แสงแดดจากด้านนอกกระทบกับเปลือกตาทำให้ฉันที่นอนเกลือกกลิ้งบนเตียงพลิกตัวนอนคว่ำและเอาหมอนปิดหน้าตัวเอง ทว่าพอรู้ว่าตอนนี้เช้าแล้วความรู้สึกที่มึนหัวก็เลือนหายไป ทำให้เอี้ยวหน้าไปมองยัยเกี๊ยวที่นอนคลุมโปงราวกับรำคาญแสงแดดที่เข้ามาเสียเต็มประดา ฉันถอนหายใจคลำหามือถือก็พบว่าอยู่บนหัวเตียงหยิบมาดูเวลาก็พบว่าตอนนี้เป็นเวลาสิบโมงกว่าแล้ว เข้าเรียนอีกทีก็เที่ยงเพื่อไปทำโมเดลนั่นแหละมีประชุมเรื่องงานมหาลัยด้วย ฉันน่ะไม่เท่าไหร่หรอกยังไงถึงจะมีปากเสียงกับฟินน์ก็ต้องช่วยเพื่อนล่ะนะ กดแสกนลายนิ้วมือก็วาร์ปเข้ามาที่หน้ากล่องข้อความที่ฉันจำได้ว่าส่งทั้งภาพและคลิปเมื่อคืนให้กับสิงห์ หากแต่ว่า...
“เหี้ย!” ถึงกับเบิกตากว้างลุกขึ้นนั่งยกมือเสยเส้นผมขึ้นไปทันทีมองหน้าจอด้วยมือที่สั่นเทาเล็กน้อย “ฉิบหายแล้วไงเคลียร์”
ข้อความของสิงห์ส่งมาว่าทำไมไม่ส่งภาพกับคลิปมาให้สักที เพราะว่าเมื่อคืน... ฉันดันส่งภาพและคลิปทั้งหมดไปที่กล่องข้อความของพี่สองน่ะสิ! โอ๊ย อยากจะบ้าตาย จะลบก็ไม่ทันแล้วเนื่องจากขึ้นว่าอ่านทั้งหมด หากแต่ว่าพี่สองก็ไม่ได้พิมพ์อะไรกลับมาเลยนะ หากแต่ว่าฉันดันให้เขาเห็นมุมแย่ๆ ของตัวเองไปแล้วเรียบร้อย ภาพที่เมาหัวราน้ำ ภาพที่เต้นส่ายไปมาราวกับคนบ้า แถมยังอยู่กับผู้ชายคนอื่นที่เป็นเพื่อน กลัวว่าเขาจะคิดไปไกลน่ะสิว่าคบกับเขาแต่ดันไปดื่มกับผู้ชาย
“เคลียร์ ทำบ้าอะไรลงไปวะเนี่ย”
ก๊อก ก๊อก~
เสียงเคาะประตูดังขึ้นฉันจึงวางมือถือลงลุกขึ้นไปเปิดประตูสบตากับคิงที่สวมเสื้อช้อปสีเทา ใบหน้าหล่อเหลามีรอยฟกช้ำเล็กน้อย คงจะไปตีกับคนอื่นมาสินะให้เดา
“จะไปเรียนแล้วเหรอ?”
“หือ กลิ่นเหล้า” คิงยกมือปิดจมูกตัวเองจนฉันก้มหน้าดมแขน เอิ่ม ยังกับตกถังเหล้ามาเลยเคลียร์ “ไม่เห็นออกจากห้อง นึกว่าไม่มีเรียน”
“มี แต่เมื่อคืนพี่ไปผับมา”
“ไปกับแฟนคนใหม่หรือไง?”
“เปล่า ไปกับพวกสิงห์” น้องชายพยักหน้ารับไม่รู้หรอกว่าสิงห์คือใคร แต่งงว่ามาถามทำไมก่อนเนี่ย มาแปลกเหมือนกันนะวันนี้ “มีอะไรหรือเปล่า”
“ผมจะไปเรียนแล้ว กลับดึก”
“พี่อาจจะไม่กลับ คงค้างที่คณะ” มองแผ่นหลังกว้างเดินออกจากห้องไป ฉันก็ปิดประตูหันมากระโดดขึ้นบนเตียงมองไลน์ของพี่สองก็ไม่รู้จะตอบเขากลับไปยังไงดีน่ะสิทุกคน เฮ้อ ฉันพลาดมหันต์เลยอะ
พอตั้งสติได้ฉันก็ตรงเข้าห้องน้ำเพื่อชำระร่างกายไปมหาลัยทำโมเดลต่อ โดยปลุกยัยเกี๊ยวที่ยังนอนขึ้นอืดเป็นปลาพะยูนเกยตื้นอยู่เลย ออกจากคอนโดก็แวะซื้อลาเต้เย็นกับแซนวิชไปฝากพี่สองด้วย ฉันส่งข้อความไปหาเขาก็พบว่าเขาไม่อ่านเลยจนกระทั่งฉันมาถึงมหาลัย เอาจริงพี่สองน่าจะอยู่คณะนั่นแหละเพราะเขาเป็นคนบอกฉันเองว่ากำลังรีบวาดรูปเพื่อให้ทันงานมหาลัยที่กำลังจะมาถึงเร็วๆ นี้
“แกเข้าไปก่อนเลย ฉันขอไปหาพี่สองก่อน”
“ง้อให้ได้ล่ะ ให้พี่สองเห็นรูปอุบาทว์ๆ ของแกแบบนั้น น่าขายหน้าชะมัด”
“โคตรจะพลาดอะ ต้องเอามือถือเขามาลบรูปในแชทให้ได้อะไม่งั้นฉันรู้สึกแย่แน่” เกี๊ยวผลักฉันให้กึ่งวิ่งกึ่งตรงไปที่คณะของพี่สอง หากแต่ว่าพอมาถึงก็เหมือนเจอซอมบี้เพราะทุกคนดูมีโลกของตัวเองซะส่วนใหญ่ แต่ทว่าพอถามว่าพี่สองอยู่ไหนพวกเขาก็ตอบนะว่าพี่สองอยู่ห้องวาดรูปของคณะด้านหลัง ฉันก็เลยพาตัวเองวิ่งเข้ามาในคณะที่ดูวังเวงแบบสุดๆ มาถึงหน้าห้องที่เขียนว่า ‘ห้องศิลปะ’ เคาะประตูเปิดเข้าไปได้กลิ่นของสีน้ำและกลิ่นของกระดาษคล้ายกับกลิ่นของดิน ทำให้รู้สึกธรมมชาติและสงบ ฉันกวาดสายตามองก็เห็นแผ่นหลังกว้างกำลังนั่งหันหลังใช้นิ้วมือปาดบนแผ่นผ้าแคนวาส ฉันเดินไปหยุดอยู่ด้านหลังพี่สองมองภาพที่เข้ากำลังทำเป็นรูปของจักรวาลเน้นสีฟ้า ชมพูและขาว หากแต่ว่ามือหนาเต็มไปด้วยสีเปรอะเปื้อนไปหมด ฉันชะโงกหน้าเข้าไปใกล้เขาจนพี่สองหันมาส่งผลให้ปลายจมูกเฉียดโดนแก้มฉันถากๆ
“เคลียร์”
“ลาเต้ค่ะกับแซนวิช” พี่สองมองของที่ฉันยื่นให้เขาก็เบนสายตาขึ้นมาสบตากับฉัน จากนั้นก็หันกลับไปทำงานต่อ “พี่สองคือว่าเมื่อคืนเคลียร์...”
“ไม่ต้องอธิบาย พี่ไม่ได้ว่าอะไร” ไม่ได้ว่าแต่คืออากัปกิริยาแสดงออกว่าไม่พอใจสุดๆ ฉันถอนหายใจพลางขยับมานั่งทิ้งตัวข้างเขาที่เป็นเก้าอี้ไม้แบบตัวยาว จากนั้นก็จับมือขวาของเขามาวางบนตักหยิบทิชชูเปียกจากกระเป๋าผ้ามาเช็ดมือให้เขา
“งั้นก็กินอะไรสักหน่อยนะคะ ขอมือถือได้ไหมคะ เคลียร์ขอลบ”
“ไม่ต้องลบครับ” ลงท้ายด้วยคำว่าครับ ถ้าเป็นสถานการณ์ที่ไม่มีอะไรก็คงจะตื่นเต้นนะ แต่ประเด็นคือฉันเหมือนถูกพี่สองจ้องหน้าด้วยความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด แถมยังไม่ยอมดื่มลาเต้ที่ฉันซื้อให้อีกทว่าก็นั่งให้ฉันเช็ดมือให้เขา ถึงจะไม่ได้ช่วยให้สีมันหลุดออกจากมือก็ทำความสะอาดสักนิดก็ยังดี
“เคลียร์อายนะคะ เมาปลิ้นขนาดนั้น”
“น่ารักดี”
“คะ?!”
“แต่ทีหลังอย่าใกล้ผู้ชายมาก” พี่สองบ่นเสียงเรียบนิ่งพลางใช้มือซ้ายหยิบแก้วลาเต้ขึ้นดื่ม พอได้ฟังแบบนี้สิ่งที่ทำได้คืออมยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ “ถึงจะเป็นเพื่อนก็ตาม”
“รับทราบค่ะ” ตอบรับด้วยน้ำเสียงสดใสฉันก็แกะกล่องแซนวิชหยิบส่งให้พี่สองหนึ่งชิ้น ก่อนที่เขาจะหยิบอีกชิ้นให้ฉันที่รับไปถือแบบงงๆ
“กินเป็นเพื่อนพี่หน่อย”
“ไม่กินเป็นแฟนเหรอคะ?” ทำไมฉันหยอดเก่งขนาดนี้นะ เล่นเอาพี่สองถึงกับนิ่งกัดแซนวิชคาปากไว้แบบนั้น “ก็เราเป็นแฟนกันนี่คะ ไม่ใช่เพื่อน”
“หึ” เขาหัวเราะในลำคอก่อนจะเบนสายตามองรูปภาพตรงหน้าและฉันเองก็มองด้วยความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความล้ำลึก ภาพนี้สวยมากจริงๆ ที่สำคัญดูเหมือนพี่สองจะตั้งใจมากถึงขนาดใช้นิ้วมือป้ายสีไปบนผ้าแคนวาสขนาดใหญ่แล้วนะ ไม่ต้องใช้พู่กันหรือแปรงเลยสักนิด ถึงจะใช้ก็ตามหากแต่ว่าดูเหมือนการลงมือทำภาพสีตรงหน้า มันเป็นความสุขของพี่สองที่สามารถจ้องภาพที่ตัวเองวาดได้นานเท่าที่จะทำได้ “วันนี้คงไม่ได้ไปเมาที่ไหนอีกนะ”
“ไม่แล้วค่ะ ต้องทำโมเดลเผลอๆ คืนนี้เคลียร์คงนอนที่มหาลัยค่ะ”
“...”
“เฮ้อ” แค่คิดว่าจะต้องตัดโมเดล ต้องทำโมเดลชีวิตของฉันก็แทบจะถูกโมเดลกลืนกินไปแล้วครึ่งชีวิต ฉันหลุบสายตาหยิบพู่กันของพี่สองมาดูเล่น จากนั้นก็ต้องสะดุ้งตกใจที่จู่ๆ ฝ่ามือหนาก็วางบนศีรษะเรียกสายตาของฉันให้หันไปสบเข้ากับดวงตาคมที่จดจ้องมองอยู่
“เคลียร์เก่ง”
“พี่สอง” ฉันเรียกชื่อเขาพลางจับมือหนาออกจากเส้นผมของตัวเองจนเขามึนงง “มือเลอะนะคะ! ผมเคลียร์ติดสีหรือเปล่าเนี่ย”
“อุ๊บ!” ถึงกับตกตะลึงที่เห็นใบหน้าหล่อเหลาเผยรอยยิ้มขบขันที่เห็นฉันโวยวายเรื่องที่กลัวสีที่เขาใช้วาดรูปจะติดเส้นผม พี่สองเวลายิ้มทำไมถึงได้ดูมีเสน่ห์ขนาดนี้นะ ปกติเขาเคยยิ้มบ้างหรือเปล่า? ไม่ได้อยากคิดเข้าข้างตัวเองหากแต่ว่าคนโลกส่วนตัวสูงมักจะไม่ค่อยแสดงมุมอีกมุมให้เห็นบ่อยๆ บางทีฉันอาจจะทำให้เขาสบายใจถึงได้แสดงออกมาแบบนี้ได้กันนะ “เช็ดมือให้พี่สะอาด ไม่เลอะแน่”
“พี่สองเวลายิ้มดูน่ารักมากเลยนะคะ”
“...”
“คิดว่าหนุ่ม introvert จะยิ้มไม่เป็นซะอีก” ยิ้มแกมแซวเขาที่ดูเหมือนจะลืมตัวก็หันกลับไปกินแซนวิชต่อตามเดิม “เคลียร์ไปก่อนนะคะ ต้องเริ่มทำโมเดลแล้ว”
“อืม”
“เจอกันค่ะ”
ลุกขึ้นจากเก้าอี้ข้างเขา ฉันก็กระชับกระเป๋าสะพายหวังจะเดินออกจากคณะพี่สอง หากแต่ว่ากลับหันไปมองแผ่นหลังกว้างที่กำลังนั่งกินแซนวิชและหยิบแปรงขึ้นมากวาดสีบนผ้าแคนวาส ใบหน้าหล่อเหลามุมด้านข้างทำให้ฉันเผลอยิ้มออกมาแบบไม่รู้ตัว พอรู้สึกตัวกลับต้องดึงสติกของตัวเอง
‘เดี๋ยวนะเคลียร์ แกล้งเป็นแฟนกับเขาเพื่อเอาคืนไอ้โดมนะ แกจะยิ้มจะเขินเขาเพื่ออะไร?’
*--------------------------------------------------------*