จากนั้นมุกกันยาก็ขับรถมาที่สตูดิโอของเธอกับมนต์มีนาที่เปิดคอร์สสอนการพัฒนาบุคลิกภาพหญิงสาวเป็นคนสอนการเดินแบบให้กับสาว ๆ ในภาคบ่ายพร้อมกับมนต์มีนาที่ผลัดเปลี่ยนกันสาธิต การจัดระเบียบร่างกาย ถ่ายทอดและแนะนำเทคนิคต่าง ๆ ที่ตนเองเรียนรู้มาอย่างน่าสนใจ จนถึงเวลาพักสองพริตตีสาวที่ตอนนี้กลายมาเป็นโคชจึงมีเวลามานั่งคุยกัน
มุกกันยาเริ่มบทสนทนาว่า “วันนี้ฉันไปกินข้าวและได้คุยงานกับคุณชวันดลย์มาแล้วนะ”
เธอยังเรียกเขาด้วยชื่อจริง เพราะไม่ได้มีความรู้สึกสนิทสนมกับเขาในระดับเดียวกับมนต์มีนา
“อืม เป็นไงบ้าง”
“เขาก็เสนองานมาให้ฉันช่วยดูและให้ทำด้วยอะนะ แต่ฉันคิดว่าจะไม่ทำเอง แต่จะหาคนที่เหมาะสมไปทำมากกว่า นี่ถ้าเราเสนอคนที่บุคลิกเข้าตา มีแววว่าจะไปได้สวยจากคลาสของเราให้เขาพิจารณา แล้วถ้าสาว ๆ ที่เราเสนอโพรไฟล์ไปแล้วผ่านได้ไปทำงานกับเขา สตูดิโอของเราก็จะมีชื่อเสียงขึ้นด้วยนะ เพราะเหมือนว่ามาเรียนกับเราแล้วก็มีโอกาสได้งานด้วย”
“ก็ใช่น่ะสิ คุณโชแปงเขาช่วยเรามากเลยนะ ทั้งที่จริง ๆ เขาก็มีคอนเน็กชันมากมายจะหาพริตตีหรือพรีเซนเตอร์สวย ๆ จากเอเจนซีไหนก็ได้”
มนต์มีนาเสริม เพราะชวัลดนย์ให้ความช่วยเหลือและเอ็นดูลูกชายของเธอมาตลอดจริง ๆ มุกกันยายิ้มแค่น ๆ มองเพื่อนรักก่อนจะเล่าเรื่องที่เจอมาในวันนี้ให้ฟัง
“นี่ มีเรื่องตลกจะเล่าให้ฟังด้วยแหละแก”
“หืม อะไรเหรอ ตลกมากเหรอ หัวเราะไม่หยุดเลย”
“สำหรับฉันก็มากนะ แต่พอแกฟังแล้วไม่รู้จะตลกรึเปล่า อ้อ...แล้วนี่แกไม่ไปรับลูกเหรอ”
มุกกันยาเฉไฉอีกนิด นึกขึ้นได้ว่าวันนี้ไม่รู้มนต์มีนาให้ใครไปรับหลานชายที่โรงเรียนจึงถาม
“วันนี้อนุญาตให้พ่อเขารับลูกไปที่บ้านปู่ย่าน่ะ” มนต์มีนาตอบไม่เต็มเสียงนัก
“อืม แสดงว่าแกก็เปิดใจให้กับคุณจินมากแล้วใช่มั้ย”
“เฉพาะเรื่องลูก” มนต์มีนาย้ำ “นี่พูดเรื่องตลกของแกมาเร็ว ๆ เข้า”
เห็นเพื่อนรักทำหน้าอยากรู้มุกกันยาก็อดที่จะขำออกมาไม่ได้ ไม่รู้ว่าถ้ามนต์มีนาได้ฟังจะขำเหมือนเธอตอนนี้ไหม
“เออ ๆ เล่าแล้ว ก็วันนี้ตอนที่ฉันกำลังนั่งกินข้าวไปและคุยงานกับคุณชวัลดนย์ไปใช่ปะ จู่ ๆ ก็มีผู้หญิงสองคนเดินมาหยุดจ้องหน้าฉันที่ข้างโต๊ะกินข้าว ให้ทายว่าเป็นใคร”
มนต์มีนานิ่วหน้าพร้อมสายตาจ้องมองเพื่อนสาว เธอเองก็นึกไม่ออก จะว่าเป็นผู้หญิงของชวัลดนย์เหรอก็ไม่น่าใช่ เพราะไม่รู้สึกว่าเขามีแฟนเลย
“ไม่รู้สิ ใครเหรอ ฉันไม่คิดว่าจะเป็นแฟนคุณโชแปงหรอกนะ”
“แฟนรึเปล่าไม่รู้ แต่ที่แน่ ๆ หนึ่งในสองคนนั้นคือคุณชาลีน น้องสาวของเขาอะ”
มนต์มีนาสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อนี้ รอฟังว่าเพื่อนจะพูดอะไรต่อ
“ฉันก็เพิ่งได้เห็นตัวจริงของเธอก็วันนี้เองนะ ท่าทางจะหวงพี่ชายมากเสียด้วยสิ”
“ทำไม คุณชาลีนเขาพูดหรือทำอะไรแกรึเปล่า”
“เรื่องพูดน่ะพูดแน่ แต่เรื่องทำยังไม่ได้ทำอะไรหรอก แต่ดูจากท่าทางถ้าไม่มีคนคอยห้ามฉันว่ายัยคุณชาลีนนี่เป็นคนควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ต่ำมาก”
“เขาว่าอะไรแกเหรอ” มนต์มีนาถามเพื่อน
“อืม...บังเอิญว่าวันก่อนนู้นฉันไปงานเครื่องเพชร แล้วคุณชวัลดนย์ก็ประมูลชุดเครื่องเพชรไพลินที่ฉันถือออกมา ยัยคุณชาลีนเธอก็เห็นหน้าฉันด้วยก็คงจำได้ พอมาเห็นฉันนั่งคุยงานกับพี่ชายก็คิดว่ามาคุยกันเรื่องค่าตัว ความคิดสกปรกแบบนี้ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะออกมาจากคนที่มีการศึกษาดี ๆ เกิดในครอบครัวดี ๆ”
ขณะที่พูดสีหน้าและน้ำเสียงของมุกกันยาก็แปรเปลี่ยนไปตามอารมณ์ มนต์มีนาระบายลมหายใจออก ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวหรือมีส่วนพัวพันอะไรกับคนแบบนี้เลย
“แล้วแกว่ายังไง”
“ก็ว่าคืนสิ กลัวที่ไหน ฉันไม่ได้กำลังมาขอเงินหรือมาคุยเรื่องค่าตัวกับพี่ชายเขาอย่างที่เขากล่าวหาฉันนี่ คนแบบนี้นะถ้าไปยอมมันมีแต่จะถูกกดให้ต่ำจมดิน”
“เขาคงจะมีปมฝังใจจากเรื่องของฉัน แล้วไปพาลใส่แกรึเปล่า”
“ไม่เลย ยัยคุณชาลีนไม่ได้รู้นะว่าฉันกับแกรู้จักกันน่ะ ฉันว่ามันเป็นที่นิสัยส่วนตัวล้วน ๆ แหละมี่ ไม่ได้เป็นเพราะเรื่องของแกหรอก”
“แล้วคุณโชแปงว่าไง เข้าข้างน้องสาวเขารึเปล่า”
มุกกันยาพ่นลมหายใจ นึกถึงคำพูดของชายหนุ่มเมื่อตอนกลางวัน จะว่าเข้าข้างก็คงไม่ใช่เพราะคำพูดของเขาก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นการปรามกิริยาอันไม่เหมาะสมของน้องสาวที่มีต่อคนอื่น แต่ก็นั่นแหละอย่างไรพวกเขาสองคนก็พี่น้องกัน พวกเดียวกันยังไงก็อยู่ฝ่ายเดียวกันวันยังค่ำ
“ก็ช่วยห้ามน่ะนะ ถ้าขืนปล่อยให้น้องสาวพร่ำไปเรื่อย ๆ คนคงหันมามองกันทั้งร้าน อับอายกันเปล่าๆ”
มุกกันยาบอกปัด ๆ ไม่ได้สนใจพูดของชายหนุ่มมากนัก
“เป็นแบบนี้แล้ว แกจะรับงานกับคุณโชแปงรึเปล่า”
“ฉันก็บอกเขาว่าจะคิดดูก่อน แล้วแกว่าไง ถ้ารับงานก็จะหาคนที่บุคลิกดีเหมาะสมจากสตูดิโอเราไปแทน”
“ก็แล้วแต่แก ถ้าสบายใจก็รับ ไม่สบายใจก็บอกเขาไปตรง ๆ”
“อืม”
^
^
^
^
***โปรดติดตามตอนต่อไป เรื่องราวจะเป็นยังไง อิอิ
ส่งกำลังใจมาให้กลอยด้วยน้า เรื่องนี้เธอต้องเจอศึกหนักรอบด้าน