EPISODE – 04 / 1

3372 Words
@คอนโดxxxx [Seoul’s part] เพล้ง ตุ้บ เคร้ง ครืด... หงุดหงิดโว้ย ผมนั่งหงุดหงิดตัวเอง ทำลายข้าวของทุกอย่างที่อยู่ใกล้มือใกล้เท้า เพื่อขับไล่ภาพของแก้มใส ภาพน้ำตาที่ไหลนองใบหน้าจิ้มลิ้มนั่น ภาพร่างกายที่สะบักสะบอม ปากที่ปริแตก ไล่แม่งทุกอย่างที่เป็นแก้มใสออกจากหัวเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วนะ แต่ภาพพวกนั้นก็ยังไม่หายไปจากผมเลย “มึงแม่งบ้าไอ้โซล มึงต้องเป็นห่วงดาด้าสิวะ แล้วทำไม สมองมึงถึงมีแต่ภาพยัยผู้หญิงสารเลวนั่น” ผมสบถด่าทอตัวเองเป็นล้านรอบได้แล้วมั้ง ตั้งแต่ที่ออกจากร้านดอกไม้ของแก้มใส ผมก็มาส่งดาด้าที่คอนโดเธอ ระหว่างทางก็ถามถึงความสัมพันธ์ของสองคนนั้น จนรู้ว่าแก้มใสเป็นลูกคนละแม่กับด้า แม่งเลวในสันดานสินะ แย่งแฟนพี่สาวตัวเองได้ลงคอ “เลิกบ้าได้แล้วไอ้โซล เป้าหมายมึงคือแก้แค้น ท่องไว้สิวะ” ผมบอกตัวเองก็จริง แต่ทำไมพอพูดคำว่า ‘แก้แค้น’ ออกมา ในอกข้างซ้ายมันวูบไหวเหมือนเลือดไม่ไปหล่อเลี้ยงเสี้ยววินาที แต่แล้วก็กลับมาเต้นปกติตามเดิม หงุดหงิดแบบนี้สงสัยต้องไปหาที่ปลดปล่อยสักหน่อย คิดได้ดังนั้นเลยหยิบกุญแจรถแล้วขับมุ่งหน้ามาที่คลับตัวเองทันที @TS – Club “อ้าวเฮียโซล วันนี้ลมอะไรหอบมาคร้าบ หายไปหลายวันเลย” เสียงไอ้เอ็กซ์เรียกถาม “เป็นเด็กเป็นเล็ก หัดเสือกนะมึง” ผมด่ามันออกไป คนอารมณ์ไม่ค่อยดี อย่าเพิ่งมาแซวจะได้ไหมวะ “แหมๆ มาถึงก็โหดใส่เด็กเลยนะมึง” เสียงเฮียไททันดังมาจากข้างหลัง ผมไม่สนใจ หยิบเหล้าที่ไอ้เอ็กซ์ส่งมาให้เข้าปาก “วันนี้ทำไมมานั่งที่เคาท์เตอร์บาร์วะ ไม่ขึ้นโต๊ะประจำ อ๋อ... หรือกลัวภาพกรอซ้ำ” หลังจากเฮียไททันพูดจบ ผมก็ปรายตามองทันที แม่งจะพูดเรื่องนั้นขึ้นมาทำไม คนอุตส่าห์จะมาปลดปล่อยสมอง ไม่ให้เห็นภาพยัยแก้มใสอะไรนั่นแล้วนะ “…” ผมเลือกเงียบไม่ตอบอะไรเฮียแก “เฮ้ๆ เฮียแค่แซว ไม่ต้องทำหน้าตาน่ากลัวจะฆ่าเฮียขนาดนั้นก็ได้มั้ง” ไม่บอกไม่รู้นะเนี่ย ว่าผมกำลังทำหน้าตาน่ากลัวอยู่ “แล้วนี่ ไอ้เอฟวันกับไอ้... ยูกิ ไม่เข้าไง” แม่ง ไม่อยากเอ่ยชื่อหลังเลยให้ตายสิ พอพูดชื่อไอ้ยูกิ ภาพที่มันกอดกับแก้มใสก็แล่นเข้ามาในหัว “วันนี้พวกมันไม่เข้า เห็นบอกต้องเคลียร์งาน เออ มึงมาก็ดีแล้ว จะได้ช่วยกันทำงานบ้าง แหมลืมไปหรือเปล่า ว่ามึงก็เป็นหุ้นส่วนที่นี่เหมือนกัน” จะบ่นอะไรของเฮียนักหนาเนี่ย บ่นยังกะผู้หญิงวัยทอง “บ่นมาก รำคาญว่ะ ไปหาสอยหญิงแก้เครียดดีกว่า” ผมลุกจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ เดินออกมามองหาเหยื่อเพื่อช่วยไปปลดปล่อยสักหน่อย รู้สึกจะห่างจากเรื่องอย่างว่ามาเกือบอาทิตย์แล้วมั้ง “อ่า ซีด อื้ม แบบนั้นล่ะ อ้า” ให้ตายสิ ผู้หญิงเป็นงานนี่ก็ดีตรงนี้ล่ะ รู้ว่าต้องปลุกผู้ชายแบบไหน “อื้ม” เสียงแม่สาวโคนมครางในลำคอตอบรับเสียงกระเส่าของผม “อีกนิด อ่า ขอแรงๆ โอ๊ย ฟันเธอ น้องชายฉัน” ให้ตายสิ จะรุนแรงเร่าร้อนไปแล้วนะแม่คนนี้ ถ้านี่เป็นแก้มใสผมจะรู้สึกยังไงนะ พลั่ก... “เอ๊ะ ทำอะไรของนายเนี่ย” เสียงแม่โคนมว่าค้อนให้ หลังจากที่ผมดันไปนึกถึงหน้าแก้มใสตอนกำลังจะขึ้นสวรรค์ เลยผลักหัวเธอออกไป “ฉันไม่มีอารมณ์แล้ว จะไปไหนก็ไป” โบกมือไล่เธอ ตอนนี้อารมณ์รำคาญ หงุดหงิดมันกลับมาอีกแล้ว “ฮึ้ย ให้ตายสิ คนกำลัง @$@#$%^$” ยัยนั่นยอมออกไปแต่ก็ไม่วายบ่นด่ากระทบผมไปด้วย ช่างสิ ใครแคร์? “ว้า อดดูฉากเร่าร้อนต่อให้จบเลยว่ะ” อยู่ๆ เสียงเฮียไททันก็ดังขึ้นที่หน้าประตู แหมสันดานเสียนะครับเหี้ย เอ้ย เฮียผม “มารยาทไม่พกมา?” ผมด่าเฮียแกเบาๆ ถึงจะแรงกว่านี้เฮียแกก็ไม่สะทกสะท้านหรอกครับ หน้าหนายิ่งกว่าอะไรซะอีก “แล้วนี่มึงเป็นไร ปกติถ้าได้สอยสาวมา เฮียเห็นถึงเช้าทุกคน” อืม มันก็จริงของเฮีย ถ้าผมได้สอยใครมาแล้ว ผมจะทำกิจกรรมเข้าจังหวะถึงเช้าทุกรายอย่างที่เฮียไททันบอกนั่นล่ะ “ไม่รู้สิ วันนี้ไม่มีอารมณ์” ผมตอบแบบขอไปที เพราะขนาดตัวเองยังไม่รู้เลยว่าเป็นบ้าอะไร อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ เหมือนเมียกำลังท้อง “เฮียว่าไม่ธรรมดาแล้วล่ะอาการมึงเนี่ย” ไททันเหล่ตาจ้องเหมือนจะจับผิดผม “ไม่ธรรมดา ยังไง?” ผมเลิกคิ้วไม่เข้าใจ “ก็มึงดูเหมือนคน อกหักหรือว่ากำลังสับสนในชิวิต” “หืม” ผมส่งเสียงสงสัยเบาๆ ในลำคอ “เอาตรงๆ นะ มึงมีอาการพวกนี้เปล่า แบบว่าเริ่มหงุดหงิด อารมณ์แปรปรวน เวลาเห็นหน้าแก้มใสหรืออยู่ๆ มึงก็เห็นภาพหลอนของเธอลอยขึ้นมา ถ้ามึงมีอาการแบบนี้ เฮียคอนเฟิร์มมึงกำลังตกหลุมรักแก้มใส ชัวร์!!” “บ้าบอน่าเฮีย” เฮียไททันแม่งพร่ำอะไร อย่างผมเหรอจะตกหลุมรักยัยนั่น “ผมไม่ได้รักยัยนั่น ผมยอมรับว่าใบหน้ายัยนั่นคอยวนเวียนผมเหมือนสัมภเวสีขอส่วนบุญ แต่ผมว่านั่นเป็นเพราะผมหมกมุ่นคิดเรื่องการแก้แค้นต่างหาก” ผมใช้น้ำเสียงหนักแน่นยืนยันกับเฮียแกออกไป “เฮ้อ พูดกับพวกปากไม่ตรงกับใจนี่ลำบากเนอะ ต่อให้เอาคีมมาง้างปาก มันก็ไม่ยอมรับหรอก” พูดไปทำหน้าหมั่นไส้ เบ้ปากนิดๆ “ไอ้เฮียครับ ถ้าคิดจะมาปั่นหัวผมให้หลงยัยนั่น เพื่อตัวเองจะได้ใกล้ชิดเพื่อนสาวเธอน่ะ เฮียคิดแผนใหม่เลยเหอะ ผมไม่มีวันหลงกลทั้งเฮียทั้งเธอหรอก” “อ้าวไอ้นี่ รู้ทันนะมึง” เฮอะ~ พูดความจริงเข้าให้ถึงกลับปฎิเสธไม่ออกสิท่า ทำไมผมจะไม่รู้ว่าเฮียไททันกับเพื่อนแก้มใสน่ะ มีซัมธิงกัน ไม่ใช่เด็กครับ ประสบการณ์โชกโชนแบบผม แค่มองตาเฮียแกผมก็มองทะลุยันลำไส้ใหญ่ “ไปล่ะเฮีย เบื่อว่ะ คุยกับคนปากแข็ง” ผมแซวเฮียแกคืนแล้วก้าวฉับๆ ออกจากคลับ สตาร์ทเครื่องรถปอร์เช่สีน้ำตาลไหม้เพื่อกลับคอนโดทันที “เหอะ! รักยัยนั่นเนี่ยนะ ฝันไปเถอะ” [End part] “อึก อึก อึก อ่า สดชื่น” “นี่ชะนี กุลสตรีนี่สะกดเป็นมั้ยยะ” “อะไรตุ๊ดชี่ นี่แหละกุลสตรีไทยยุคสองพันสิบเจ็ด” “เอาที่สบายใจค่ะ ชะนีนาเดียร์” เฮ้อ!! ฉันได้แต่นั่งถอนหายใจ มองนาเดียร์กับนุชชี่เถียงกันไปมาเกือบยี่สิบนาทีได้ คือตอนนี้พวกเรานัดกันมาดูหนังที่ห้างใจกลางกรุงนี่แหละ แต่พอดีรอบฉายที่จองไว้มันเกือบห้าโมงเย็น แล้วนี่ก็เพิ่งบ่ายสาม เลยมาหาอะไรกินที่ร้านกาแฟ แถวๆ โรงหนังกันก่อน “นี่ ชะนีแก้ม น้ำหล่อนยังไม่ลด แต่มันจะล้นแก้วแล้วนะยะ” พอเลิกกัดกับนาเดียร์ นุชชี่ก็หันมากัดฉันที่นั่งเงียบมาพักใหญ่ๆ แทน “เอาไปกินสิ รู้ย่ะที่พูดน่ะ รอสวาปามของฉันอยู่สินะ” ฉันเบ้ปากมองบนใส่นุชชี่แรงๆ “ต๊ายยยชะนี นี่ใคร” ไม่พูดธรรมดานะ แต่กรีดกรายนิ้วอวบๆ ใส่หน้าเนียนๆ ของตัวเอง “ตุ๊ดไง” นาเดียร์ตอบแทนฉัน “ไม่เสือกค่ะขุ่นลูก เราเลิกกันแล้ว” นุชชี่หันไปค้อนทำหน้าง้ำงอใส่ “ฮ่าๆ” ฉันหลุดขำออกมา ก็นะเห็นพวกนี้ทะเลาะกันทีไร มันกลั้นขำไม่ได้ทุกที แม้จะเศร้า อารมณ์ไม่พาไป แต่เมื่อมีสองคนนี้ทีไร ฉันก็รู้สึกผ่อนคลายทันที แปะ... “เย้ ชะนีหัวเราะแล้ว” อยู่ๆ ยัยเดียร์กับยัยตุ๊ดก็แท็กมือกันแล้วก็ร้องดีใจออกมาลั่นร้าน ทำให้โต๊ะข้างๆ หันมามองค้อนให้ “อะไรของพวกแกเนี่ย อายคนมั้ยนั่น” ฉันหันมองรอบๆ พร้อมกับก้มหัวเป็นเชิงขอโทษแทนเพื่อนๆ ออกไป “ก็พวกเราเห็นแกนั่งนิ่ง นั่งซึมตั้งแต่ก้นถึงเก้าอี้แล้ว” น้ำเสียงนาเดียร์ดูเป็นห่วงฉันมาก ก็ยัยนี่รักเพื่อนมากกว่าตัวเองซะอีกไง “ฉันขอโทษนะ ที่ทำให้พวกแกเป็นห่วง ก็แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะ” ฉันยิ้มออกมาสำทับคำพูดตัวเอง เพื่อให้พวกนี้เลิกกังวลตามฉัน “แกยังไม่ลืมเรื่องนั้นเหรอวะ” ยัยเดียร์ถามออกมาเบาๆ “ไม่อ่ะ เรื่องนั้นไม่ได้สำคัญอะไร ฉันกำลังคิดเรื่องเกมที่ท้าทายเขาไปต่างหาก” เรื่องนั้นของนาเดียร์คงหมายถึงเหตุการณ์ในคลับเมื่อหลายอาทิตย์ก่อน ที่ฉันได้ยินแฟนตัวเองพูดประจานลับหลังฉันเสียๆ หายๆ โชคดีที่ได้นาเดียร์เข้าไปช่วยพาฉันออกมา “ก็ไม่เห็นยากนี่ชะนี” นุชชี่เชิดหน้าพูดออกมา “แกท้าเขา แกก็ทำให้เขาดิ้นก่อนสิยะ” “ยังไงตุ๊ด พูดให้เข้าใจได้ป้ะ แกมีแผนอะไรดีๆ ใช่ม้า ไหนเล่ามาให้คนสวยสุดในกลุ่มฟังซิ” นาเดียร์ถามนุชชี่ออกไป แต่ไอ้ประโยคสุดท้ายนี่มั่นมากค่ะเพื่อน แต่เธอก็สวยจริงๆ นั่นแหละ สัดส่วน รูปร่าง นางแบบดังๆ บางคนยังเทียบนาเดียร์ไม่ติดฝุ่นเลย “ชะนีเฉิ่ม ป้าเรียกพี่แบบนี้ต้องเป็นลุคก่อนค่ะ” “เปลี่ยน? แล้วนี่แกว่าใครป้ายะ” ฉันขึ้นเสียงและทำหน้างอนๆ “แหม ก็ดูหล่อนสิยะ กระโปรงลายวินเทจยาวคลุมตาตุ่ม เสื้อลายดอกไม้โทนน้ำตาล ขนาดตุ๊ดเห็นยังเพลียเลยคร่า” นุชชี่พูดแล้วแบะปากมองบน “เออ ข้อนี้ฉันเห็นด้วยกับไอ้นุชามันนะ” เพี้ย... “หยาบคาย เรียกใหม่เลยนะ ยัยโหด” เรียกชื่อจริงทีไรดิ้นทุกทีเลยนะตุ๊ด “เค้าขอโต๊ดดดด” หน้ายัยเดียร์ไม่ได้สำนึกเหมือนคำพูดหล่อนนั่นแหล่ะ “ชิ” ยัยนุชชี่เลิกสนใจนาเดียร์ แล้วหันหน้ามาคุยกับฉันแบบจริงจังต่อ “ผู้ชายน่ะ ถ้าจะจับให้อยู่หมัด ผู้หญิงต้อง สวย เซ็กซี่ เร่าร้อน” ยัยนุชชี่พูดไปด้วย ทำท่ากัดปากประกอบความเซ็กซี่ของมันไปด้วย ให้ตายสิ มั่นมากเพื่อนตุ๊ด นึกว่าพะยูนเกยตื้นกำลังโดนแดดเผา “แล้วต้องแต่งแบบไหน ถึงจะเซ็กซี่เร่าร้อน อะไรของแก อย่างยัยเดียร์หรือเปล่า” ฉันพูดแล้วก็มองเสื้อผ้านาเดียร์ไปด้วย “ตาถึงนี่แก” นาเดียร์ยิ้มหน้าบานทันที ที่ฉันยกนางเป็นตัวอย่าง “...” ฉันเลยส่ายหน้าให้กับมั่นหน้าของนาง “อ่าห๊ะ ตามนั้นค่ะเพื่อนสาว แกเป็นคนสวยนะ หุ่นก็ดี ผิวขาว หน้าตาจิ้มลิ้ม ตุ๊ดว่าถ้าเปลี่ยนนิด แต่งหน้าเพิ่มหน่อย เกิดทันทีค่ะลูก” ฉันไม่ตอบนุชชี่ เพราะกำลังคิดตามที่มันพูด ก็จริงที่ฉันเป็นคนหุ่นไซส์เอส รูปร่างก็ไม่ได้น่าเกลียดอะไร แต่ฉันเป็นพวกไม่ชอบแต่งอะไรโล่งๆ หรือน้อยชิ้น เพราะฉันเป็นคนไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองเท่าไหร่ เพี้ย~ อยู่ๆ นาเดียร์ก็ตีแขนฉันเบาๆ ทำให้สะดุ้งตกใจเล็กน้อย “นี่เหม่ออะไรอีกแล้ว ถ้าเธอไม่อยากลองเปลี่ยนก็ไม่ต้องทำตามพวกฉันบอกก็ได้นะ” นาเดียร์ทำหน้าตาเหยเก เหมือนจะขอโทษกลายๆ “เปล่าหรอก ที่พวกแกว่ามาที่จริงฉันว่ามันก็ดีนะ ถ้าฉันเปลี่ยนแปลงตัวเองแล้วเอาชนะเขาได้ มันก็คงจะดี” ฉันตอบแล้วส่งยิ้มกลับไป แต่ในใจก็คิด ถ้าฉันเปลี่ยนแปลงตัวเองแล้วทำให้โซลหลงรักฉันได้อีกครั้ง นั่นเท่ากับว่าฉันก็ไม่ได้ชนะใสๆ ในแบบของตัวเองหรือเปล่า โอ้ย ไม่เอาเลิกคิดๆ จะคิดอะไรมากแก้มใส คนเลวๆ แบบนั้นเธอไม่ต้องไปคิดให้เปลืองสมองว่าเขาจะรู้สึกยังไงกับเธอ เพราะคนแบบนั้นมันไม่มีหัวใจไว้รักใครจริงหรอก หลังจากนั่งเม้ากันต่อสักพัก ก็ถึงเวลาหนังเข้าฉาย พวกเราก็ใช้เวลาดูหนังประมาณเกือบสองชั่วโมง แล้วก็เดินช้อปปิ้งเลือกซื้อเสื้อผ้า เครื่องสำอาง ซึ่งล้วนแต่เป็นของฉันทั้งหมด เฮ้อ กว่าจะได้กลับมานอนเตียงนุ่นๆ ที่ห้องก็ปาไปเกือบสี่ทุ่ม ไม่ไหว วันนี้ใช้พลังงานไปเยอะ ขอแปะไว้ก่อนแล้วกันพี่น้ำจ๋า พรุ่งนี้เช้าค่อยอาบแล้วกัน “พรุ่งนี้เธอต้องหาตัวช่วยแก้มใส งานนี้เปลี่ยนแค่ลุคอย่างเดียวคงไม่พอ” พอหัวเริ่มคิดอะไรได้ เลยย้ำเตือนตัวเอง ฝังรากลึกไว้ในสมองอีกที พรุ่งนี้เช้าก็แค่เริ่มแผนการแก้แค้นเท่านั้นเอง @Yukki Casino [Yuuki’s part] ตอนนี้ผมกำลังนั่งทำบัญชีอยู่ที่ยุกกี้คาสิโน ซึ่งเป็นธุรกิจของม๊าที่เปิดให้ผม ส่วนชื่อที่แสนอินดี้แทนที่จะเป็นยูกิคาสิโน แต่ดันกลายเป็นชื่อน่ารักๆ นั่นเพราะม๊าบอกชอบชื่อนี้ ผมเลยเออออตามเพราะม๊าผมใหญ่สุดในบ้าน ผมเป็นพวกที่เวลาทำงานอยู่ที่บ่อนตัวเอง จะไม่ยอมให้ใครเข้ามาวุ่นวาย แค่เคลียร์บัญชีรายรับ-จ่าย คนเดียวก็ปวดหัวแล้ว ก๊อกๆ “เฮียครับ มีคนมาขอพบ”ผมที่กำลังนั่งเคลียร์บัญชีของบ่อนอยู่ ก็ได้ยินเสียงไอ้มอม้าเคาะประตูเรียก “ใครวะ” ผมตะโกนถามถึงผู้มาเยือนผ่านมันที่อยู่หลังบานประตูออกไป “ผมไม่ทราบครับนาย เป็นผู้หญิงสวยมาก แต่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนครับ” ไอ้มอม้าตะโกนตอบกลับมาจากหลังบานประตู ทำเอาสองคิ้วผขมวดมุ่นเข้าหากันทันที “ใครวะ?” ผมได้แต่ก่นถามตัวเองคนเดียว ปกติจะไม่มีผู้หญิงที่ไหนกล้ามาหาผมหรอก ทุกคนก็รู้ว่าผมน่ะ เยือกเย็นหน้าดุแค่ไหน อย่าว่าแต่ผู้หญิงเลย ขนาดลูกน้องที่บ่อนนี้ถ้าไม่สนิทด้วย แม้แต่หน้าผมพวกมันยังไม่กล้ามองเลย “บอกไปกูไม่ว่าง กำลังเคลียร์งานอยู่” ผมตะโกนบอกไอ้มอม้าเชิงไล่แขกกลายๆ ก็ในเมื่อขนาดไอ้มอม้าที่สนิทกับผมสุดๆ ยังไม่เคยเห็นหน้าผู้หญิงที่มา งั้นก็คงไม่ใช่คนสำคัญอะไร แอ้ด~ สิ้นเสียงตะโกนผม แทนที่จะได้ทำงานต่อ แต่กลับมีเสียงคนเปิดประตูห้องเข้ามาแทน “อ้าวไอ้นี่ กูบอ...” ผมคิดว่าต้องเป็นไอ้มอม้าที่เปิดเข้ามา นี่มันกล้าขัดคำสั่งผมเลยเหรอวะ แต่พอเงยหน้าขึ้นดูกลับต้องกลืนคำพูดลงคอแทบสำลัก แม่เจ้าโว้ย สวย เซ็กซี่ ก็คนที่เปิดประตูเข้ามาเมื่อครู่นี่ไงล่ะ เธออยู่ในชุดมินิเดรสสีส้มแสบตา สั้นเลยขาอ่อนมาประมาณสองคืบ ผมดัดหลอนปล่อยสยายยาวถึงเอว สูงน่าจะประมาณ 165 เซนฯ ผิวขาวๆ อึก อึก บอกเลยเก็บอาการไม่อยู่ ผมกลืนน้ำลายลงคอสองสามอึก แม่งน่าจับกดฉิบหาย “โทษทีที่เสียมารยาท แต่ฉันรบกวนนายไม่นานหรอกนะ แล้วนั่นจะอ้าปากค้างอีกนานมั้ย” เสียงผู้มาเยือนดังขึ้น ทำให้ผมที่มัวแต่พิจารณารูปร่างเธอ พลางกลืนน้ำลายอึกๆ อยู่ถึงกลับได้สติอีกครั้ง “เสียงคุ้นๆ” ผมพึมพำกับตัวเองเบาๆ พอมองพินิจหน้าตาคนตรงหน้าใหม่ ก็แลดูเหมือนจะเคยเจอที่ไหนมาก่อน นี่มัน… “ธะ เธอ ใช่คนที่ฉันคิดป่าววะ” ผมรีบโพล่งถามคนตรงหน้าออกไป หวังให้เธอรีบตอบให้หายข้องใจ “แล้วนายคิดว่าฉันเป็นใครกันล่ะ” เธอไม่ตอบ แต่ถามยียวนผมกลับ อา ให้ตายสิ นี่เธอเปลี่ยนไปขนาดนี้เลยเหรอวะ “แก้มใส?” ในเมื่อไม่ตอบผมเลยพูดชื่อคนที่ผมคิดออกไปทันที “....” เธอไม่ตอบแต่พยักหน้าเป็นการยืนยัน ให้ตายสิวะ หัวใจไอ้ยูกิจะวายตาย เคยเห็นเคยถึงเนื้อถึงตัว เอ่อ ผมหมายถึง ช่วยเธอตอนล้มถึงสองสามครั้งน่ะ อย่าเพิ่งคิดไปไกลสิครับ แต่พอเจอแก้มใสเวอร์ชั่นแซ่บ สวยเด็ดเข็ดฟัน แบบนี้แล้วผมปรับตัวไม่ทัน พอเริ่มตั้งสติได้ก็กลับสู่ยูกิโหมดเย็นชาเหมือนเดิมแล้วถามออกไป “เธอรู้จักที่นี่?” “จากนาเดียร์ เอ่อ เพื่อนฉันน่ะ เธอน่าจะสืบมาจากเฮียไททัน” พอฟังคำตอบจากเธอผมก็พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจทันที ก็สองคนนั้นมีซัมธิงกันนี่เนอะ เรื่องแค่นี้ทำไมจะสืบให้ไม่ได้ล่ะ “มาหาฉัน มีธุระ?” ผมถามออกไป สายตาเลิกสนใจแก้มใสกลับมาสนใจตัวเลขที่อยู่ในแฟ้มต่อแทน “คือ มีเรื่อง... ให้ช่วย” “ให้ช่วย?” พอแก้มใสพูดจบผมเลยเงยหน้าขึ้นมามองแบบคิ้วขมวด “คือ จะพูดยังไงดี” แก้มใสดูเลิกลั่กๆ ลังเลว่าจะพูดออกมาดีหรือเปล่า “พูด!! เดี๋ยวบอกเอง” ผมเลยสั่งให้เธอพูดธุระออกมา “ฉันรู้นะ ว่านายกับโซลเป็นเพื่อนรักกัน สิ่งที่ฉันกำลังจะขอให้ช่วยมันอาจจะ ทำให้พวกนาย เอ่อ...” ประโยคท้ายๆ ผมพอจะเดาออกว่าเธอจะขอร้องผมให้ทำอะไรบางอย่าง ที่เรียกว่าเป็นการหักหลังเพื่อน “คือฉันอยากให้นายช่วย.....” สุดท้ายแก้มใสก็ยอมเล่าเรื่องที่ขอให้ผมช่วยออกมา ซึ่งกินเวลาไปครึ่งชั่วโมง “ที่ขอให้ฉันช่วย เธอไว้ใจฉันขนาดนั้นเลย?” ผมถามความมั่นใจจากแก้มใสอีกครั้ง “ที่จริงก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ แต่เท่าที่เคยเจอกัน นายเป็นคนช่วยฉันไว้ทุกครั้ง แม้ว่าจะไม่รู้ว่านายเต็มใจทำจริงๆ หรือแค่สถานการณ์พาไป แต่ฉันว่านายน่าจะเป็นคนที่ดูอันตรายน้อยที่สุดในกลุ่มหมอนั่น” แก้มใสมองสบตาผมจริงจังตอนที่ตอบคำถามผม “แล้วไม่คิดว่าฉันจะหักหลังเธอหรือไง?” “ก็นะ มันก็อาจจะเป็นไปได้ แต่ถ้าไม่ลองเสี่ยง ฉันก็ไม่รู้จะพึ่งใครได้อีกแล้ว” ผมเห็นสีหน้าแก้มใสที่ดูเจื่อนไปเล็กน้อย หลังจากที่ผมพ่นประโยคนั้นออกไป “ฉันไม่เคยคิดหักหลังเพื่อน เพราะสิ่งที่ทุกคนเกลียดคือการถูกหักหลัง” ผมพูด พร้อมจ้องตาแก้มใสจริงจังและเห็นว่าแววตาเธอสั่นไหว เศร้าสลดลงแว่บหนึ่ง “แต่ถ้าเป็นเรื่องแค่นั้นที่เธอขอ ฉันก็ไม่คิดว่ามันคือการหักหลังเพื่อน เพราะบางทีไอ้โซลมันก็ทำเกินไปจริงๆ” แก้มใสผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ เหมือนโล่งอกที่ดูเหมือนผมจะช่วย “งั้นแก้มจะถือว่านั่นคือนายตกลงแล้ว ขอบคุณนะ เฮียยูกิ” “หึ” ผมแค่นยิ้มมุมปากหลังจากที่แก้มใสเปลี่ยนสรรพนามเรียกผมแบบนั้น เธอคงบอกผมกลายๆ ว่าให้ผมได้แค่สถานะพี่ชายของเธอ “งั้นขอตัวนะคะ นี่เบอร์โทรแก้มค่ะ” แก้มใสทิ้งนามบัตรไว้บนโต๊ะรับแขก แล้วออกจากห้องไปทันที “หึ งานนี้สนุกแน่” ผมนั่งยิ้มกับความสนุกข้างหน้าที่กำลังจะเกิดขึ้น หวังว่าตัวเองคงไม่เผลอใจคิดเกินเลยกับเธอ อย่างที่เธอหยิบยื่นสถานะพี่ชายให้ผมหรอกนะ [End part]
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD