หนึ่งเดือนก่อน
ข้ามีนามว่าเสวี่ยไป๋ แซ่เซียว มีบิดาเป็นคหบดีผู้ร่ำรวย ส่วนตัวข้าคือลูกสาวคนที่เจ็ดจากพี่น้องสิบสามคน เป็นลูกสาวของอนุคนที่สาม จึงไม่ได้เป็นที่ใส่ใจของครอบครัวมากนัก เซียวเสวี่ยไป๋เกิดในคืนหิมะตกหนัก มีธาตุเย็นมาแต่กำเนิด ทำให้ร่างกายนี้เจ็บออดๆ แอดๆ ใกล้ตายมาก็หลายหน หากไม่เป็นเพราะแม่เล็กไปขอพรที่อารามหลวง เซียวเสวี่ยไป๋คงสิ้นชะตาตั้งแต่สิบปีก่อนแล้ว ทว่าในปีที่นางมีอายุครบสิบแปด นางก็สิ้นใจไปอย่างโดดเดี่ยว ไร้ผู้เหลียวแล และกลายเป็นข้าที่เข้ามาอยู่ในร่างของนาง
ตัวข้าแท้จริงแล้วเป็นนักศึกษาในโลกปัจจุบันต่างหาก เรียนเอกบัญชีแต่มีงานอดิเรกคืออ่านหนังสือนิยาย
เมื่อไม่นานมานี้ข้าบังเอิญได้อ่านนิยายเรื่องหนึ่ง ที่มีเค้าโครงมาจากเทพนิยายเรื่องสาวงามกับเจ้าชายอสูร ทว่าอสูรในนิยายเรื่องนี้กลับไม่ใช่พระเอก แต่เป็นตัวร้ายที่บังคับนางเอกให้แต่งงานกับตัวเองเพื่อแก้คำสาป โดยเอาใจสารพัด แต่สุดท้ายนางเอกก็ทรยศความไว้ใจของอสูร ทำให้อสูรร้ายแก้แค้นด้วยการทำลายครอบครัวของนางเอกจนสิ้นสกุล ก่อนจะถูกคมดาบของพระเอกสังหารจนสิ้นใจ
จำได้ว่าตอนนั้นข้าร้องไห้จนตาบวมเพราะสงสารอสูรร้ายผู้อาภัพ ทั้งที่ตัวร้ายผู้นั้นหลงรักนางเอกอย่างจริงใจ ยอมปิดตาทั้งที่รู้ว่ากำลังถูกหลอกใช้ เพียงเพราะหวังว่าสักวันนางจะตอบรับอย่างจริงใจเช่นกัน แต่ก็ไม่เป็นไปดังหวัง
ตัวข้าในตอนนั้นจมปลักอยู่กับความเวทนาที่มีต่อตัวร้าย จนถึงขั้นเก็บไปฝันอยู่หลายวัน
ข้าฝันว่าได้พบกับเขา ได้ใช้ชีวิตร่วมกันอย่างสุขสันต์ ได้ถอนคำสาปและแลกสัมผัสอย่างมีความสุข ช่างเป็นความฝันที่น่าขันเหลือเกิน หากทว่าตลอดหนึ่งเดือนข้ากลับฝันเช่นเดิมอยู่ทุกวัน ได้เอ่ยขอให้เขาจดจำนามของข้าเอาไว้ ข้าเฝ้ามองตัวข้าในความฝันนั้น แค่เพราะอยากเห็นตอนจบที่แตกต่างออกไป ทว่าหลังจากจมอยู่ในห้วงฝันเป็นครั้งสุดท้าย ข้ากลับตื่นมาอยู่ในร่างใกล้ตายของเซียวเสวี่ยไป๋ น้องสาวของนางเอกผู้งดงามผู้นั้น เป็นเพียงตัวประกอบท่านหนึ่งที่ไม่เคยมีการเอ่ยถึงเลยสักครั้ง...
ข้าไม่รู้ว่ามาที่นี่ได้อย่างไร ตื่นมาก็นึกว่าโดนสหายแกล้งแต่ที่ไหนได้ ยิ่งอยู่นานยิ่งสัมผัสได้ถึงความคุ้นชิน ราวกับว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ความฝัน และชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อวันที่ข้าเผลอทำกระถางธูปไหว้บรรพบุรุษตกลงมา จึงถูกแม่ใหญ่ลงโทษด้วยการเฆี่ยนที่น่อง
เพี๊ยะ!
“อึ้ก!” ข้ากัดฟันข่มความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น เจ็บเหมือนถูกฉีกกระชากเนื้อจนแทบจนไม่ไหว และทันทีที่จะล้มลงก็จะถูกบ่าวรับใช้พยุงร่างเอาไว้
“วันนี้เป็นวันไหว้บรรพบุรุษ แม่เล็กของเจ้าไม่สั่งสอนหรืออย่างไรว่าให้สำรวม” เสียงเย็นเยียบของเซียวฮูหยิน แม่ใหญ่เหน็บแนมเสียดสีข้าไม่เว้นแต่ละวัน นางต้องการทำให้ข้าอับอายเพียงเพราะแม่เล็กของข้าเป็นที่โปรดปรานมากกว่าผู้ใด แต่แม่เล็กของข้าได้จากไปหลายปีแล้ว การที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ จึงไม่ต่างจากหนามยอกอกของนาง
เท่าที่จำได้ นางเอาแต่ทรมานข้าจนเกือบตายอยู่หลายหน แต่สวรรค์กลับไม่ยอมรับวิญญาณของข้าไปสักที คงเพราะต้องการบางอย่างจากข้ากระมัง
“ทำไมถึงไม่ร้อง อวดเก่งนักนะ!”
เพี๊ยะ!
เสียงไม้เรียวกระทบเนื้อดังจนคนรอบข้างรู้สึกสงสาร แต่ก็ไม่สามารถช่วยเหลือได้เพราะกลัวถูกลงโทษไปด้วย กลิ่นโลหิตไหลชโลมไปทั้งน่องดูน่าสงสารและน่าหวาดกลัวยิ่งนัก แต่การที่ไม่มีเสียงร้องสักนิดเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากแห้งผากนั้นกลับน่าหวาดหวั่นยิ่งกว่า เกรงว่าหากยังทำโทษต่อไป อาจจะมีคนตายกลางเรือนได้
“ท่านแม่ น้องเจ็ดสำนึกผิดแล้ว ท่านแม่โปรดให้อภัยน้องเจ็ดสักครั้งเถอะนะเจ้าคะ”
พี่หญิงใหญ่วิ่งเข้ามาคุกเข่าเพื่อขอให้อภัยแก่ข้าสักครั้ง สีหน้าของนางยามมองข้านั้นราวกับจะร้องไห้ ทั้งที่คนเจ็บเป็นข้าแท้ๆ ช่างเป็นนางเอกที่แสนดีเสียจริง
“เซียวเฉิงซิน ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้!” เซียวฮูหยินโมโหหนักเมื่อเห็นลูกสาวคนโตเข้ามาขวาง
ซึ่งข้าคิดไม่ผิดเลย ยิ่งเซียวเฉิงซินทำเช่นนี้ ผลของการกระทำยิ่งมาตกที่ข้ามากกว่าเดิม แต่ก็ดีแล้ว ในเมื่อข้าเป็นลูกชัง ก็สามารถหาข้ออ้างเป็นตัวตายตัวแทนลูกรักผู้นี้ได้ แผนการหนึ่งเดียวของข้าคือการเยียวยาตัวร้ายผู้นั้นเพียงผู้เดียว
แต่หากจะต้องตาย ข้าสู้ไปตายข้างหน้า ดีกว่าตายอยู่ในจวนแห่งนี้ ข้าไม่อยากเป็นเหมือนมารดาผู้ให้กำเนิดที่แม้แต่สุสานบรรพบุรุษก็ไม่ต้อนรับ
สุดท้ายเซียวฮูหยินก็ยอมปล่อยข้าไปอย่างไม่สบอารมณ์ เพราะไม่สามารถเอาชนะความดื้อรั้นของเซียวเฉิงซินได้ นางโยนไม้เรียวลงพื้นอย่างมีโทสะ แล้วกระแทกเท้าเดินออกไปพร้อมกับบ่าวรับใช้
เมื่อไร้หลักค้ำยัน ไม้ใกล้หักเช่นข้าก็ล้มครืน โชคดีที่บรรดาพี่น้องลูกอนุนั้นรักกันดี เมื่อแม่ใหญ่ออกไปแล้ว พวกเขาที่มองอยู่ด้านนอกก็รีบวิ่งเข้ามาประคองข้าทันที
“พี่เจ็ด ฮึก! เจ็บ... เจ็บมากไหมเจ้าคะ ฮือ..” น้องสาวคนที่สิบเอ็ดร้องไห้น้ำตานอง นางมองเห็นแผลสดที่ขาของข้าแล้วก็ร้องดังกว่าเดิม
เมื่อมีคนรู้สึกร่วมไปด้วย ยิ่งทำให้ข้าอยากจะร้องไห้มากกว่าเดิม
“ข้า... อึก ไม่เป็นไร” แค่เปิดปากก็สะท้านไปทั้งร่างแล้วเท่านั้นเอง
“ไม่เป็นไรอะไร ขาเจ้าแตกขนาดนี้แล้ว น้องรองช่วยอุ้มน้องเจ็ดไปที่ห้องเร็วเข้า หากยังตากน้ำค้างอยู่เช่นนี้ ร่างกายอาจจะทรุดลงยิ่งกว่าเดิม” เซียวเฉิงซินกล่าว ดวงตาของนางแดงก่ำ ไม่รู้ว่าเกิดจากโทสะ หรือสงสารกันแน่
ข้าไม่ใจเลยสักนิด ว่าเหตุใดนางจะต้องห่วงในลูกอนุเช่นข้าด้วย แต่ข้าก็ไม่ใช่คนไม่รู้คุณ
“ขอบคุณเจ้าค่ะ... พี่หญิงใหญ่ พี่รอง...”
ไว้เดือนหน้า ในวันที่เหตุการณ์ในนิยายเริ่มต้นขึ้น ข้าจะตอบแทนพวกเจ้าเอง