่อคืนก่อนเข้าใจไหม” ด้านเฟื่องเมื่อเห็นว่าเธอดูมีความมั่นใจก็ยอมปล่อยมือ แต่ก็ยังกำชับซ้ำอีกรอบเรียกรอยยิ้มอ่อนโยนจากเธอได้เป็นอย่างดี “อืมม ฉันไปก่อนนะ” “โอเค” เมื่อไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจันทร์เจ้าขาจึงแยกกับเพื่อนแล้วเดินมาที่รถคันนั้น ทว่าเธอก็ไม่คิดว่าเมื่อประตูรถด้านหลังเปิดแล้ว จะเจอไท่หรงนั่งอยู่ด้านในด้วย หญิงสาวชะงักเล็กน้อย พยายามเตือนใจว่าตัวเองไปสร้างเรื่องสัญญากับเขาไว้และมันถอยไม่ได้แล้ว ก่อนจะขึ้นรถไปนั่งข้างๆกันแบบไม่กระโตกกระตาก กระทั่งรถออกแล้วเธอก็ยังไม่ได้มีคำถามอะไรเพราะรู้ว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์ถามอยู่แล้ว ทำได้อย่างเดียวคือหยิบโทรศัพท์ออกมากดส่งสติ้กเกอร์บอกเฟื่องไปว่าตัวเองโอเคดีเพื่อให้เพื่อนสบายใจ ด้านเฟื่องรัตน์เห็นสติ้กเกอร์ที่ส่งมา แม้ว่าจะเป็นห่วงใจแทบขาดแต่เมื่อเห็นว่าเพื่อนไม่ได้ตกอยู่ในอันตรายเธอก็ออกรถกลับบ้านไปเหมือนกัน โดยที่ทั้งคู่ไม่ได้รู้เลยว่ามีสายตาหนึ่งจับจ้องอยู่ตลอด เป็นสายตาของเด็กสาววัยยี่สิบเอ็ดปีที่กำลังยืนกอดอกมองรถคันหรูเคลื่อนตัวไปจากมุมหนึ่งในกองถ่าย เธอยืนมองนิ่งอยู่อย่างนั้นจนผิดวิสัยคนที่แสดงออกถึงความร่าเริงอ่อนหวานอยู่ตลอด จนกลายเป็นภาพจำของแฟนๆ “น้องลิตา ยืนทำอะไรอยู่เหรอคะ” “อ๋อ เปล่าค่ะ ลิตามายืนทำสมาธิเฉยๆ” “งั้นก็ไปเข้าฉากต่อกันเถอะค่ะ ผู้จัดการหนูให้พี่มาตาม” “ค่ะพี่”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD