ตอนที่ 4 : เจอกันครั้งแรก
เช้าวันเปิดเทอม
"สวัสดีวันเปิดเทอมวันแรกของน้อยหน่า ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยวันแรกขอให้มีแต่สิ่งดีๆ มีเพื่อนที่ดี จุดเริ่มต้นของความฝันและความสำเร็จได้เริ่มขึ้นแล้ว" ใบหน้าหวานที่ไร้เครื่องสำอางมองตัวเองผ่านกระจกเงาบานใหญ่ ผมยาวสลวยถูกรวบครึ่งหัวปล่อยปลายตรงยาวรับกับใบหน้าหวาน ชุดนักศึกษาที่เคยใฝ่ฝันที่อยากใส่มาตั้งแต่เรียนมัธยม ตอนนี้ฉันได้ใส่มันแล้ว ริมฝีปากบางสีชมพูธรรมชาติคลี่ยิ้ม ร่างบางหมุนไปหมุนมาด้วยความชอบใจที่กระโปรงพลีทยาวคลุมเข่าพลิ้วไหวไปตามแรงเหวี่ยง
มือเรียวไม่ลืมที่จะหยิบนาฬิกาเรือนเล็กราคาร้อยกว่าบาทที่ผู้เป็นแม่ซื้อไว้ให้ติดตัวก่อนมาที่นี่
“สู้ๆน้อยหน่า”
เท้าเรียวเล็กเดินออกจากห้องนอนเพื่อจะไปมหาวิทยาลัย ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนของพี่สาวคนสนิทมาหรือยัง เพราะไม่ได้ยินเสียงเคาะเรียก หรือเสียงที่บ่งบอกว่าคนคนนั้นมารอแล้ว
แกร่ก...
มือเล็กเปิดประตูออกมาและทุกอย่างก็หยุดนิ่ง ดวงตากลมโตมองชายหนุ่มร่างสูงที่อยู่ในชุดสูทสุดเนี๊ยบสีดำตัดกับเสื้อเชิ้ตสีขาว ใบหน้าคมนั้นไร้ซึ่งรอยยิ้ม หน้าตาเขาใช้คำว่าหล่อได้เปลืองมากจริงๆ ต่อให้เป็นผู้ชายอกสามศอกแต่ผิวขาวอย่างกับถูกดูแลมาเป็นอย่างดี ใบหน้าคมคายนั้นสะกดสายตาฉันเหลือเกิน
"....." เทเลอร์มองหญิงสาวตัวเล็กที่เดินออกมาจากห้องด้วยแววตาเรียบนิ่ง เขาได้เห็นรูปของเธอมาก่อนหน้านี้แล้ว การที่เขาจะทำอะไรต้องรู้ประวัติของเธอและรู้รูปร่างหน้าตาของเธอ เด็กสาวใบหน้าจิ้มลิ้มที่ดูไร้ซึ่งมลทิน แม้แต่สายตาคู่นั้นยังดูไร้เดียงสา ไม่แปลกที่ไอรีนจะไม่กล้าปล่อยไว้คนเดียว
"พี่เทเลอร์ใช่ไหมคะ" หลังจากเงียบอยู่นานฉันรีบพูดขึ้นเพราะเขาก็ยังจ้องฉันไม่วางตา
"ไปได้แล้ว"
"นิ่งอย่างกับหุ่นเลย" ฉันพึมพำกับตัวเองเบาๆ หลังจากชายหนุ่มร่างสูงพูดจบก็เดินนำหน้าไปเลย ไม่ได้สนใจฉันด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าการที่เขามาตามดูแลฉันอย่างที่พี่ไอรีนบอกมันคือความเต็มใจหรือถูกบังคับกันแน่
ภายในลิฟต์ที่แสนอึดอัด คนด้านหลังยังคงไร้ซึ่งคำพูดและความเป็นมิตร ฉันที่ยืนอยู่ด้านหน้าเขาถึงกับทำตัวไม่ถูก ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยรู้สึกอึดอัดเท่านี้มาก่อน ความเงียบภายในลิฟต์ทำให้ฉันได้ยินเสียงลมหายใจเข้าออกของตัวเองทุกลมหายใจ หัวใจเต้นระส่ำไม่ใช่หลงเสน่ห์แต่เป็นเพราะตื่นกลัว ดวงตากลมโตเหล่มองคนด้านหลังเป็นระยะอย่างหวาดระแวง
"ถ้าฉันจะฆ่าเธอ ฉันฆ่าเธอตั้งแต่เปิดประตูออกจากห้องแล้วล่ะ"
ฉันถึงกับสะดุ้งเฮือกเมื่อเสียงเข้มพูดขึ้นท่ามกลางความเงียบ ดวงตากลมโตมองไปที่เงาจากด้านข้างลิฟต์ทำให้รู้ได้ทันทีว่าเขาเห็นฉันกำลังเหลือบมองเขาอยู่ตลอดเวลา หลังจากนั้นทำให้ฉันโฟกัสไปที่ตัวเลขของลิฟต์ที่ลงมาชั้นล่างอย่างใจจดใจจ่อเพราะอยากออกจากลิฟต์ตัวนี้เต็มที
ติ๊ง...
ดั่งสวรรค์มาโปรดเมื่อประตูลิฟต์เปิดออก ฉันรีบสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ราวกับเมื่อกี้ตัวเองกลั้นหายใจเอาไว้เกือบขาดใจ
ตึก ตึก ตึก
ฝีเท้าแกร่งเดินนำหน้าเด็กสาวไปยังรถสปอร์ตคันหรูของตัวเองที่จอดเด่นเป็นสง่าในลานจอดรถสำหรับซุเปอร์คาร์ของคอนโด
"ใสซื่อจนน่าหงุดหงิด" เทเลอร์พึมพำเบาๆระหว่างเดินไปที่รถสปอร์ตของตัวเอง ความไร้เดียงสาของเธอเริ่มสร้างความหงุดหงิดให้กับเขาไม่น้อย
"คะ คันนี้รถพี่เทเลอร์เหรอคะ" ฉันถึงกับตกตะลึงเมื่อเห็นรถสปอร์ตสีเหลืองจอดเด่นเป็นสง่า ตั้งแต่เกิดมาพึ่งเคยเห็นรถแบบนี้เป็นครั้งแรกแบบตาเนื้อตัวเอง ถึงแม้ตัวเองจะอยู่บนดอย แต่เวลาไปเรียนก็ท่องโลกอินเทอร์เน็ต พอได้เห็นตระกูลรถแบบนี้ผ่านตาบ้าง และไม่คิดว่าวันนี้จะได้นั่ง
"การที่ฉันเดินมาเปิดประตูรถคันนี้นั่นคือคำตอบ ฉันจะไม่ตอบคำถามเธอ ใช้สมองคิดเอาเอง"
"อะไรกับหนูนักหนา"
นอกจากรถสปอร์ตคันนี้ที่ฉันอึ้งกิมกี่ ก็คำพูดของเขาเนี่ยแหละที่ทำให้ฉันอึ้งไม่แพ้กัน ฉันได้แต่พึมพำกับตัวเองเพราะเจ้าตัวพูดจบก็เข้าไปนั่งในรถทันที
มือบางค่อยๆเปิดประตูรถสปอร์ตคันหรูอย่างระมัดระวัง ถึงแม้จะไม่รู้ราคาของรถคันนี้แต่คิดว่าคงแพงมหาศาลแน่นอน เพียงแค่เข้ามาในรถความสงสัยก็เกิดขึ้นมากมาย ใบหน้าหวานหันซ้ายหันขวาอย่างงุนงง พึ่งรู้ว่าภายในรถคันนี้สามารถนั่งได้แค่สองคน
พรึบ
ปึก!
ความเลิ่กลั่กของเด็กสาวทำเอาเทเลอร์ส่ายหัวก่อนจะเอื้อมไปดึงเข็มขัดและรัดให้เธออย่างรวดเร็ว ฝีเท้าแกร่งเหยียบคันเร่งออกจากบริเวณนั้นทันทีหลังจากคาดเข็มขัดให้เธอเสร็จ
"....." ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่น มือบางจับสายเข็มขัดที่รัดตัวเองไว้แน่นด้วยความประหม่า ความใกล้ชิดเมื่อกี้ทำเอาฉันทำตัวไม่ถูก มันใกล้จนจมูกฉันแทบจะติดกับแก้มของเขา แถมยังได้กลิ่นน้ำหอมจากตัวเขาอีกด้วย
ดวงตากลมโตเหลือบมองชายหนุ่มอยู่หลายครั้งแต่ชายหนุ่มก็ยังคงความนิ่งเงียบ การเจอหน้ากันครั้งแรกของฉันและเขาไม่ได้เหมือนคนทั่วไปด้วยซ้ำ ไม่มีแม้แต่การแนะนำตัวเอง ต่างฝ่ายต่างรู้ชื่อเล่นของอีกคนจากคนอื่น
การจราจรในช่วงเช้าของกรุงเทพช่างติดขัดซะเหลือเกิน รถมากมายจอดติดอยู่บนท้องถนน ต่างกับเชียงรายอย่างสิ้นเชิง ไม่แปลกใจทำไมพี่สาวคนสนิทถึงบอกให้เผื่อเวลาเป็นชั่วโมงในวันที่มีเรียนตอนเช้า
"พี่เทเลอร์เป็นคนกรุงเทพตั้งแต่เกิดเหรอคะ"
"อืม"
"ดีจัง ไม่ต้องปรับตัวกับสถานที่แปลกใหม่เหมือนหนู ได้อยู่ในเมืองหลวงที่ดูทันสมัย มีน้ำมีไฟใช้ไม่เคยขาด ตั้งแต่หนูมาที่นี่หนูพึ่งเคยนอนแอร์ อากาศเวลาเปิดแอร์คล้ายกับฤดูหนาวบนดอยเลยค่ะ อีกอย่างก็พึ่งเปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าปุ่มเยอะๆเป็นถ้าไม่ได้พี่ไอร์ช่วยสอนหนูคงกดไม่ถูก มันฟังเหมือนเรื่องตลกสำหรับคนที่นี่มากเลยใช่ไหมคะ ทุกอย่างที่นี่ดูแปลกตาหนูไปซะหมด"
ใบหน้าคมคายหันมองเสียงใสที่พูดเจื้อยแจ้วในจังหวะที่รถสปอร์ตคันหรูจอดนิ่งสนิทติดไฟแดง
"รำคาญเหรอคะ ไม่พูดก็ได้" พอเห็นว่าเขาหันมามองแบบเย็นชาฉันก็หุบปากทันที
"แอดไลน์ฉันแล้วส่งตารางเรียนมาให้ฉัน ฉันจะได้รู้ว่าเธอเลิกเรียนกี่โมง มีเรียนวันไหนบ้าง" เทเลอร์ยื่นโทรศัพท์เครื่องหรูไปตรงหน้าหญิงสาวหลังจากเธอหยุดพูดเรื่องไร้สาระ
"เอ่อ...คือ"
"ทำไม่เป็น?"
"สอนหนูได้ไหมคะ เผื่อเพื่อนใหม่ให้ทำหนูจะได้ไม่ดูโง่ในสายตาเพื่อน"
"แต่เธอแสดงความโง่ในสายตาฉันอย่างนั้นเหรอ"
ฉันกัดริมฝีปากตัวเองแน่น คนอะไรช่างพูดจาไม่ถนอมความรู้สึกคนฟังเลย มือบางหยิบโทรศัพท์ที่ตกรุ่นไปแล้วยื่นไปตรงหน้าชายหนุ่ม สภาพฝุ่นเกาะ หน้าจอเป็นรอย ถึงแม้จะอายแต่ก็ยังดีกว่าไปปล่อยไก่ต่อหน้าเพื่อนใหม่
เทเลอร์ได้แต่ถอนหายใจออกมา สุดท้ายก็ยอมสอนเด็กสาว แต่เป็นการกดให้ดูไม่มีแม้แต่คำสอนเหมือนคนทั่วไป
“…..” ฉันไม่เข้าใจคำว่าสอนสำหรับเขาเลยจริงๆ ฉันต้องมองสิ่งที่เขาทำโดยที่ไม่กล้าถามอะไรเลย
เอี๊ยด...
รถสปอร์ตคันหรูขับมาจอดหน้ามหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังท่ามกลางสายตาของนักศึกษาที่กำลังสนใจในรถสปอร์ตคันหรู
"พี่เทเลอร์ช่วยไปจอดหัวมุมตรงนั้นได้ไหมคะ"
"อาย?"
"....." ฉันเลือกที่จะเงียบแต่ดวงตากลมโตจ้องมองไปที่เขาอย่างขอร้อง ฉันไม่รู้ว่าควรเรียกว่าอายหรือเปล่า แต่ฉันไม่อยากเป็นเป้าสายตาใคร
"หึ...เธอควรอายโทรศัพท์ตัวเองมากกว่าอายที่นั่งรถสปอร์ตราคายี่สิบกว่าล้าน ลงไปซะฉันไม่ได้มีเวลาว่างมานั่งรอเธอทำใจก่อนเข้าเรียนวันแรก ฉันมีหน้าที่ดูแลเธอไม่ได้มีหน้าที่ทำตามคำสั่งเธอ"
"ถ้าพี่ไม่พอใจที่พี่ไอร์ให้มาดูแลหนูก็ควรปฏิเสธสิคะ ไม่ใช่มาลงที่หนู แล้วอีกอย่างโทรศัพท์เครื่องนี้พี่ไอร์ก็ซื้อให้ และหนูก็ใช้มันมาหลายปีแล้ว ตัวหนูเองไม่มีปัญญาซื้อโทรศัพท์แพงๆให้ตัวเองดูดีหรอกค่ะ"
ฉันพูดจบก็ลงมาจากรถสปอร์ตคันหรูทันที เพราะเขานั่นแหละที่ทำให้ฉันกลายเป็นเด็กก้าวร้าว แต่คำพูดของเขาแต่ละคำฉันก็ไม่สามารถอดทนต่อไปได้