สามวันต่อมาคุณชวลิตกับคุณหญิงชลาลัยบิดามารดาของชวัลดนย์กับชญาพัฒน์กลับมาจากเที่ยวต่างประเทศ ผู้เป็นลูกชายจึงนำเครื่องเพชรไพลินที่ร่วมประมูลในงานมามอบให้มารดา พอท่านเห็นก็รู้สึกชอบและดีใจเป็นอย่างยิ่ง แต่มีสิ่งหนึ่งที่ท่านทั้งสองรับรู้ได้เกี่ยวกับลูกทั้งสองคนโดยเฉพาะชญาพัฒน์ที่ทำหน้าตาปั้นปึ่งใส่พี่ชายตลอดเวลาเหมือนมีเรื่องงอนอะไรกันอยู่ เห็นแบบนี้แล้วคนเป็นแม่จึงถามออกมา
“ลูกสองคนทะเลาะอะไรกันรึเปล่า ทำไมตั้งแต่พ่อกับแม่กลับมาถึงไม่เห็นพูดจาอะไรกันเลย แล้วทำไมน้องถึงได้มองค้อนพี่ตลอดเวลาอย่างนี้คะ มีอะไรจะพูดให้พ่อกับแม่ฟังมั้ย”
ชญาพัฒน์เชิดใส่พี่ชายเมื่อชายหนุ่มถอนหายใจแล้วมองมาที่เธอ หญิงสาวจึงถือโอกาสฟ้องพวกท่านเรื่องที่เธอเห็นเขานั่งรับประทานอาหารกับแม่นางแบบคนนั้นแทนที่จะเป็นเพชรไพลินเพื่อนสาวที่เธอแนะนำให้
“ก็พี่โชแปงสิคะคุณแม่เกิดติดใจนางแบบถือเครื่องเพชรชุดที่คุณแม่ได้มาถึงขนาดชวนกันไปกินข้าวแบบสองต่อสอง ชาไปเจอเข้าเลยเข้าไปถามแล้วพี่โชแปงก็ทำท่าไม่พอใจโมโหใส่ชา”
ชญาพัฒน์หันมาจ้องหน้าพี่ชายแล้วสะบัดหน้าไปส่งสายตาออดอ้อนกับผู้เป็นมารดาให้เข้าข้างตนเหมือนเคย
“จริงเหรอลูก ลูกไปทานข้าวกับนางแบบอย่างที่น้องว่าจริงเหรอ”
คุณชวลิตผู้เป็นสามีแทรกขึ้นก่อนที่ชวัลดนย์จะตอบ
“ลูกเป็นผู้ชาย อายุขนาดนี้แล้วจะไปนั่งทานข้าวอะไรกับใครมันแปลกมากนักเหรอคุณหญิง”
ภรรยาตวัดสายตาไปมองหน้าสามีที่เหมือนจะเข้าข้างลูกชาย ก่อนจะพูดว่า
“ไม่แปลกหรอกค่ะคุณ ฉันไม่หวงห้ามเลยนะว่าลูกจะไปนั่งทานข้าวกับใครที่ไหน แต่ที่ฉันอยากรู้คือผู้หญิงที่ลูกพาไปนั่งทานข้าวด้วยถึงขั้นมีความพิเศษอะไรรึเปล่า”
เจ้าตัวที่นั่งฟังสมาชิกในครอบครัวโต้เถียงกันเรื่องของเขาอย่างจริงจังโดยที่ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตขนาดนั้นเอ่ยขึ้นบ้าง
“เธอเป็นคนพิเศษครับ”
“นั่นไง พี่โชแปงชอบนางแบบคนนั้นจริง ๆ ด้วย ทั้งที่มันด่าชา”
“หยุดเถอะชาลีน แล้วฟังคนอื่นเค้าพูดบ้าง...”
พี่ชายใช้น้ำเสียงเข้มเพื่อปรามน้องสาวที่ทุกคนเอาใจเธอมาตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ ชญาพัฒน์แสดงสีหน้าไม่พอใจส่งสัญญาณให้มารดาช่วยแต่คราวนี้คุณหญิงชลาลัยก็โดนคุณชวลิตรผู้เป็นสามีใช้สายตาปรามอยู่เช่นกัน ชวัลดนย์ระบายลมหายใจออกด้วยความรู้สึกกึ่งระอาแล้วจึงอธิบายให้ทุกคนฟังว่า
“เธอเป็นคนพิเศษเพราะผมต้องการให้เธอเข้ามาช่วยงานโปรเจกที่ผมกำลังจะทำอยู่ครับคุณพ่อคุณแม่ คืนนั้นตอนเจอกันที่งานผมก็จะคุยกับเธอแต่มันไม่สะดวกเลยนัดมาคุยและทานข้าวกันไปด้วย แต่ยังไม่ทันไรชาลีนกับเพื่อนก็เข้ามาขัด”
ชวัลดนย์หยุดพูดสายตาของบิดามารดาก็เปลี่ยนมามองทางลูกสาว
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพราวค่ะ ชาเป็นคนเข้าไปหาเรื่องยัยนั่นเอง”
ชญาพัฒน์ออกตัวแทนเพื่อนรักของเธอที่อยากให้ลงเอยกับพี่ชาย และในคำพูดนั้นทำให้ทุกคนที่ได้ยินต่างพากันถอนหายใจ บิดาจึงเอ่ยขึ้นว่า
“งั้นลูกก็ยอมรับแล้วใช่มั้ยว่าเป็นฝ่ายเข้าไปหาเรื่องผู้หญิงที่คุยงานกับพี่ชายเราก่อน”
ชญาพัฒน์นิ่งอั้นไปชั่วขณะสีหน้าเลิ่กลั่กเมื่อรู้ตัวว่าเผลอหลุดปากพูดอะไรออกไป แต่ก็ยังหาข้อแก้ตัวไปได้ว่า
“ที่ชาเข้าไปหาพี่โชแปงเพราะชารู้ว่ายัยนางแบบนั่นต้องคิดจะจับพี่โชแปงแน่ ๆ ชาเลยเข้าไปขวางไม่อยากให้พี่โชแปงเสียรู้ใคร”
“ความคิดของเธอคนเดียวทำให้พูดจาดูถูกคนอื่นได้ขนาดนี้เลยเหรอชาลีน”
พี่ชายของเธอเอ่ยขึ้นเหมือนเป็นการต่อว่า ทำให้ชญาพัฒน์ต้องหันไปขอความช่วยเหลือจากมารดา
“คุณแม่ดูสิคะ พี่โชแปงว่าชาได้ถึงขนาดนี้เลย ชาไม่ได้ทำอะไรรุนแรงขนาดนั้นสักหน่อย”
“ก็แล้วเพราะใครล่ะที่เข้าไปอาละวาดเซลส์มือดีถึงในโชว์รูมจนเขาต้องลาออก พี่ถึงต้องหาคนเก่งคนอื่นมาช่วยงานสิ”
“ก็เซลส์คนนั้นมันมีปัญหาอะไรกับชาพี่โชแปงก็รู้ดีนี่คะ”
“เขาไม่ได้มีปัญหาอะไรกับชา ชานั่นแหละที่มีปัญหากับเขา”
“พี่โชแปงเข้าข้างคนอื่น”
น้องสาวแผดเสียงดังขึ้นด้วยความโกรธที่ไม่ต้องระงับ เมื่อในนี้เป็นบ้านของเธอเอง จนคนเป็นพ่อเป็นแม่พากันปวดหัว ที่ผ่านมาสองพี่น้องไม่เคยทะเลาะกันเลยจะมีก็แค่เรื่องเล็กน้อยงอนกันไม่นานก็หาย ทว่าตั้งแต่ชญาพัฒน์ผิดหวังจากจวินสองพี่น้องก็พาลมีเรื่องให้ไม่เข้าใจกันมาเรื่อย ๆ จนมาถึงวันนี้ คุณหญิงชลาลัยจึงหันไปพูดกับคนเป็นพี่ว่า
“พอได้แล้วทั้งสองคน โชแปงลูกอย่าว่าน้องอีกเลยนะ ชาลีนพบเจอกับความผิดหวังมากพอแล้ว อย่าซ้ำเติมน้องอีกเลย”
มารดาเป็นคนห้ามปรามแต่เป็นการปรามที่เข้าข้างน้องสาว ชวัลดนย์รู้ดีว่าทุกคนต่างเอาใจชญาพัฒน์รวมถึงตัวเขาด้วยที่ผ่านมา แต่ต่อไปถ้าอีกฝ่ายยังเข้ามาก้าวก่ายเรื่องงานรวมถึงเรื่องส่วนตัวของเขาอย่างไม่มีเหตุผลอีกเขาก็คงต้องจัดการกับเธอเหมือนกัน
มาถึงโชว์รูมชวัลดนย์ก็ติดต่อไปหามุกกันยาด้วยความร้อนใจที่เขาเองก็บอกไม่ถูกว่าอะไรทำให้เขาอยากคุยกับเธอนัก รอสายไม่นานหญิงสาวก็กดรับ
“สวัสดีค่ะคุณชวัลดนย์”
หญิงสาวเรียกชื่อเต็มแสดงให้รู้ว่าเธอยังไม่อยากมีความสนิทสนมกับเขามาก
“สวัสดีครับคุณว่างคุยกับผมรึเปล่า”
“อ้อ ตอนนี้ว่างพอดีค่ะ คุณมีธุระอะไรรึเปล่าคะ”
“คุณถามผมแบบนี้แสดงว่าคุณลืมหรือว่าไม่คิดทำงานร่วมกับผมเหรอครับ ก็เรื่องที่เราคุยกันวันนั้น”
มุกกันยายกยิ้มมุมปากเธอจำได้ไม่ลืมหรอก แต่ที่ถามไปอย่างนั้นเผื่อเขาโทร. มาคุยเรื่องอื่นเธอจะได้หาเรื่องวางสายก่อน
“ค่ะ จำได้ เอาอย่างนี้ดีมั้ยคะฉันว่าฉันจะคัดเลือกคนที่มีบุคลิกและความสามารถเหมาะสมกับงานส่งไปให้คุณดูสักสามคน แล้วให้คุณเลือกเองว่าคนไหนเหมาะที่สุดรับรองได้ค่ะว่าคนที่ฉันเลือกไปให้มีทักษะทั้งการพูดการพรีเซนต์ดีอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าคุณจะถูกใจคนไหน แล้วถ้าไม่ถูกใจยังไงเราก็มาคุยกันอีกที”
ชวันดลย์มีสีหน้าขรึมลง หัวคิ้วขมวดเล็กน้อยก่อนจะคลายออกแล้วพูดว่า
“เราพอจะมีโอกาสเจอกันอีกได้มั้ยครับ ผมเป็นคนไม่ค่อยชอบคุยงานผ่านทางโทรศัพท์เลย”
“แต่ฉันว่าคุยทางโทรศัพท์ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรนี่คะ จะวิดีโอคอลก็ได้นะ”
“คุณไม่อยากมาพบผมอีกเพราะเรื่องน้องสาวของผมรึเปล่า”
“ก็ส่วนหนึ่งค่ะ นี่ขนาดน้องสาวคุณยังไม่รู้นะว่าฉันเป็นเพื่อนกับมี่และทำงานด้วยกันอยู่น่ะ ถ้ารู้เธอคงไม่พอใจมากและฉันก็ไม่อยากมีปัญหาค่ะ”
มุกกันยาเดินไปคุยไปขณะกำลังจะเข้าตึกไปคุยงานกับเอเจนซีรายหนึ่งที่เธอรู้จักและร่วมงานกันอยู่
“ผมรับรองว่าจะไม่เรื่องแบบวันนั้นเกิดขึ้นกับคุณอีก เราจะมีโอกาสเจอกันอีกมั้ยครับ”
ชายหนุ่มถามอีกครั้ง หญิงสาวยืนคิดขณะรอลิฟต์ บอกเขาว่า
“ค่ะ งั้นแค่นี้ก่อนนะคะ ฉันขอตัวไปคุยงานก่อน”
“ครับ”
คุยจบมุกกันยาก็เก็บโทรศัพท์มือถือลงในกระเป๋าสะพายสีดำแล้วยืนกอดอกรอลิฟต์อยู่ด้านหน้าเพียงลำพัง ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออกพลันดวงตาคู่สวยที่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางอย่างดีก็เบิกกว้างขึ้น สีหน้าดูตกใจเมื่อพบเจอกับคนที่อยู่ในลิฟต์อย่างไม่คิดว่าจะได้เจออีก
“ซอนย่า”
เช่นเดียวกับสาวประเภทสองที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเครื่องประดับแบรนด์เนมทั้งตัวที่เห็นเธอดวงตาที่คัดเบ้าเข้มก็เปล่งประกายขึ้นมาวูบหนึ่งไม่ใช่เพราะความดีใจแต่เป็นแววแค้นเคือง สาวประเภทสองที่ชื่อซอนย่าเดินตามผู้โดยสารที่มีทั้งหมกสี่คนออกมาเป็นคนสุดท้ายก่อนจะหยุดตรงหน้าของมุกกันยา มองตาของเธอแล้วแสยะยิ้มออกมาพร้อมกับเอ่ยว่า
“ไม่เจอกันตั้งห้าปีสวยขึ้นมากเลยนะคะน้องกลอยของพี่”
น้ำเสียงของอดีตเอเจนซีที่มุกกันยาฝังใจฟังดูเย็นเยียบแฝงความเลวร้ายออกมาด้วย หญิงสาวเบือนหน้าหนีพร้อมกับปลีกตัวเดินเข้าลิฟต์ไปโดยไม่โต้ตอบอะไรด้วยสักคำ มีแต่แววตาเท่านั้นที่จ้องมองกันและก่อนที่ประตูลิฟต์จะปิดสนิทมุกกันยายังทันได้เห็นรอยแผลเป็นจาง ๆ ที่แก้มขวาของมันหญิงสาวพรูลมหายใจออกมา
ศรรามหรือซอนย่า หายไปไหนมาตั้งหลายปีแล้วเพิ่งมาโผล่ในวันนี้ ในใจของเธออดคิดไปถึงความชั่วร้ายที่กะเทยโฉดรายนี้เคยกระทำไว้ไม่ได้ หวังว่าจะไม่มีเรื่องใด ๆ ที่ทำให้เธอต้องเข้าเกี่ยวข้องกับคนชั่วร้ายคนนี้อีก
^
^
^
***โปรดติดตามตอนต่อไปด้วยน้า ขอบคุณค่า