บทที่ 1 ความฝัน

1593 Words
‘เปิดประวัติเบญจมาศ ดาราสาวชื่อดังที่ตกเป็นข่าวมือที่สามของว่าที่สส....’ ‘เผยใบหน้ามื้อที่สามว่าที่ สส. ชวิศ’ ‘เบญจมาศ นางเอกเบอร์หนึ่งของช่องXXลักลอบมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับนักการเมืองชื่อดัง เจ้าตัวปัดไม่รู้มาก่อนว่าอีกฝ่ายแต่งงานแล้ว เผย! รู้พร้อมกับทุกคน ตอนนี้สภาพจิตใจย่ำแย่ ไม่พร้อมให้สัมภาษณ์สื่อสำนักไหน...’ ‘รูปว่อน! ชี้เป็นการโจมตีทางการเมือง ดาราสาวเบญจมาศตกเป็นแพะรับบาป ขณะนี้เจ้าตัวยังไม่ออกมาพูดใด ๆ ทั้งสิ้น’ ‘ว่าที่ สส. ชวิศ ปัด ไม่รู้เรื่อง คนในรูปไม่ใช่ตน ชี้ถูกฝ่ายตรงข้ามตัดต่อรูปกลั่นแกล้ง’ …ลมในเวลากลางคืนที่กำลังพัดโกรกใบหน้านี้ทำให้ใบหน้าสวยแห้งเหือด เสียงรถยนต์ในเวลากลางคืนนั้นดังก้องอยู่ในหู สอดแทรกมาพร้อมกับความคิดในหัวก่อนหน้านี้ หนังสือพิมพ์หลายฉบับตีพิมพ์ข้อความโจมตีจนไม่อาจหยัดยืนอยู่ในสังคมนี้ได้ กระนั้นผู้ชายที่เธอรักสุดหัวใจกลับปฏิเสธสิ่งที่เกิดขึ้นแทนที่จะออกมาปกป้อง แต่ก็ต้องก้มหน้ายอมรับ เพราะเขา...มีภรรยาอยู่แล้ว ใจเขานั้นทำด้วยอะไร ทำไมถึงย่ำยีความรู้สึกของเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า กระทืบให้เจ็บช้ำ ไม่ได้กลัวเรื่องรูปเหล่านั้นที่หลุดไป เขาไม่ได้ตั้งใจเธอรู้ แต่เป็นการโจมตีจากฝ่ายตรงข้ามด้วยเหตุผลทางการเมือง ด้วยวิธีการตั้งกล้องแอบถ่ายโดยที่เธอไม่รู้ตัว น้ำตาที่ไหลอาบแก้ม ไม่ได้แห้งเหือดไปเสียทีเดียว เพราะมันไหลออกมาจากทำนบน้ำตาที่พังลงอย่างต่อเนื่อง เบญจมาศมีสภาพเหม่อลอย งานของเธอถูกยกเลิกทั้งหมด ภาระหนี้สินก็ล้นตัว หลังจากนี้จะทำอย่างไร เธอนึกไม่ออก “ฮึก ไม่เหลือแล้ว ฮือ~ ไม่เหลืออะไรแล้ว” รำพึงรำพันคล้ายคนละเมอ ฝ่ามือบางนั้นสั่นเทา ยกขึ้นกุมหน้าอกข้างซ้ายของตัวเอง ระเบียงอะพาร์ตเมนต์ชั้นสิบนี้ช่างหนาวเหน็บ ทางด้านล่างมีนักข่าวมารอสัมภาษณ์เธอ เสียงของพวกเขาลอยขึ้นมาตามอากาศ อื้ออึงในหู...ยากที่จะสลัดออก “หนูขอโทษ ฮึก หนูไม่รู้เลย ฮึก หนู...” กล่าวขอโทษพ่อแม่ในใจ เบญจมาศจับราวระเบียงไว้แน่น เบื้องหน้านั้นไม่ได้น่ากลัวเลยสักนิด แต่เบื้องหน้าชีวิตของเธอต่างหากที่น่ากลัว สังคมตีตราว่าพรากผัวเขา เป็นเครื่องมือทางการเมืองที่รอให้สังคมประณาม “ฮึก หนูขอโทษ” เธอพล่ามพรรณนาขอโทษขอโพย ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรผิด แต่เป็นเขาคนนั้นต่างหากที่หลอกลวงเธอว่าไม่เคยแต่งงานมาก่อน ทว่าความผิดในใจนั้นกำลังกัดกินหัวใจ กัดเซาะความรู้สึกจนแทบไม่มีหลงเหลือ ลาแล้ว “ลาก่อน...ฮึก ถ้าชาติหน้ามีจริง ฉันขอ ฮึก เกิดมาไม่เจ็บปวด ฮึก ขอให้ไม่เป็นน้อยใคร...” เสียงของเธอล่องลอยไปตามอากาศ ก่อนที่ริมฝีปากบางจะฮึมฮัมบทเพลงที่ตัวเองชอบ ขับกล่อมความรู้สึก สะกดจิตตัวเอง ก่อนจะยิ้มออกมาบาง ๆ ...เธอทิ้งศีรษะลง ดิ่งพสุธาทางด้านล่าง สติดับวูบไม่มีแม้แต่ความเจ็บปวด น้ำตาไหลออกมาอย่างอัตโนมัติ มันเหมือนกับว่าร่างกายรับรู้ความเจ็บปวด แต่เธอไม่รู้สึกอะไรแล้ว... “เฮือก!!” เหนื่อย... ความรู้สึกหลังจากที่สะดุ้งตื่น ฉันรู้สึกอย่างนั้น เหงื่อที่ผุดขึ้นบนหน้าผากทำให้ผมของฉันเปียกแนบลู่เหมือนกับลูกวัวที่ออกใหม่ ๆ แล้วโดนแม่วัวเลียขนให้ เหงื่อเยอะมากทั้ง ๆ ที่เปิดแอร์ 22 องศา แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ช่วยอะไร เสียงหายใจของฉันดังแรงมากท่ามกลางความเงียบสงบ ความมืดสนิทตรงหน้านี้ทำให้ฉันรู้สึกโดดเดี่ยวและหวาดกลัวในเวลาเดียวกัน จนต้องเอื้อมมือไปกดเปิดสวิตช์โคมไฟบนหัวเตียง แสงสว่างวาบนี้ทำให้ฉันหรี่ตาลง ภาพตรงหน้าชัดแจ่มแจ้งว่าตัวฉันยังนั่งอยู่บนที่นอน ไม่ได้ตกตึกอย่างที่ฝันอยู่ ในบางครั้ง บางเวลา ฉันมักฝัน หรือคิดอะไรบางอย่างออกมาโดยที่ตัวฉันไม่รู้สึกตัว มันล่องลอย คล้ายกับการหลับใน แต่ความจริงแล้วมันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น ฉันฝันแบบนี้...มาตั้งแต่จำความได้ ตอนเด็ก ๆ ฉันร้องไห้ไม่หยุด ฉันเปลี่ยนชื่อมาแล้วกว่าสิบชื่อ แต่พอเปลี่ยนเป็น ‘เบญจมาศ’ ฉันก็ไม่ร้องไห้อีกเลย ฉันเข้าพบจิตแพทย์ตั้งแต่ยังเด็กด้วยอาการแพนิก ฝันร้าย นอนไม่หลับ จนถึงตอนนี้ที่ฉันดีขึ้น ไม่หรอก...ฉันแค่สะกดจิตตัวเองว่าดีขึ้น อีกอย่างฉันโตขึ้นเลยทำความเข้าใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ พอทำความเข้าใจได้ ก็สามารถใช้ชีวิตเป็นปกติเหมือนกับคนทั่วไปได้ ฉันก็แค่หลอกตัวเอง และหลอกพ่อแม่เพื่อให้ท่านสบายใจก็เท่านั้น กริ่ง~ กริ่ง~ “อ๊ะ!...ตกใจหมด” ฉันอุทานด้วยความตกใจที่อยู่ ๆ เสียงนาฬิกาปลุกก็ดังขึ้น ก่อนจะใจหายวาบทันทีเพราะยังรู้สึกนอนไม่เต็มอิ่ม แต่มันก็เป็นแบบนี้เสมอ...ฉันนอนไม่เคยพอเพราะฝันบ้า ๆ นี่ “เฮ้อ...” ทว่า ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! “คุณหนู คุณหนูตื่นหรือยังคะ” เสียงเคาะประตูก็ทำให้ฉันอิดออดไม่ได้ แค่คิดก็ต้องพ่นลมหายใจออกมาครั้งแล้วครั้งเล่าก่อนจะเอ่ยปากตอบรับ “ค่า ตื่นแล้ว” “โอเคค่ะ คุณนายบอกว่าวันนี้คุณหนูไปฝึกงานนะคะ” “รู้แล้วค่า” “คุณหนูอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมคะ” “คงไม่ทันอะป้านิด” “งั้นเดี๋ยวป้าทำแซนด์วิชให้ไปกินบนรถนะคะ” “อ้อ ได้ค่ะ” ตอบรับไปอย่างนั้น ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนอีกสักหน่อย ขอสิบห้านาทีก็แล้วกัน มีความเชื่อกันว่าการนอนให้ครบตามลูบเวลา 15 นาที 30 นาที 45 นาที เทียบเท่ากับการนอน 8 ชั่วโมง เพราะเป็นการนอนครบรอบ แต่... ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! “คุณหนู เรียบร้อยหรือยังคะ” เสียงนี้ ฉันฝันอยู่ แต่...ป้านิดไม่เคยอยู่ในความฝันของฉันมาก่อน “เฮือก!!” ให้ตายสิ...ฉันหลับไปนานแค่ไหนแล้ว 15 นาทีไม่มีอยู่จริง! “คุณหนูคะ อีกสิบห้านาทีต้องไปแล้วนะคะ” “กรี๊ดดดด!!” ฉันกรีดร้องออกมาดังลั่นห้องนอน ก่อนจะดีดตัวลงจากเตียงนอนขนาดใหญ่นี้ “แป๊บนะคะป้านิด ป้านิดช่วยเก็บกระเป๋าให้ด้วยนะคะ” “เรียบร้อยแล้วค่ะ” ใจของฉันต้นตึกตัก อีกสิบห้านาทีอย่างนั้นเหรอ ให้ตายสิ...จะสายก็ไม่ได้เพราะนี่ไม่ใช่การเรียนแต่เป็นการฝึกงานแล้ว! “เบญเอ๊ย! แกไม่รอดแน่!!” ฉันสบถด่าตัวเองระหว่างเดินไปแปรงฟัน จะอาบน้ำก็คงไม่ทันแล้ว ตอนนี้ขอแค่แต่งหน้าให้ทันก่อน ไปสายไม่กลัว แต่ฉันกลัวไม่สวยน่ะสิ... เวลาไม่เคยคอยใคร แต่ช่วยคอยคนสวยแบบฉันหน่อยไม่ได้หรือไง ตอนนี้ฉันกระเสือกกระสนสะพายกระเป๋าแบรนด์หรู เดินลงจากรถคันหรูเช่นกัน ตึกสูงตระหง่านนี้เป็นสถานที่ฝึกงานของฉันเอง ซึ่งเป็นบริษัทกลุ่มผู้ผลิตเครื่องประดับจากอัญมณีและโลหะมีค่า ที่มีทุนจดทะเบียนถึงหนึ่งพันล้านบาท ฉันเรียนจบบัญชีอินเตอร์มา คุณพ่อคุณแม่ฝากฉันเข้าฝึกงานที่นี่ ซึ่งทางมหา’ ลัยให้หาที่ฝึกงานเอง โชคดีที่เกิดมารวยแบบรวยมาก มากจนไม่รู้จะใช้เงินยังไงให้หมดในชาตินี้ ก็เลยมีทางเลือกเยอะ คุณพ่อคุณแม่มีเส้นสายทางธุรกิจ ฉันก็เลยได้มาเหยียบอยู่ที่นี่ ที่ที่มีผู้คนในชุดทำงานออฟฟิศเดินกันขวักไขว่ “เอ่อ...ฝ่ายบุคคลไปทางไหนคะ” ฉันเอ่ยถามผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาเดินเข้าบริษัท ซึ่งเธอก็เลื่อนสายตามองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า “สมัครงานเหรอ” ใบหน้าของหล่อนนั้นกำลังแสดงความตกใจ ประหลาดใจ ราวกับไม่อยากจะเชื่อ “เอ่อ เป็นนักศึกษาฝึกงานค่ะ” “ห๊า...” เธออ้าปากเหวอ ส่วนฉันก็ตกใจเช่นกัน ทำไมต้องทำหน้าตาประหลาดใจอย่างคนไม่อยากจะเชื่อ แถมยังไล่สายตามองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกด้วย “มีอะไรหรือเปล่าคะ” “มาฝึกงานแน่นะยะหล่อน พักค่ะ!” เธอกระแทกเสียงประโยคสุดท้าย ก่อนที่ฉันจะเข้าใจ “อ้อ เพราะฉันแต่งตัวแบบนี้ใช่ไหมคะ พอดีถามไปยังฝ่ายบุคคลแล้วค่ะว่าได้ไหม เห็นบอกว่าได้นะคะ” “ได้? เดรสกระโปรงสีแดง กับรองเท้าส้นสูงปรี๊ดแบบนี้เนี่ยนะ ฉันก็นึกว่าเธอมาเต้นรูดเสาซะอีก” ฉันอ้าปากเหวอเล็กน้อย แต่ก็ไม่ทันได้พูดอะไร “แล้วดูสิ ผม...ย้อมแดงขนาดนี้” “เอ่อ คือ...ได้ยินว่าที่นี่ไม่มีระเบียบการแต่งกายไม่ใช่เหรอคะ” ฉันสงสัยก็เลยเอ่ยถาม เพราะก่อนจะมาฉันว่าฉันก็หาข้อมูลมาดีระดับหนึ่งแล้วนะ “เหรอ...แสดงว่าไม่ได้ตั้งใจหาข้อมูลมาเลย” น้ำเสียงของเธอดูเหมือนไม่พอใจเอามาก ๆ ให้ตายสิ วันนี้ฉันว่าฉันก็ก้าวขาขวาออกจากบ้านแล้วนะ ทำไมมันซวยอย่างนี้...แค่เริ่มก็ไม่ดีแล้ว ฉันจะรอดไหมเนี่ย!
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD