มาถึงวันที่ชวัลดนย์กับมุกกันยานัดเจอกันซึ่งถือเป็นเดตแรกของทั้งคู่ การเจอกันก่อนหน้านี้นั้น ทุกครั้งจะเป็นการพาเด็กชายมนตรธรออกมาเที่ยวและกินไอศกรีม ชายหนุ่มแต่งตัวมาในลุกสบาย ๆ เสื้อลำลองแขนยาวเข้ารูปสีอ่อนกางเกงสีเข้ม สวมรองเท้าหนังสีน้ำตาลไม่สวมถุงเท้า เซตผมง่าย ๆ ในตัวมีเครื่องประดับชิ้นเดียวที่ข้อมือทว่าราคาแพงลิบ ส่วนมุกกันยาแต่งตัวมาในชุดสีดำคุมโทนทั้งตัวตัดกับผิวขาวเนียนละเอียดของเธอ เสื้อกั๊กแขนสั้นสวมทับเสื้อสายเดี่ยวด้านในและกางเกงขาสั้นโชว์เรียวขาสวย แต่งหน้าอ่อน ๆ เหมือนไม่แต่งอวดผิวหน้าที่เนียนใส สะพายกระเป๋าแบรนด์เนมใบเล็กสีครีม ผมยาวม้วนลอนปล่อยตามสบาย สวมรองเท้าส้นเตี้ยสีครีมเช่นเดียวกับกระเป๋า ทั้งคู่เอ่ยทักทายกันด้วยรอยยิ้มสดใส ก่อนที่ชายหนุ่มจะเอ่ยชวนเธอไปดูหนังก่อนจะไปหาร้านรับประทานอาหารซึ่งหญิงสาวก็ตกลงเพราะตัวเธอก็ไม่ได้เข้าโรงหนังมานานมากแล้วด้วยงานที่รัดตัว ทั้งคู่มาหยุดยืนอยู่ที่เคาน์เตอร์จำหน่ายบัตร มองดูรอบฉายและรายชื่อหนังในตาราง ชายหนุ่มเอ่ยถามเธอว่า
“คุณจะดูเรื่องอะไรครับ”
มุกกันยาหันมาสบตาก็เห็นรอยยิ้มละมุนจากใบหน้าเขา เธอส่ายหน้าไม่ออกความเห็น เพราะไม่รู้จะดูเรื่องอะไรเหมือนกัน มันนานมากแล้วที่ไม่ได้มาดูหนังในโรงเลย
“ไม่รู้สิคะ แล้วแต่คุณเลย”
หญิงสาวตอบออกไปง่าย ๆ ชายหนุ่มจึงยิ้มแล้วตอบกลับมาว่า
“มาเดตกันครั้งแรกก็ตามใจผมแล้ว มันต้องตามใจฝ่ายหญิงสิครับถึงจะถูก”
“ก็ฉันไม่ได้ดูหนังในโรงมานานมากแล้วนี่คะ ไม่รู้จริง ๆ ว่าจะดูเรื่องอะไรเหมือนกัน ทำแต่งาน ที่ดูเรื่องล่าสุดก็ดูเป็นบัมเบิลบีกับมันเดย์”
ชวัลดนย์ถึงกับหัวเราะขบขันออกมาเมื่อได้ฟังที่หญิงสาวพูด
“โห นั่นมันหลายปีแล้วนะคุณทรานส์ฟอร์เมอร์ภาคล่าสุดยังไม่เข้าเลย แล้วคุณดูภาคไหนมาแล้วบ้างล่ะ”
มุกกันยาส่ายหน้า “ไม่รู้สิ ฉันดูแบบการ์ตูนกับมันเดย์ มันเดย์ชอบบัมเบิลบีมาก”
รอยยิ้มยังติดอยู่บนใบหน้าชายหนุ่ม สายตามองเธอด้วยความเอ็นดูเหมือนที่มองมันเดย์ ก่อนจะพูดว่า
“เอางี้ วันนี้ไม่มีทรานส์ฟอร์เมอร์ผมขอเลือกหนังให้คุณก็แล้วกันนะ เอาเป็นว่าคุณบอกผมมาว่าคุณชอบดูหนังแบบไหน ตอนนี้มันมีทั้งหนังแนวไซไฟ แฟนตาซีก็มี แอกชัน หรือจะ...หนังรักโรแมนติกก็เข้ากับสถานการณ์ของเรา”
พอพูดถึงแนวหนังเรื่องสุดท้ายสายตาก็พริบพราวขึ้นตาม จนมุกกันยามองอย่างหมั่นไส้
สรุป...ทั้งคู่ก็เดินเข้าไปดูหนังในโรงที่ฉายหนังรักโรแมนติกเรื่องหนึ่งที่มีพระเอกนางเอกดังจากฮอลลีวูดแสดงนำ ชวัลดนย์เลือกเก้าอี้แบบ Opera Chair ที่เป็นที่นั่งแบบโซฟานุ่ม มีหมอนและผ้าห่มไว้ให้เรียบร้อย พอหนังฉายไปได้ประมาณสี่สิบนาทีมุกกันยาก็เริ่มหาวยิ่งโซฟาที่นั่งทั้งนุ่มทั้งสบายเพลงประกอบหนังก็ช่างหวานไพเราะ ร่างกายเธอก็เหมือนต้องการพักผ่อนมากกว่า และคนที่อินกับหนังก็มีแต่เขาคนเดียว กระทั่งหนังจบลงชายหนุ่มจึงค่อยเอียงตัวก้มมองใบหน้าคนที่เอาศีรษะมาพิงกับไหล่ของเขาอย่างสบายอารมณ์ รู้สึกขำและเอ็นดูเธอไม่น้อยแล้วจึงปลุก
“คุณหนังจบแล้ว ไปหาอะไรกินกันเถอะครับ”
ถึงแม้มุกกันยาจะหลับสบายแต่ก็เป็นคนรู้สึกตัวเร็ว เมื่อรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนเบา ๆ เปลือกตาก็เปิดขึ้นมาและเมื่อรู้ว่าตนเองอยู่ในท่าไหนก็รีบขยับศีรษะออก มองหน้าเขาด้วยสีหน้าเก้อ ๆ
“เอ่อ หนังจบแล้วเหรอคะ”
“อื้ม” เขาตอบยิ้ม ๆ ไม่ได้ว่าอะไรเธอ ถ้าเขาเลือกดูหนังแอกชันบางทีเธออาจจะไม่หลับ
“ขอโทษด้วยนะคะ พอดีเมื่อคืนเลิกงานดึกไปหน่อย”
มุกกันยายิ้มแก้เขิน บอกเขาด้วยความเกรงใจ
“ไม่เป็นไรครับ แต่ผมก็ยังดีใจ”
“ดีใจเรื่องอะไรคะ” เธอทำตาโต เมื่อชายหนุ่มพูดฟังดูมีเลศนัย
“ก็ถ้าคุณไม่หลับ คุณก็ไม่ได้เอนมาซบไหล่ผมเป็นชั่วโมงแบบนี้จริงมั้ยครับ”
ฟังคำพูดเขาแล้วก็ทำเธอค้อน คิดจะขอโทษเรื่องที่ทำให้เขาเมื่อย แต่เมื่อเขาพูดแบบนี้ก็เอาเป็นว่าหายกันไปก็แล้วกัน
ทั้งคู่เดินเคียงข้างกันออกมาจากโรงหนังแล้วเลือกเข้าร้านอาหารญี่ปุ่นร้านหนึ่ง ส่วนตัวนั้นทั้งเขาและเธอก็เป็นคนชอบรับประทานอาหารญี่ปุ่นอยู่แล้ว
ชวัลดนย์คีบเนื้อปลาแซมอนรมควันใส่จานของเธอ มุกกันยายิ้มพร้อมกับบอกว่า
“ของฉันก็สั่ง ตักให้ทำไมคะ”
“ผมรู้ว่าคุณก็สั่ง แต่ผมอยากแบ่งทุกอย่างที่เป็นของผมให้คุณด้วย ของคุณมันแซมอนสดไม่เหมือนกันซะหน่อย”
“ก็แซมอนเหมือนกันแหละ”
หญิงสาวเถียงกลับไม่จริงจัง ชวัลดนย์ก็โต้กลับมา
“แต่กรรมวิธีทำไม่เหมือนกันนี่ครับ นี่อีก ผมเห็นคุณชอบกิน”
เขาคีบซูชิน้าไข่หวานใส่จานให้เธอแสดงให้เห็นถึงความใส่ใจ คราวนี้มุกกันยาไม่เถียงอะไรแล้ว อืม...มีคนบริการถึงจานแบบนี้ให้ก็ดีเหมือนกัน
“ผมยังไม่รู้จักเรื่องส่วนตัวของคุณมากเลย ถามได้รึเปล่าครับ”
เขาขออนุญาต มองตาเหมือนว่าถ้าเธออนุญาตเขาก็จะถาม แต่ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร มุกกันยาพยักหน้า
“ถามมาสิคะ อยากรู้เรื่องอะไร”
“บ้านคุณอยู่ที่ไหน” เป็นคำถามเรื่องส่วนตัวคำถามแรก
“บ้านเกิดอยู่กาญจนบุรีค่ะ จบม.หกแล้วถึงได้ย้ายเข้ามาเรียนในมหา’ลัยเปิดในกรุงเทพฯ แล้วก็จบปริญญาโทเมื่อสองปีที่แล้ว”
หญิงสาวบอกกับเขาด้วยสีหน้าแววตาภาคภูมิใจ ชวัลดนย์มองเธอด้วยสายตาชื่นชมแล้วกล่าวยินดีกับเธอด้วย
“ยินดีด้วยนะครับ คุณเก่งมาก ผมชื่นชมจากใจจริง”
“ขอบคุณค่ะ”
“คุณจบปริญญาโทอะไรครับ”
“จบตรีบัญชี จบโท MBA (Master of Business Administration) ค่ะ”
ได้รู้การศึกษาของเธอแล้วชวัลดนย์ก็เข้าใจว่ามุกกันยาเก่งหลายด้านเลยทีเดียว มนต์มีนาบอกว่ามุกกันยาจะรับผิดชอบในเรื่องบัญชีของสถาบันสอนบุคลิกภาพ การทำสัญญาระบบบริหารจัดการต่าง ๆ ซึ่งเธอทำได้ดีไม่มีปัญหา ทั้งมุกกันยาและมนต์มีนาเป็นผู้หญิงที่ทำงานกันทั้งคู่พวกเธอมีความแข็งแกร่งไม่ยอมแพ้อยู่ในตัวสูงมาก
“ผมไม่แปลกใจเลยทำไมคุณถึงช่วยงานคุณมี่ได้ดีขนาดนี้”
“แล้วคุณล่ะ เล่าเรื่องส่วนตัวให้ฉันฟังบ้างสิคะ”
ชวัลดนย์ยิ้มก่อนจะเริ่มเล่า
“ผมไปใช้ชีวิตอยู่บอสตันตั้งแต่จบม.ปลาย เห็นผมแบบนี้ผมก็เคยทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยเหมือนกันนะครับ”
“หืม? ขนาดคุณนี่ยังต้องทำงานพิเศษด้วยเหรอ แล้วทำอะไร ยังไงคะ”
ชายหนุ่มเล่าประสบการณ์ชีวิตให้เธอฟังด้วยแววตามีความสุข เห็นมุกกันยามีสีหน้าสนใจเรื่องราวของเขาชายหนุ่มก็ยิ่งอยากเล่า ซึ่งปกติก็ไม่คิดจะเผยชีวิตในแง่มุมใด ๆ ให้ใครฟังเท่าไรนัก
“ทำครับ ถึงคุณพ่อคุณแม่ผมจะส่งเงินให้ใช้มากพอกับค่าใช้จ่ายแต่ส่วนตัวผมก็อยากทำงาน เรียนรู้ชีวิตของคนที่ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยว่าเขาอยู่อย่างไร บริหารจัดการค่าใช้จ่ายรายเดือนกับค่าจ้างยังไง ได้ศึกษาชีวิตคนทำงานหลายแง่มุม ในวันที่ผมเข้ามารับช่วงบริหารธุรกิจต่อจากครอบครัวผมจะได้รู้วิธีบริหารพนักงานจากระดับล่างสุดให้พวกเขาทำงานในบริษัทได้อย่างมีความสุข คนที่ทำงานในระดับล่างพวกเขาก็มีทักษะในแบบของเขาซึ่งบางครั้งเราไม่ได้เป็นผู้ปฏิบัติตรงนั้น เราจะไม่มีทางเข้าใจ มองภาพไม่ออก การลองทำเพื่อเรียนรู้ด้วยตนเองจึงเป็นสิ่งที่ผมคิดว่าจำเป็น”
ชวัลดนย์พูดมีหลักการในด้านการบริหารของเขาซึ่งมุกกันยาก็ชื่นชมที่เขามีความใส่ใจพนักงานระดับล่าง แต่อีกนัยหนึ่งก็ดูเหมือนว่าเธอกับเขาจะต่างกันค่อนข้างมาก เมื่อชายหนุ่มพูดจบหญิงสาวจึงพูดเรื่องของตัวเองบ้างเป็นการสลับกันเล่า
“ที่บ้านฉันเป็นชาวไร่ค่ะ ฐานะทางบ้านก็บอกตรง ๆ ว่าอยู่กันแบบตามมีตามเกิด แต่ก่อนก็ปลูกมันสำปะหลังเป็นหลัก ปลูกตาม ๆ กันไป เพราะยังไม่ได้มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า แล้วก็ไม่ได้มีที่ดินเป็นของตัวเองเยอะมากเลยปลูกพอเลี้ยงตัวได้ ถ้าปีไหนราคามันดีก็ไม่เป็นหนี้ แต่ถ้าปีไหนราคามันตกน้ำตาคนทำไร่ก็ตกตามไปด้วย ก็ต้องดิ้นรนหาอาชีพเสริมเพื่อหาเงินมาให้พอใช้จ่ายแล้วก็พอใช้หนี้ แต่ตอนนี้เปลี่ยนมาปลูกไม้ผลแล้วล่ะ ซึ่งได้ผลพอสมควรนะ พอฉันทำงานมีรายได้มากขึ้นก็ส่งกลับไปให้ลุงกับป้าด้วย”
มุกกันยาเล่าด้วยรอยยิ้มที่ผ่านประสบการณ์ขมขื่นมาแล้ว ตอนนี้เธอทำงาน มีเงินส่งกลับไปให้คนที่บ้านใช้จ่ายได้สบาย ๆ ทุกเดือนโดยไม่ขัดสน ชวัลดนย์ยิ้มตอบสบสายตาความเป็นนักสู้ของเธอ หญิงสาวเล่าเรื่องของตัวเองต่อไปโดยไม่ปิดบังว่าเธอเติบโตมาจากไหน
“ลุงกับป้าส่งฉันเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ ให้อยู่กับญาติห่าง ๆ ที่เปิดร้านอาหารเล็ก ๆ จะได้ไม่ต้องเสียค่าเช่าห้อง เพราะเราไม่มีเงินมากนัก ต้องเก็บไว้ลงทะเบียน”
จุดประสงค์หลักที่ลุงกับป้าส่งมุกกันยามาเรียนที่กรุงเทพฯ นอกจากโอกาสทางการศึกษาแล้วยังมีเรื่องอื่นที่หญิงสาวไม่อยากจะพูดถึงนัก จึงข้ามส่วนนี้ไป
“พออยู่ได้เทอมหนึ่งก็มีคนมาชวนเข้าไปทำงานพริตตี เห็นบอกว่าได้เงินดี ฉันก็เลยลองทำดูค่ะ แล้วมันก็ได้จริง ๆ จากนั้นฉันก็ย้ายออกมาอยู่ที่ใหม่ เพราะเกรงใจญาติที่อยู่ด้วยเพราะบางทีกลับบ้านดึกแล้วเขาต้องคอยลุกขึ้นมาเปิดบ้านให้ อีกอย่างพอมีงานก็เลยไม่ได้ช่วยงานที่บ้านเขาเท่าที่ควร ฉันก็ทำงานด้านนี้มาเรื่อย ๆ จนมาถึงตอนนี้ที่ฉันนั่งคุยกับคุณนี่แหละค่ะ”
พูดจบก็ไหวไหล่ ก่อนจะหันไปดื่มน้ำชาจากหลอดด้วยสีหน้าผ่อนคลาย ไม่ได้ดูทุกข์ร้อนกับเรื่องที่ผ่านมาแล้ว ชวัลดนย์ที่ยังมีคำถามจึงเอ่ยถามเธอว่า
“ขอโทษนะครับ คุณบอกว่าคุณลุงกับคุณป้าส่งคุณเข้ามาเรียน เอ่อ แล้วคุณพ่อคุณแม่ของคุณล่ะ”
มุกกันยาตอบเขาโดยทันทีว่า “ท่านเสียไปตั้งแต่ฉันยังเด็กค่ะ คุณลุงคุณป้าเลี้ยงดูฉันมาเหมือนลูกแท้ ๆ เพราะท่านเองก็ไม่มีลูก ตอนเด็ก ๆ ครอบครัวของฉันลำบากมากค่ะอย่างที่บอก พอมีฉันแล้วถ้าจะมีลูกด้วยกันอีกคนก็คงเลี้ยงกันไม่ไหวพวกท่านเลยตัดสินใจว่าเลี้ยงดูฉันคนเดียวก็พอ”
“ครับ ตอนนี้คุณลุงคุณป้าของคุณสบายดีนะครับ หาโอกาสพาผมไปเยี่ยมท่านบ้างนะ”
“ทั้งสองคนอยู่บ้านสบายดีค่ะ ตอนนี้ก็ไม่ต้องดิ้นรนอะไรมากมาย เพราะฉันส่งเงินไปให้ทุกเดือน ทำเท่าที่กำลังจะทำไหวเท่านั้น”
มุกกันยายิ้มนึกถึงหน้าผู้เป็นลุงแล้วเล่าต่อว่า “ลุงของฉันชอบพูดเรื่องตลกให้ทุกคนที่อยู่รอบตัวได้หัวเราะกัน ท่านมองว่าการมีปัญหามันเป็นเรื่องธรรมดาของโลก ปัญหามีไว้ให้แก้ไม่ได้มีไว้ให้กลุ้ม ป้าของฉันก็เลยสามารถหัวเราะและยิ้มให้กับทุกปัญหา”
ชายหนุ่มยิ้มออกมา “มิน่าล่ะ คุณถึงเติบโตขึ้นมาเป็นคนที่แข็งแกร่งได้ขนาดนี้ ผมอยากไปฟังเรื่องตลก ๆ จากคุณลุงของคุณจริง ๆ”
ฟังเรื่องราวของมุกกันยาแล้วชวัลดนย์ก็อดคิดถึงน้องสาวของตัวเองไม่ได้...ชญาพัฒน์ไม่เคยสนใจหรือจริงจังเรื่องงานเลย มันก็จริงอย่างที่ผู้ชายคนนั้นพูดไว้ น้องสาวเขาเป็นคนที่ไม่มีจุดหมายในชีวิต นอกจากสนุกสนานกับการใช้เงินจับจ่ายใช้สอยสนองความต้องการ ชีวิตของชญาพัฒน์ไม่มีความจำเป็นใด ๆ ต้องดิ้นรนขวนขวายเพราะเกิดมาเพียบพร้อม อยากได้สิ่งใดก็มีคนนำมากองไว้ให้เลือกตรงหน้า เงินปันผลจากบริษัทในเครือที่เธอได้รับในแต่ละไตรมาสไม่ใช่น้อย ทั้งยังที่ได้จากบิดามารดาอีก ซึ่งถามว่าเธอผิดอะไรที่ใช้ชีวิตในแบบของเธอ มันก็ไม่ผิด แต่ประเด็นคือครอบครัวของเขาไม่ได้สอนให้ลูกสาวคนเล็กและคนเดียวรู้จักคุณค่าของเงินและการทำงานเท่าที่ควรจะเป็น และสิ่งที่เธอไม่มีเอาเสียเลยคือความอดทนต่อปัญหาที่เข้ามา ชายหนุ่มเริ่มกังวลว่าถ้าหากวันหนึ่งเขาปล่อยให้น้องสาวรับผิดชอบชีวิตตัวเองชญาพัฒน์จะเป็นอย่างไร
“ดู ๆ แล้วชีวิตเราสองคนแตกต่างกันมากเลยนะคะ”
นัยประโยคแฝงความหมายให้ชายหนุ่มได้ตีความว่าเธอกับเขาอาจจะไม่มีสิ่งใดให้คู่ควรที่จะอยู่ด้วยกันได้ ชวัลดนย์ฟังแล้วตอบด้วยสีหน้าจริงจัง
“มันไม่เกี่ยวนี่ครับ ถึงแบ็กกราวนด์เราจะต่างกันแค่ไหน มาจากคนละที่ก็ไม่ได้แปลว่าเราจะอยู่ด้วยกันไม่ได้ ในทางกลับกันบางคนมาจากสังคมเดียวกัน ผมหมายถึงสถานะทางสังคม การศึกษาในระดับเดียวกัน ไลฟ์สไตล์เหมือนกัน หรือมีอะไรที่เป็นปัจจัยภายนอกแบบนั้นเหมือนกันแทบทุกอย่าง ถ้าจะเป็นแบบนั้นมันก็เหมือนการมองกระจกแล้วเห็นเงาสะท้อนตัวเองแล้วก็ไม่ได้การันตีว่าจะอยู่ด้วยกันรอด ความชอบส่วนบุคคล อุปนิสัย ทัศนคติ อีกหลายอย่างที่เป็นองค์ประกอบของการใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน การเรียนรู้ที่จะยอมรับความแตกต่างซึ่งกันและกัน เรียนรู้ที่รักในสิ่งที่อีกฝ่ายหนึ่งเป็นนั่นล่ะที่สำคัญ ผมว่ามันทำให้เรารู้จักที่จะปรับ เปลี่ยน เข้าใจกันและกันมากขึ้นในทุก ๆ วัน มีเรื่องท้าทายให้เรียนรู้ ชีวิตถึงจะมีสีสันนะครับ คุณคิดว่ายังไง”
มุกกันยาเลิกคิ้ว เธอฟังจากสิ่งที่เขาพูดแล้วจึงถามเขากลับไปว่า
“ถ้างั้น วันหนึ่งที่เรื่องท้าทายหมดไปเพราะรู้จักกันเรียนรู้กันจนไม่มีอะไรใหม่แล้วล่ะคะ ก็แปลว่าคุณก็จะไปมองหาความท้าทายเพื่อให้ชีวิตมีสีสันใช่มั้ยคะ”
ชวัลดนย์ยิ้ม เข้าใจว่าหญิงสาวยังพยายามที่จะบอกว่าเขากับเธอคงไม่สามารถใช้ชีวิตคู่ด้วยกันได้ยืนยาว หรืออาจไม่ได้ใช้ชีวิตคู่ด้วยกันเพราะปัจจัยด้านความเหมาะสมหลายด้าน เขาสบสายตากับหญิงสาวเพื่อจะให้เธอเห็นความจริงใจผ่านแววตาของเขาแล้วบอกว่า
“สำหรับผมการเรียนรู้ของเราไม่มีวันหมดหรอกครับ เราดูหนังด้วยกันเรื่องเดียวกันยังตีความไม่เหมือนกันเลย แล้วพอเรากลับมาดูซ้ำมุกตลกที่เรามองข้ามในครั้งแรกก็ทำให้เราหัวเราะได้ในครั้งที่สองก็มี เพราะเรามองเห็นรายละเอียดมากขึ้น ไปทะเลแต่ละครั้งคลื่นทะเลที่ซัดเข้าหาฝั่งยังไม่เหมือนกันสักลูก ขับรถออกไปทำงานแต่ละวันถึงสี่แยกรถที่จอดติดไฟแดงข้างเรายังไม่ใช่รถคันเดียวกับเมื่อวานเลย แต่ละวันเราใช้ชีวิตไม่เหมือนเดิมทุกอย่าง ถ้าเป็นแบบที่คุณว่า คุณปู่คุณย่าของผมที่อยู่ด้วยกันมาหกสิบกว่าปีจะยังเดินจูงมือกันอยู่จนถึงทุกวันนี้เหรอครับ ไม่ใช่แค่คู่ของคุณปู่คุณย่าผมนะ ยังมีคู่รักที่เขาอยู่ด้วยกันยืนยาวอีกเป็นล้านคู่ในโลกที่พวกเขามีความรักให้กันอย่างไม่เสื่อมคลาย ผมยกตัวอย่างเคสใกล้ตัวให้คุณฟังนะ คุณปู่คุณย่าผมเอง พวกท่านสองคนไม่เคยทะเลาะกันเลยตั้งแต่ผมจำความได้ อาจจะมีงอนกันบ้างเล็กน้อย คุณย่าทำอาหารแบบเดิม รสชาติเดิม ๆ ให้คุณปู่ทานเป็นประจำ คุณปู่ก็ยังชมว่าอาหารอร่อยเหมือนเดิม คู่ของท่านทั้งสองไม่มีคำว่าเบื่อกันเลยสักครั้ง มีแต่คำว่าไม่รู้เบื่อ ไปเยี่ยมท่านทีไรผมก็เห็นท่านทั้งสองอยู่ด้วยกันไม่ห่าง”
ชวัลดนย์หยุดพูดไปนิดหนึ่ง มองหน้ามุกกันยาก่อนจะเอ่ยต่อว่า
“ถ้าคุณคิดว่าต่อไปผมอาจจะหมดความสนใจในตัวคุณเพราะไม่มีอะไรใหม่ให้ต้องสนใจอีกแล้ว และผมก็จะไปหาคนใหม่ แบบนั้นคงต้องหากันไปไม่รู้จบแล้วล่ะครับ ถ้าผมปักใจกับใครหรืออะไรแล้วก็ไม่มีอะไรที่ทำให้ผมหมดความสนใจไปได้”
มุกกันยาก้มหน้าหลบสายตาที่แสดงออกชัดเจนในความรู้สึกคู่นั้น เธอรับรู้ความหมายที่เขาพูด บางช่วงบางเวลาเธอเองก็ปรารถนาจะมีชีวิตคู่ที่ยืนยาวกับใครสักคน แต่เธอก็คิดว่าตัวเองไม่น่าจะโชคดีขนาดได้ผู้ชายที่เพอร์เฟกต์อย่างเขามาเป็นคู่ชีวิต อีกอย่างปมหนักหนาในใจเธอที่เหมือนกับหลุมลึกไม่ว่าใครจะพยายามถมมันด้วยความรู้สึกดีสักแค่ไหนมันก็ไม่มีวันเต็ม
“ขอโทษนะคะ คนรอบตัวของฉันตอนนี้ไม่ค่อยมีใครที่มีความรักแบบนั้นสักเท่าไหร่” มุกกันยานึกไปถึงมนต์มีนาและยังเพื่อนพริตตีอีกหลายคนที่ชีวิตรักไม่ได้สวยงาม
“ก็คุณลุงกับคุณป้าคุณไงครับ คุณบอกเองว่าท่านทั้งสองคนอยู่ด้วยกันมาตลอด และคุณลุงของคุณก็เป็นคนชอบพูดเรื่องตลกให้คนอื่นหัวเราะ และคุณป้าคุณก็หัวเราะกับทุกเรื่องที่คุณลุงของคุณเล่าให้ฟัง”
มุกกันยาเงยหน้าสบตากับเขา ไม่นึกเลยว่าเขาจดจำรายละเอียดคำพูดของเธอได้ขนาดนี้ ทั้งที่บางเรื่องจะมองข้ามมันไปก็ได้
“ผมมีตัวอย่างเป็นคุณปู่คุณย่า คุณพ่อคุณแม่ที่ยังรักกันดี จริง ๆ ท่านก็มีเรื่องให้งอนกันเล็ก ๆ น้อย ๆ สุดท้ายพวกท่านก็ไม่มีวันเลิกรักกัน...”
ชายหนุ่มหยุดพูด จากสีหน้าจริงจังเมื่อครู่กลับมายิ้มสดใสแฝงความเจ้าเล่ห์ไว้อีกครั้ง
“จริง ๆ อายุผมขนาดนี้ก็น่าจะมีลูกประมาณมันเดย์ได้แล้ว ผมไปเยี่ยมคุณปู่คุณย่าท่านก็ถามถึงเหลนบ่อยขึ้น คุณว่ายังไงล่ะ”
“แหม รุกเร็วอีกแล้วนะคะ คุณอยากจะให้ฉันเป็นแม่พันธุ์ให้คุณใช่มั้ย”
คราวนี้ชายหนุ่มหัวเราะออกมา ตอบคำถามเธอด้วยสายตา ทั้งคู่ใช้เวลาอยู่ด้วยกันหลายชั่วโมง ก่อนจะแยกจากชายหนุ่มไปส่งเธอที่ลานจอดรถ
“ครั้งหน้าผมไปรับคุณที่คอนโดนะ จะได้นั่งรถคันเดียวกันมาและกลับพร้อมกัน”
“ค่ะ”
“ตอนค่ำ ๆ ผมโทร. หาอีกทีนะครับ”
“ค่ะ”