“เข้าเรื่องเลยนะครับ คุณหนาวต้องรีบบินกลับบ้านก่อนค่ำ” นั่งได้ไม่เท่าไหร่ เวทิตก็เอ่ยขึ้นแบบเป็นการเป็นงานในฐานะตัวกลาง แล้วส่งเอกสารที่เคยเมลให้เขาเมื่อวานนี้ให้ดูอีกรอบ ภีมวัจน์เองก็ชอบแบบตรงๆ เช่นกันเลยยิงคำถามออกไป
“แล้วทำไมถึงจะขายครับ” ปัญญาชั่งใจครู่หนึ่งแล้วถึงตอบ
“ตรงๆ นะครับ ก็อย่างที่บอกไปว่าเรามีหนี้เยอะ ผมใกล้หมดไฟแล้ว ส่วนแฟนก็ไม่ถนัดงานพวกนี้ ลูกก็ยังเด็ก จะมาสานต่อได้ก็อีกหลายปี เลยคิดว่าขายดีกว่า จะได้เก็บเงินไว้ให้ลูกเรียนแล้วทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ ตามที่แกถนัดน่ะครับ”
ภีมวัจน์ชื่นชมในความเป็นคนตรงไม่น้อยเลยยิ้มให้ แต่ไม่ได้พูดอะไรนอกจากเงียบ เป็นการโยนให้ใครก็ได้เอ่ยอะไรออกมา ทำเอาสองเจ้าของหันไปมองเวทิต เพราะไม่รู้จะพูดอะไรขึ้นอีก ถ้าคนซื้อไม่ได้ตั้งคำถามมา เวทิตเจ้าเดิมเลยเป็นตัวกลางถามทางนั้นทีทางนี้ที จนแต่ละฝ่ายได้ข้อมูลครบครัน
“เอ่อ! แล้วเรื่องราคาขายล่ะครับคุณปัญพอจะดั้มพ์ลงอีกได้หรือเปล่าครับ” เพราะรู้ดีว่าเพดานของคนซื้ออยู่ตรงไหน เลยรีบตรงประเด็นจะได้ก้าวต่อ ปัญญาหันไปหาภรรยาอีกคำรบก่อนตัดสินใจเอ่ย
“ก็คงยืนไว้ที่ห้าร้อยสิบหกล้านครับ บอกตามตรงว่าราคานี้ หลังใช้หนี้แล้ว ผมเหลือติดมือไม่เท่าไหร่ อย่าต่อผมเลย ถือเป็นการให้ผมเอาไว้เป็นทุนให้ลูกเถอะนะครับ แกยังเด็กต้องกินต้องใช้อีกเยอะ”
เจอไม้นี้เข้าเวทิตก็ไม่รู้จะพูดอะไร เพราะรู้จักครอบครัวนี้มาระยะหนึ่งแล้ว ตั้งแต่รับเอาโรงแรมไปร่อนขายให้ แต่ก็นานนับปีแล้วยังไม่มีใครเอาจริงๆ สักคน เลยหันไปหาฝ่ายซื้อเพื่อขอความคิดเห็น แต่ก็รอนานเป็นนาทีกว่าจะยินเสียงเล็ดรอดออกมา
“คือผมก็ขอตรงๆ นะครับว่า เพดานตั้งไว้แค่ห้าร้อยล้านเท่านั้น ไหนจะต้องเผื่อปรับปรุงอีก ถ้าเรามาเจอกันตรงจุดนี้ได้ ผมยินดีตัดสินใจโดยไม่ขอไปดูที่อื่นเลยครับ”
สองฝ่ายขายนิ่ง เวทิตไม่รู้จะทำยังไงเมื่อไม่มีใครถอยให้ใคร เลยคิดขึ้นได้ว่าควรจะทำให้สถานการณ์หายตึงเครียด “พอดีคุณหนาวชอบเลขสิบหกน่ะครับ เห็นว่าโรงแรมคุณปัญมีเลขสิบหกมาเกี่ยวข้องหลายอย่าง แกเลยมาดูที่นี่ก่อนน่ะครับ”
“เหรอคะ อย่าบอกนะคะว่าเกิดวันที่สิบหกเหมือนน้องเหนือด้วย” ปาริดาเห็นดีเห็นงามเลยเปลี่ยนเรื่อง ภีมวัจน์ไม่ได้ตอบแค่ยิ้มเท่านั้น เวทิตเจ้าเดิมเลยเดินหมากอีก
“นอกจากจะวันที่เดียวกันแล้ว ยังเวลาเดียวกันเป๊ะครับคุณปา แถมอายุห่างน้องเหนือสิบหกปีด้วยนะครับ”
“เหรอคะ บังเอิญจังเลย แล้วที่บอกมีธุระต่อก็คงไปฉลองกับคนที่บ้านใช่มั้ยคะ”
“ครับ” ฝ่ายขายพูดยืดยาวแต่ฝ่ายจะซื้อตอบแค่นั้น
“เราก็เหมือนกันค่ะ ตั้งใจว่าเสร็จแล้วจะรีบไปหาซื้อของขวัญให้ แล้วก็ไปรับที่โรงเรียนกลับไปฉลองที่บ้านค่ะ”
เรื่องวันเกิดถูกพูดถึงสักพัก เวทิตเห็นว่าถึงเวลาต้องวกมาที่ปัญหาเดิมแล้ว เลยหยิบยกขึ้นมาอีก แต่ฝ่ายขายก็ยังคงยืนยันคำตอบเดิม นั่นทำให้ฝ่ายซื้อฟันธงแล้วว่าคงจะไม่ได้เป็นเจ้าของโรงแรมนี้แล้ว “ลองเอาไปคิดดูอีกรอบก็แล้วกันนะครับ”
เขาเลยเอ่ยคำนี้ออกมา แล้วนิ่งเงียบคนอื่นมองตากันไปมานานเป็นนาทีก็ไม่มีอะไรหลุดออกมาอีก “งั้นเราค่อยคุยกันเรื่องราคาอีกทีดีมั้ยครับ สรุปวันนี้คงยังไม่ได้แน่ๆ ต่างคนก็ต่างจะรีบไปวันเกิดด้วย เอาเป็นว่าถ้ามีอะไรคืบหน้าผมติดต่อมาหาอีกรอบนะครับ”
“ได้ครับ” ภีมวัจน์เอ่ยลาทั้งสองแล้วก็ลงมาชั้นล่างพร้อมเวทิตและอาสาไปส่งเขาขึ้นเฮลิคอปเตอร์กลับเชียงใหม่
“คุณหนาวคิดว่ายังไงครับ พอเอาได้หรือเปล่า ผมว่าถ้าปรับนั่นนี่ทำการตลาดดีๆ ก็คงจะคืนทุนในอีกไม่นานนะครับ ทำเลก็ดีด้วย”
“รอทางนั้นลดราคาก็แล้วกันครับ”
“ลดไม่ได้หรอกแม่ หักลบกลบหนี้แล้วเราเหลือไม่เท่าไหร่เลย ใจแข็งๆ ไว้ก่อนเถอะ เผื่อมีเจ้าอื่นมาแบบไม่ต่อ เพราะราคานี้เราไม่ได้บอกผ่านนะ” ปัญญาหันไปหาภรรยาที่เดินเคียงข้างลงมาชั้นล่าง
“ก็แม่อยากขาย รีบๆ ใช้หนี้ให้หมดนี่นาพ่อ บอกตรงๆ นะว่าเหนื่อยเต็มทีแล้ว วันๆ มีแต่คนโทรมาทวง”
“ทนอีกนิดนะแม่ คงไม่นานหรอก ว่าแต่ตกลงจะเอายังไงล่ะตอนนี้” ปัญญาหมายถึงโปรแกรมสำหรับลูกสาวสุด
“เราไปห้างซื้อของให้ลูก แล้วไปรับที่โรงเรียน ก็คงพอดีกับพี่จ๋าเตรียมอาหารเสร็จ”
“เหรอ! แล้วมีใครมาบ้างล่ะ”
“ก็ไม่มากหรอกพ่อ แค่เพื่อนๆ ของลูกกับบ้านเราเท่านั้น พ่อก็รู้ว่าเราใช้จ่ายอะไรได้ไม่มากตอนนี้”
“ดีแล้วล่ะแม่ ไว้ขายโรงแรมได้ค่อยว่ากันใหม่ งั้นเราไปนะ! เดี๋ยวลูกจะรอ”
และลูกสาวคนเดียวที่สองพ่อแม่รักยิ่งกว่าชีวิต ผู้เป็นเจ้าของส่วนสูงร้อยหกสิบกับน้ำหนักสี่สิบ ในชุดกระโปรยลายสก๊อตสีเทากับเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีขาวสะอาดตา มีโลโก้สถานศึกษาปักไว้ตรงกระเป๋าหน้า ก็กำลังนั่งรออยู่ม้าหินใกล้ๆ ประตู ซึ่งสามารถมองเห็นรถพ่อแล่นเข้ามารับได้ไม่ยาก ‘ปรารถนา สุริยวงศ์’ หรือชื่อที่เจ้าตัวรวมทั้งคนทั้งบ้านเรียกจนติดปากว่า ‘น้องเหนือ’ กำลังอ่านหนังสือเล่มโปรดอยู่
“ไปก่อนนะแพ็ต แล้วเจอกันเย็นนี้”
เพื่อนสาวในชั้นเรียนลดกระจกรถลงมาโบกมือลาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม แม้จะเจอกันในปาร์ตี้วันเกิดก็ตาม ส่วนปรารถนาก็โบกมือลาด้วยท่าทีไม่ต่างจากเพื่อนนัก ก่อนจะก้มลงไปหาหนังสือสลับกับคอยมองไปยังประตูครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะพ่อกับแม่บอกว่าจะมารับในอีกไม่นาน
‘โคร้ม!!!!!!!!!’