บทที่ 1 เพียงสายตาที่คุณจำได้ 3

2772 Words
ฉันรีบหันไปมองเด็กชายลูกครึ่งทันที เด็กน้อยยังไม่รู้เรื่องว่าวันนี้คุณพ่อจะไม่มารับ ยังคงเล่นของเล่นสนุกไปกับเพื่อนๆ อยู่ ส่วนฉันน่ะหรือ? ถ้างอง้ำไปแล้ว ถ้ารู้แต่แรกว่าจะต้องไปส่งไมเคิลที่คอนโดฯ ของมอร์แกน ฉันคงไม่เผลอตกปากรับคำไปหรอก! อันที่จริงก็ยังไม่ได้ตกปากรับคำนะ ฉันแค่ถามว่าต้องไปส่งใครเฉยๆ เพราะฉะนั้น ฉันคงจะปฏิเสธทัน “พี่บี๋ไปส่งได้ไหมคะ เดี๋ยวโรสอยู่คอยส่งเด็กคนอื่นๆ ให้เอง” “ไม่ได้หรอกโรส เดี๋ยวอีกสักแป๊บ ลูกๆ พี่ก็จะมาที่นี่แล้ว ผัวก็จะมารับด้วย ถ้าลูกมาแล้วไม่เจอ เดี๋ยวจะวุ่นวายกันไปใหญ่ รู้ใช่ไหมว่าลูกพี่ซนกันแค่ไหน” ฉันพยักหน้า ถึงลูกๆ ของพี่บี๋จะว่านอนสอนง่าย แต่เมื่อถึงเวลาเล่นทีไรก็ซนชนิดที่ระงับไม่อยู่ทุกที และมันมักเป็นอย่างนั้นทุกครั้งเมื่อเลิกเรียนแล้วพากันมารวมตัวที่โรงเรียนแม่ซึ่งอยู่ข้างๆ โรงเรียนประถมที่ลูกๆ เรียนอยู่ อะไรไม่ว่า ถ้าลูกๆ ของเจ้าหล่อนมาพร้อมกับสามี แล้วสามีพบว่าพี่บี๋ไม่อยู่ที่นี่ มีหวังฉันคงได้นั่งฟังสามีของพี่บี๋บ่นนั่นบ่นนี่ไม่เลิกแน่ ฉันเคยประสบมาแล้ว ผู้ชายอะไรก็ไม่รู้ บ่นมากน่ารำคาญ ฉันเลยได้แต่จำใจพยักหน้าไปตามประสาคนไม่มีใครรอคอยที่จะกลับบ้านด้วยกัน “งั้นเดี๋ยวโรสไปส่งให้เองค่ะ” “ดีเลย โรสไปตอนนี้เลยนะ คุณพ่อบอกว่าคีย์การ์ดสำรองอยู่ในกระเป๋าเล็กของกระเป๋าสะพาย เห็นว่าให้พกมาด้วยเผื่อจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นนี่แหละ รอบคอบจริงเชียว” รอบคอบอะไรกัน คนแปลกหน้ารู้แล้วว่ามีคีย์การ์ดห้องคอนโดฯ อยู่ในกระเป๋าเด็กนักเรียนก็ไม่เรียกว่ารอบคอบแล้ว ทว่าฉันก็ไม่ได้พูดอะไรหรอก ได้แต่เรียกไมเคิลให้มาหา “ไมเคิล มาหาครูหน่อยค่ะ” เด็กชายหันมามอง ละจากของเล่นแล้วเดินมาหาฉันอย่าง ว่าง่าย “เดี๋ยวหนูไปเอากระเป๋านักเรียนมาสะพายนะครับ ครูขอเก็บของแป๊บนึง แล้วเราจะกลับบ้านกันนะ” ฉันบอกกับเด็กน้อยคร่าวๆ ไมเคิลก็เข้าใจโดยง่าย ไม่ถามด้วยว่าคุณพ่อไปไหน เดินเตาะแตะไปหยิบกระเป๋ามาสะพายหลัง ส่วนฉันก็เก็บสัมภาระตัวเองแล้วยกมือไหว้พี่บี๋ “โรสไปก่อนนะคะพี่บี๋ ไว้ส่งไมเคิลเสร็จแล้วจะส่งข้อความไปบอกนะคะ” “จ้ะ กลับกันดีๆ นะ พี่ฝากด้วย” เธอรับไหว้ไมเคิลที่ยกมือขึ้นพนมแล้วโค้งศีรษะ ฉันจับมือเล็กๆ ข้างหนึ่งพาเดินออกมาจากโรงเรียน แล้วขึ้นแท็กซี่มุ่งหน้าไปยังคอนโดฯ ที่เคยไปแล้วครั้งหนึ่ง ไม่ต้องเปิดแผนที่ ฉันก็จำได้ว่ามันอยู่ตรงไหน ก่อนจะต้องถอนหายใจยาวเมื่อเห็นตึกสูงตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ฉันได้กลับมาอีกครั้ง...ในฐานะคุณครูผู้ช่วยของลูกเขาสินะ มาถึงคอนโดฯ ของมอร์แกนในเวลาไม่นานอย่างที่เขาว่า สิบห้านาทีน้อยพอที่ทำให้ฉันเตรียมตัวเตรียมใจไม่ทัน ถ้าเกิดไปส่งไมเคิลที่ห้องแล้วเจอมอร์แกนขึ้นมาล่ะ ฉันจะทำหน้าอย่างไร? จะทำหน้าอย่างไรล่ะ ก็ทำให้เป็นปกตินี่แหละ ฉันกับเขาไม่ได้มีอะไรข้องเกี่ยวกันแล้ว แค่เป็นครูพี่เลี้ยงกับผู้ปกครองนักเรียนเฉยๆ จะต้องกลัวทำไม ส่งแล้วก็รีบกลับ มันแค่นั้นเอง ฉันพาไมเคิลขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นบน เดินไปส่งเด็กน้อยถึงห้อง พอเปิดประตูเข้ามา ไมเคิลก็รีบผลุบเข้าไปโยนกระเป๋านักเรียนทิ้ง แล้วตรงไปที่ตู้เย็นในครัวพร้อมกับส่งเสียงร้อง “นม...เอานม” สงสัยคงจะหิว ฉันที่ตั้งใจว่าจะส่งแล้วก็กลับจึงเปลี่ยนใจกะทันหัน เข้ามาด้านใน ปิดประตูแล้วตรงไปยังห้องครัวเพื่อหยิบนมกล่องมาเจาะ ก่อนส่งให้เด็กน้อยดูดและพาเขากลับมานั่งที่โซฟาในห้องรับแขก ซึ่ง...เคยใช้เป็นที่ระเริงรักระหว่างฉันกับมอร์แกนในครั้งนั้น ฉันพยายามจะไม่คิด ตอนนี้มีลูกเขานั่งอยู่บนโซฟาด้วย คิดอุบาทว์อย่างนั้นเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจสิ้นดี! ทว่าก็อดที่จะคิดไม่ได้จริงๆ ฉันเลยเบี่ยงความสนใจไปมองสำรวจยังห้องหับต่างๆ คอนโดฯ นี้ค่อนข้างจะราคาสูง ถึงได้มีการแบ่งห้องต่างๆ ออกเป็นสัดส่วน อีกทั้งยังตกแต่งเป็นอย่างดี มันดูแปลกตาไปนิดตรงที่มีข้าวของเครื่องใช้ของเด็กมาวางปะปนอยู่ด้วย ขณะที่ตอนนั้นที่ฉันมาเยือนกลับไม่มี อยากรู้นักว่าเขาเก็บข้าวของของลูกไว้ตรงไหนบ้าง ฉันถึงไม่เห็นเลยสักชิ้น แต่อยากรู้ไปก็เท่านั้น ฉันมาส่งไมเคิลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถึงเวลาที่ฉันควรจะกลับบ้าง “ไมเคิล เดี๋ยวครูจะกลับ...” พอฉันหันไปทำท่าจะบอก เด็กชายที่ดูดนมกล่องตาแป๋วอยู่เมื่อครู่ก็หลับคอพับคออ่อนพิงพนักโซฟาไปแล้ว ฉันถอนหายใจยาวออกมา ใจคอจะให้ฉันทิ้งเด็กคนนี้อยู่ตามลำพังโดยไม่มีผู้ปกครองดูแลอย่างนี้ได้หรือ? แน่ล่ะว่าไม่ได้ ฉันเป็นห่วง กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้น พลันก็ตัดสินใจว่าจะอยู่เป็นเพื่อนจนกว่าผู้ปกครองจะกลับมา ฉันอุ้มเด็กน้อยให้นอนราบไปบนโซฟา ถือวิสาสะเปิดห้องนอนเพื่อไปเอาผ้าห่มมาห่มให้ ดีที่ฉันเปิดประตูห้องหนึ่งแล้วเจอห้องนอนเด็กเลย จึงไม่ได้ไปค้นห้องนอนอีกห้องโดยพลการให้เจ้าของได้ต่อว่า พอเอาผ้าห่มคลุมร่างเล็กเสร็จแล้ว ฉันก็เล่นโทรศัพท์ไปเรื่อยๆ จนเริ่มง่วงขึ้นมาบ้าง ตอนนี้กี่โมงแล้วนะ... เหลือบมองดูนาฬิกาที่หน้าจอโทรศัพท์...เกือบสองทุ่มแล้ว ยังไม่กลับมาอีก เป็นพ่อแบบไหนกัน! คิดแล้วก็หงุดหงิด ทว่าความง่วงงุนดันมีมากกว่า ฉันเลยปิดเปลือกตาลงแล้วพิงพนักโซฟา ม่อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว สะดุ้งตื่นอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียง ‘ติ๊ด’ จากคีย์การ์ดที่ถูกแตะจากด้านนอก ฉันลืมตาขึ้นก็พบว่าประตูห้องถูกเปิดเข้ามาพร้อมกับร่างสูงของใครบางคนที่ฉันกำลังรออยู่ “อ้าว คุณ ยังไม่กลับอีกเหรอ ผมคิดว่าคุณมาส่งไมค์กี้แล้วก็กลับไปแล้วซะอีก” เป็นประโยคแรกที่มอร์แกนใช้ทักทายฉัน ดูเขาไม่ทุกข์ร้อนอะไรเลยที่ลูกต้องอยู่ในความดูแลของคนอื่น ทำเอาฉันต้องยืดตัวขึ้นแล้วว่าเสียงขุ่นหน่อยๆ “จะให้ฉันกลับโดยทิ้งไมเคิลไว้ได้ยังไงกันล่ะคะ คุณพ่อนั่นแหละค่ะ ทำไมถึงกลับช้าจัง นี่มันกี่โมงแล้ว ทิ้งลูกไว้อย่างนี้ไม่ดี นะคะ” “ทิ้งลูก?” มอร์แกนเลิกคิ้วสูง ทำท่าประหลาดใจ พอเห็นฉันพยักหน้า เขาก็หัวเราะ “ผมไม่ได้ทิ้งลูกสักหน่อย แค่ติดประชุม นี่ไง กลับมาหาแล้ว” ดูไม่ทุกข์ไม่ร้อนจริงๆ ด้วย แต่ก็เอาเถอะ มันเรื่องของเขา และไมเคิลก็เป็นลูกของเขา เขาจะเลี้ยงดูด้วยวิธีไหน ไม่เกี่ยวกับฉันทั้งนั้น แต่เขาก็วางข้าวของที่อยู่ในมือทิ้ง แล้วตรงมาอุ้มไมเคิลไปส่งที่ห้องนอน ฉันอยากท้วงให้เขาปลุกลูกขึ้นมาอาบน้ำก่อนนะ เพราะหมักหมมสิ่งสกปรกมาทั้งวัน มันไม่ดีต่อสุขภาพเด็ก ทว่าสุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรเมื่อเขากลับออกมาพร้อมกับยิ้มแฉ่ง “ส่งเจ้าชายน้อยเข้านอนเรียบร้อย” นอนทั้งๆ ที่ยังไม่ได้กินข้าวเย็นด้วยเถอะ ยังดีที่มีนมกล่องรองท้อง นอกจากจะเป็นสามีที่ไม่ได้เรื่องแล้ว ยังจะเป็นคุณพ่อ ยอดแย่อีก ใช้ไม่ได้เลยจริงๆ! แต่ก็อย่างที่บอก ไม่ใช่เรื่องของฉัน ภารกิจของฉันสิ้นสุดลงแล้ว เห็นทีจะต้องกลับแล้วล่ะ “ถ้าอย่างนั้นก็หมดธุระของฉันแล้ว ฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ” ว่าพลางผุดลุกขึ้นจากโซฟา มอร์แกนรีบเดินเข้ามาหาฉันพร้อมกับร้องเรียก “เดี๋ยวสิคุณ ผมลืมจ่ายค่าเสียเวลาให้” ฉันชะงัก มอร์แกนคว้าธนบัตรสีเทาออกมาสองสามใบแล้วส่งให้ฉัน ให้มากขนาดนี้เลยหรือ!? แค่มาส่งลูกเขาที่คอนโดฯ เนี่ยนะ!? ฉันมองหน้าเขาสลับกับธนบัตรนั้น มอร์แกนเหมือนจะ อ่านใจฉันได้ ยัดธนบัตรลงในมือ “รับไปเถอะครับ ไม่ต้องเกรงใจ” ฉันไม่ได้เกรงใจ ฉันแค่ไม่เชื่อสายตาว่าเขาจะให้ค่าตอบแทนเยอะกว่าที่คาดคิดไว้อย่างนี้ มิหนำซ้ำยังพูดขึ้นมาอีก “แล้วค่ารถแท็กซี่เท่าไร ผมจะจ่ายส่วนต่างให้” ไม่ถึงร้อยเลย ใกล้แค่นิดเดียว ฉันจึงรีบบอกปัด “ไม่เป็นไรค่ะ แค่นี้ก็มากพอแล้ว ฉันกลับแล้วนะคะ” พลันก็ยกมือขึ้นไหว้เขา เตรียมตัวเก็บข้าวของจะออกจากห้อง ทว่ามอร์แกนกลับพุ่งตรงมาคว้าแขนฉันเอาไว้ “มีอะไรคะ” ฉันหันไปมอง ไม่ได้ชักสีหน้าสีตาใส่เขานะ แต่รู้สึกว่าเรียวคิ้วมันขมวดมุ่นไปโดยอัตโนมัติ มอร์แกนมองหน้าฉันนิ่งแล้วว่าเจือยิ้ม “ดูคุณไม่ค่อยชอบหน้าผมสักเท่าไรเลย” ใช่ ฉันไม่ชอบหน้าเขา ส่วนเรื่องอะไรนั้นก็รู้ๆ อยู่แก่ใจ “ผมไปทำอะไรให้คุณไม่พอใจเหรอครับ” ทว่ามอร์แกนกลับไม่รู้ ฉันไม่คิดจะบอกเขาหรอก ทำเพียง พรูลมหายใจใส่เขาแรงๆ เท่านั้น “ไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้นค่ะ แล้วก็ช่วยปล่อยฉันด้วยนะคะ คุณพ่อ ทำแบบนี้มันไม่ให้เกียรติครูเลยนะคะ” กล่าวอ้างความเป็นครูและผู้ปกครองนักเรียนออกไป เผื่อว่ามอร์แกนจะฉุกคิดขึ้นมาได้บ้าง ทว่าเขากลับไม่ปล่อยมือออก จับแน่นกว่าเดิมด้วยซ้ำ ก่อนจะว่าเสียงต่ำมาให้ได้ยิน “อย่าทำเหมือนกับว่าเราไม่รู้จักกันสิโรส คุณก็รู้ว่าระหว่างเรามันเป็นยังไง” จู่ๆ เขาก็มารำเลิกความหลัง ฉันไพล่ไปคิดถึงเรื่องวันนั้น อีกแล้ว วันที่ฉันนอนราบอยู่บนโซฟาในห้องนี้โดยมีเขาขึ้นคร่อม ทาบทับ... คิดแล้วก็รู้สึกละอายใจอย่างบอกไม่ถูก ฉันจึงรีบสวนเขากลับไป “แต่มันจบแล้วค่ะ จบตั้งแต่วันที่คุณไม่ตอบข้อความฉันแล้ว ขอโทษนะคะ ฉันไม่อยากรื้อฟื้น” บอกไปตามตรงก็หวังว่าเขาจะเข้าใจ ไม่เรียกแทนตัวเองว่าครูด้วย ทั้งๆ ที่ในใจของฉันไม่ได้อยากจะพูดอย่างนั้นเลย ก็มันเป็นเรื่องไม่สมควร ฉันเลือกที่จะหยัดยืนอยู่บนความถูกต้องมากกว่ายึดเหนี่ยวสิ่งที่ตัวเองปรารถนา ทว่ามอร์แกนก็ทำให้ฉันต้องสับสนขึ้นมาทีละน้อย “หมายความว่าคุณจะลืมมันไป ทำเป็นจำไม่ได้ว่าเราสองคนเคยมีความสุขด้วยกันทั้งวันใช่ไหม” ใช่...ฉันควรตอบไปอย่างนั้น น่าแปลกที่พอสิ้นเสียงแล้ว ฉันก็ไม่กล้าตอบ ทำเพียงสบตามอร์แกนเงียบๆ ดวงตาของเขายังคงมีความเย้ายวนเหมือนเดิม มันทวีมากขึ้นด้วยยามที่เขาจับจ้องใบหน้าฉัน ฉันอยากจะบอกให้เขาหยุดมองอย่างนี้สักที แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากฟังสิ่งที่เขาพูด “ผมไม่อยากให้เราจบไปกันแบบนี้ โอเค ผมเป็นฝ่ายผิดเองที่ไม่ตอบข้อความคุณ แต่คุณก็ไม่ตอบข้อความผมเหมือนกันนะ” “คุณติดต่อฉันทางไหนล่ะคะ” “ทางแอพฯ” “ถ้าทางนั้น ฉันลบทิ้งไปตั้งแต่ที่คุณไม่ตอบฉันแล้วล่ะ” ฉันว่าอย่างไม่ยี่หระ มอร์แกนร้องอ๋อขึ้นมา แล้วก็ดูไม่ เดือดเนื้อร้อนใจเท่าไรนักเมื่อรู้ความจริง “ผมก็หลงคิดว่าคุณไม่ชอบผม เลยไม่ตอบ โล่งใจจัง” ยังจะมีหน้ามายิ้มอีก ฉันไม่ยิ้มไปด้วยหรอกนะ ทำหน้า ปั้นปึ่งใส่เขาให้เขาได้หยิกแก้มฉันอย่างถือวิสาสะเบาๆ “คุณพ่อคะ ไม่ควรทำอย่างนี้นะ” ฉันปัดมือเขาทิ้ง เน้นย้ำคำว่า ‘คุณพ่อ’ ให้เขาได้ตระหนักว่าในห้องนี้ยังมีลูกชายตัวน้อยของเขาอยู่อีกคน แต่คนเป็นพ่อไม่ได้เรื่องอย่างเขาจะสนใจอะไร เขาแค่หัวเราะ แล้วก็ปล่อยให้ฉันได้สะบัดตัวออกจากการเกาะกุมของเขา “ฉันจะกลับจริงๆ แล้วค่ะ ขอตัวนะคะ” ตัดสินใจอย่างนั้นในทันที ขืนอยู่ต่อไป มีหวังคงได้ถูก มอร์แกนพูดอะไรแปลกๆ ใส่อีกแน่ มอร์แกนเดินตามหลังฉันมาส่งที่ประตู ฉันตั้งใจว่าออกมาพ้นประตูแล้วก็จะรีบก้าวฉับๆ ลงลิฟต์ไปให้ไว แต่ทว่าก็ต้องชะงักแล้วหันไปมองหน้าเขาที่ยืนเท้าขอบประตูอยู่เมื่อเขาพูดส่งท้าย “ที่ผมเคยบอกคุณว่าผมคิดถึงช่วงเวลาที่ใช้กับคุณในวันนั้น...ผมพูดจริงๆ นะ” “...” “ถ้ามีโอกาส เรามารำลึกความหลังกันไหม...ที่โซฟาของผม หรือเป็นเตียง หรือจะที่ไหนก็ได้ที่คุณต้องการ” ไม่น่าเชื่อเลยว่าเขาจะกล้าพูดแบบนี้อีก ฉันถึงกับถลึงตาใส่เขาทันควัน ไอ้ฝรั่งขี้นก ลามกจกเปรตเอ๊ย! มีลูกมีเมียอยู่แล้ว ยังจะมีหน้ามาชวนผู้หญิงอื่นไปอึ๊บด้วยอีก แถมผู้หญิงอื่นก็ดันเป็นครูพี่เลี้ยงของลูกชายตัวเอง ถ้าไม่เลวมาก ทำไม่ได้นะเนี่ยแบบนี้น่ะ! ฉันเกือบจะโพล่งใส่เขาไปแล้วว่าเขาเป็นบ้าอะไร แต่จู่ๆ มอร์แกนก็หัวเราะออกมาที่ได้เห็นสีหน้าและท่าทางโกรธๆ ของฉัน พลางบอกอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว “ผมคิดถึงคุณ” นะ...นี่เขารู้สึกผิดชอบชั่วดีอะไรบ้างหรือเปล่า? คงจะไม่ เพราะทันทีที่สิ้นประโยค เขาก็โปรยยิ้มและมองฉันด้วยสายตาอย่างนั้นอีกแล้ว สายตายั่วยวนเชื้อเชิญให้ฉันติดกับดักของเขา ให้ตาย...ก็ต้องยอมรับว่าฉันยังรักเขาอยู่จริงๆ แค่สบตา ฉันก็เกือบจะเผลอไผลไปกับคำพูดและสายตาบ้าๆ ของเขาอีกแล้ว รีบตั้งสติได้แล้ว รสมาลี! ผู้ชายคนนี้ไม่ได้หวังดีกับเธอ หวังอย่างเดียวคือหวังเอาเท่านั้น! ฉันรีบเชิดหน้าขึ้น ส่งเสียงแข็งๆ ออกมาราวกับเป็นการโต้ตอบของระบบป้องกันตัวเอง “ไม่ต้องคิดถึงฉันหรอกค่ะ เอาเวลาไปดูไมเคิลเถอะ ลูกชายคุณยังไม่ได้กินข้าวเย็นนะคะ กินนมไปแค่กล่องเดียว ถ้าตื่นขึ้นมาก็อย่าลืมหาอะไรให้ลูกกินด้วย ฉันขอตัวค่ะ” สิ้นเสียง ฉันก็เดินฉับๆ จากมาเลย ไม่หันไปมองข้างหลังแม้แต่น้อย แต่ก็พอจะเดาได้อยู่ว่าอีตาฝรั่งขี้นกนั่นคงจะหัวเราะและมองตามฉันจนกระทั่งหายเข้าไปในลิฟต์นั่นแหละ พอเข้ามาในลิฟต์ ฉันก็รีบกดเลือกชั้นล่างสุด แล้วถอยหลังมายืนสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ อยู่หลายต่อหลายรอบ ผมคิดถึงคุณ...อย่างนั้นหรือ? สมองอดคิดถึงใบหน้าเขาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มทรงเสน่ห์และสายตาที่แสดงออกชัดเจนว่าปรารถนาในตัวฉันไม่ได้อีกแล้ว พยายามหยุดคิดก็มีภาพใบหน้าของเขาฉายเข้ามาในหัวเรื่อยๆ จนฉันแทบจะทึ้งผมตัวเองให้รู้แล้วรู้รอดไป ทว่าสุดท้ายก็ทำได้แค่ถอนหายใจนับครั้งไม่ถ้วนเท่านั้น เฮ้อ...รสมาลี รู้ทั้งรู้ว่าตานั่นคิดอะไร แต่ก็ยังจะเผลอใจไปกับคำพูดหวานๆ ของเขาอีก เธอนี่มันเฮงซวยจริงๆ!
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD